การพัฒนาสื่อทางโทรศัพท์ป้องกันการคลอดก่อนกำหนด โรงพยาบาลสกลนคร
DOI:
https://doi.org/10.55674/ajhe.v3i1.3907Keywords:
การคลอดก่อนกำหนด, การสนับสนุนทางสังคม, แอปพลิเคชันAbstract
การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลัง (One-group pretest-posttest design) วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อศึกษาการพัฒนาและประสิทธิผลของการใช้สื่อโทรศัพท์ในการป้องกันการคลอดก่อนกำหนด โรงพยาบาลสกลนคร โดยวัดผลจากการเปลี่ยนแปลงด้านความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของกลุ่มตัวอย่าง รวมถึงประเมินความพึงพอใจต่อสื่อที่ใช้ในการศึกษา สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ในโรงพยาบาลสกลนคร โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสกลนคร กลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 ราย โดยเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ใช้สื่อผ่านทางโทรศัพท์ เพื่อให้ความรู้และติดตามพฤติกรรมการดูแลตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Paired Sample t-test
ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการใช้สื่อโทรศัพท์ กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการคลอดก่อนกำหนดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) จาก 4.63 คะแนน (SD = 1.52) เป็น 9.50 คะแนน (SD = 0.68) ในด้านพฤติกรรมการดูแลตนเอง ผลการศึกษาแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) โดยคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 3.52 คะแนน (SD = 0.78) เป็น 4.66 คะแนน (SD = 0.49) ด้านความพึงพอใจต่อสื่อที่ใช้ในการศึกษา พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจในระดับสูงมาก โดยมีคะแนนเฉลี่ย 4.83 คะแนน (SD = 0.37) จากผลการวิจัยสามารถสรุปได้ว่า การใช้สื่อโทรศัพท์เพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนดในโรงพยาบาลสกลนครมีประสิทธิผลในการเพิ่มพูนความรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของกลุ่มตัวอย่าง โดยได้รับความพึงพอใจจากผู้ใช้ในระดับสูง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเหมาะสมของสื่อในการนำไปใช้เพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนดในบริบทของโรงพยาบาลสกลนคร
References
(1) World Health Organization. Preterm birth [Internet]. 2018 [cited 2025 Feb 14]. Available from: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/preterm-birth
(2) กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. รายงานอัตราการคลอดก่อนกำหนดในประเทศไทย พ.ศ. 2565. กรุงเทพฯ: กรมอนามัย; 2565.
(3) Johnson S, Roberts M, Campbell F. The impact of digital health interventions on maternal care: A systematic review. J Nurs Sci. 2022; 35(2): 112 – 20.
(4) Ceulemans M, Foulon V, Panchaud A, Winterfeld U, Pires C, Bertoletti A, et al. Impact of digital health applications on pregnancy outcomes: A review. J Med Internet Res. 2021; 23(3): e20291.
(5) Lanssens D, Vonck S, Storms V, Thijs I, Grieten L, Gyselaers W. The impact of a remote monitoring program on the prenatal follow-up of women with gestational hypertensive disorders. Eur J Obstet Gynecol Reprod Biol. 2019; 233: 72 – 8.
(6) Kharb A, & Sheoran P. Effectiveness of a structured teaching programme on knowledge and self-care practices among pregnant women regarding prevention of preterm birth. Int J Nurs Educ. 2016; 8(2): 123 – 9.
(7) Berghella V, Saccone G. Prevention of preterm birth: The role of maternal education. Am J Obstet Gynecol. 2019; 221(2): 145 – 57.
(8) จันทร์จิรา สีสว่าง.ผลของสื่อมัลติมีเดียต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์. วารสารพยาบาลศาสตร์. 2563; 42(1): 78 – 89.
(9) สุภาพร สุขแดง. ผลของการใช้แอปพลิเคชันสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข. 2024; 16(1): 45 – 56.
(10) House JS. Work stress and social support. Reading, MA: Addison-Wesley; 1981.
(11) ศีตรา มยุรโชติ. การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการดูแลตนเองในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยง. วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ. 2022; 45(3): 67 – 80.
(12) สมใจ รัตนมณี. การสนับสนุนทางครอบครัวและพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ. 2564; 18(2): 112 – 23.
(13) Likert R. A technique for the measurement of attitudes. Arch Psychol. 1932; 140: 1 – 55.
(14) Anderson LW, Krathwohl DR, editors. A taxonomy for learning, teaching, and assessing: A revision of Bloom’s taxonomy of educational objectives. New York: Longman; 2001.
(15) Polit DF, Beck CT. Nursing research: generating and assessing evidence for nursing practice. 10th ed. Philadelphia: Wolters Kluwer; 2017.
(16) Bandura A. Self-efficacy: The exercise of control. New York: Freeman; 1997.