https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/issue/feed
วารสารวิชาการเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิและสาธารณสุข
2025-07-01T01:00:05+07:00
บุญเรือง ขาวนวล
woranuch2419@hotmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารวิชาการเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิและสาธารณสุข มีนโยบายเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย (Research Paper) และบทความวิชาการ (Academic Paper) ด้านการแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุข โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ แพทย์ พยาบาล นักสาธารณสุขทุกสาขา และผู้สนใจในด้านระบบบริการสุขภาพ</p>
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/4400
ผลของโปรแกรมการดูแลภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในเด็กอายุ 6-12 เดือน อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง
2025-05-30T10:49:59+07:00
มานิตา เสรีประเสริฐ
trinnawat2565@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการดูแลภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในเด็กอายุ 6-12 เดือน โดยเปรียบเทียบความรู้ของผู้ปกครอง พฤติกรรมการดูแลเด็ก และระดับฮีมาโตคริตของเด็กก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรม รวมทั้งศึกษาความพึงพอใจต่อโปรแกรม เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง (one-group pretest-posttest design) โดยใช้กลุ่มตัวอย่างผู้ปกครองและเด็กอายุ 6-12 เดือน จำนวน 60 คู่ ที่มารับบริการในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอกงหราและโรงพยาบาลกงหรา จังหวัดพัทลุง โปรแกรมประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การให้ความรู้แก่ผู้ปกครองแบบกลุ่ม การใช้สื่อนวัตกรรม "วงล้อนาฬิกาเพิ่มโลหิต" การให้ยาน้ำเสริมธาตุเหล็กเป็นระยะเวลา 3 เดือน และการติดตามทางโทรศัพท์สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบทดสอบความรู้ 20 ข้อ แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลเด็ก 15 ข้อ การตรวจวัดฮีมาโตคริต และแบบประเมินความพึงพอใจ 10 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ paired t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า เด็กในกลุ่มตัวอย่างมีภาวะโลหิตจางเพียงร้อยละ 3.3 ความรู้ของผู้ปกครองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) จากคะแนนเฉลี่ย 11.2 เป็น 17.6 คะแนน คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 6.4 คะแนน ผู้ปกครองที่มีความรู้ระดับดีเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13.3 เป็นร้อยละ 80.0 พฤติกรรมการดูแลเด็กปรับปรุงดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) โดยคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 3.2 เป็น 4.3 คะแนน ผู้ปกครองที่มีพฤติกรรมระดับดีมากเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.3 เป็นร้อยละ 63.3 ระดับฮีมาโตคริตของเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) จากร้อยละ 36.6 เป็นร้อยละ 38.2 หลังเข้าร่วมโปรแกรมไม่พบเด็กที่มีภาวะโลหิตจางเลย ผู้ปกครองมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมในระดับมาก (คะแนนเฉลี่ย 4.1 ± 0.4) โดยร้อยละ 86.7 มีความพึงพอใจในระดับมากและมากที่สุด</p>
2025-05-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/4407
ประสิทธิผลของโปรแกรมการให้ความรู้โรงเรียนเบาหวานและการติดตามระดับน้ำตาลต่อ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ โรงพยาบาลห้วยผึ้ง อำเภอห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์
2025-05-30T15:46:05+07:00
ประไพพรรณ ใจอักษร
trinnawat2565@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบหนึ่งกลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการให้ความรู้โรงเรียนเบาหวานต่อระดับ HbA1c ความรู้ พฤติกรรมการดูแลตนเอง และความพึงพอใจของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับ HbA1c มากกว่าร้อยละ 7 จำนวน 30 คน โปรแกรมประกอบด้วยการให้ความรู้ 6 ครั้ง การฝึกทักษะการดูแลตนเอง การใช้คู่มือ และการติดตามอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ทำการเก็บข้อมูลก่อนการทดลอง หลังการทดลองทันที และติดตามผลที่ 3 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Paired t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 86.7) อายุเฉลี่ย 60.7 ปี มีการศึกษาระดับประถมศึกษา (ร้อยละ 80) ประกอบอาชีพเกษตรกรรม (ร้อยละ 56.7) หลังจากเข้าร่วมโปรแกรม ระดับ HbA1c ลดลงจากร้อยละ 7.53 เป็นร้อยละ 7.11 (p = 0.001) สัดส่วนผู้ป่วยที่ควบคุมน้ำตาลได้ตามเป้าหมายเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 39.3 เป็นร้อยละ 57.1 คะแนนความรู้เพิ่มขึ้นจาก 12.2 เป็น 17.5 คะแนน (p < 0.001) คะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้นจาก 2.79 เป็น 3.94 คะแนน (p < 0.001) ความพึงพอใจต่อโปรแกรมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งโปรแกรมการให้ความรู้โรงเรียนเบาหวานมีประสิทธิผลในการลดระดับ HbA1c เพิ่มความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานอย่างมีนัยสำคัญ สามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในสถานบริการสุขภาพอื่น</p>
2025-05-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/4411
โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการป้องกันโรคและควบคุมไข้เลือดออกของประชาชน ตำบลอีปาด อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ
2025-06-02T14:56:01+07:00
ฉลอม วิชาชัย
Krittrin2024@gmail.com
<p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการป้องกันโรคและควบคุมไข้เลือดออกของประชาชนตำบลอีปาด อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างคือตัวแทนในครัวเรือน จำนวน 78 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง (ตำบลอีปาด) และกลุ่มเปรียบเทียบ (ตำบลหนองบัว) กลุ่มละ 39 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการป้องกันโรคและควบคุมไข้เลือดออกตามทฤษฎี Health Belief Model จำนวน 7 กิจกรรม ดำเนินการ 12 สัปดาห์ และแบบประเมินความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออก การรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรง การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกัน การรับรู้อุปสรรค การรับรู้ความสามารถของตนเอง พฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก และค่าดัชนีลูกน้ำยุงลาย (BI และ CI) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน Independent t-test เปรียบเทียบคะแนนระหว่างกลุ่ม กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ในทุกด้าน ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก (18.45 เทียบกับ 14.52) การรับรู้โอกาสเสี่ยง (3.71 เทียบกับ 2.18) การรับรู้ความรุนแรง (4.55 เทียบกับ 3.32) การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกัน (4.69 เทียบกับ 3.45) การรับรู้อุปสรรค (3.83 เทียบกับ 2.31) การรับรู้ความสามารถของตนเอง (4.18 เทียบกับ 4.05) และพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก (4.26 เทียบกับ 3.18) นอกจากนี้ กลุ่มทดลองมีค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายต่ำกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญ โดย BI (68.25 เทียบกับ 152.35) และ CI (12.35 เทียบกับ 25.68) (p<0.001)</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/4470
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลต่อเนื่องที่บ้านสำหรับผู้ป่วยสูงอายุระยะพึ่งพิง ของโรงพยาบาลเชียรใหญ่
2025-06-19T10:11:43+07:00
นภาภรณ์ บัวพันธ์
cparimanon1992@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการพยาบาลต่อเนื่องที่บ้านสำหรับผู้ป่วยสูงอายุระยะพึ่งพิงในบริบทของโรงพยาบาลชุมชนเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ดำเนินการวิจัยใน 3 ระยะ ได้แก่ 1) การศึกษาสถานการณ์และปัญหาการดูแลผู้สูงอายุระยะพึ่งพิง 2) การพัฒนารูปแบบการพยาบาลต่อเนื่อง และ 3) การประเมินผลการใช้รูปแบบที่พัฒนา โดยใช้กระบวนการวางแผน-ดำเนินการ-ตรวจสอบ-ปรับปรุง (Plan-Do-Check-Act: PDCA) และแนวทางวิจัยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยทีมพยาบาล บุคลากรที่เกี่ยวข้อง และผู้ดูแลผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามการพยาบาลต่อเนื่อง แบบประเมินภาระผู้ดูแล และแบบสอบถามการสนับสนุนด้านพยาบาลหลังจำหน่าย รวมถึงข้อมูลเวชระเบียน<br> ผลการวิจัยในระยะที่ 1 พบว่าระบบบริการยังมีช่องว่างในหลายขั้นตอน เช่น การประเมินที่ไม่ครอบคลุม การขาดแผนจำหน่าย และการส่งต่อที่ไม่เป็นระบบ ในระยะที่ 2 มีการพัฒนารูปแบบที่เชื่อมโยงการดูแลระหว่างโรงพยาบาลและบ้าน โดยเน้นการประเมิน ADL ตั้งแต่แรกรับ การเตรียมผู้ดูแลให้พร้อมก่อนจำหน่าย และการประสานการดูแลต่อเนื่องกับ รพ.สต. ผลการใช้รูปแบบในระยะที่ 3 พบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนในทุกองค์ประกอบเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ทั้งในด้านการประเมินวางแผน การดูแลทางการพยาบาล การดูแลด้านจิตใจ การให้คำแนะนำ และการส่งต่อสู่ชุมชน ผู้ดูแลมีความมั่นใจและรู้สึกเป็นภาระน้อยลง ขณะที่ทีมพยาบาลสามารถดำเนินการตามแผนได้อย่างชัดเจนผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่ารูปแบบการพยาบาลต่อเนื่องที่บ้านที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพในการยกระดับคุณภาพการดูแลผู้สูงอายุระยะพึ่งพิง ลดภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มศักยภาพของผู้ดูแลในชุมชน จึงควรส่งเสริมให้มีการนำรูปแบบดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในโรงพยาบาลชุมชนอื่น และพัฒนาต่อยอดในระดับนโยบาย เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว</p>
2025-06-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/4514
การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลวังคีรี อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง
2025-07-01T01:00:05+07:00
จิตติพร รัตนแก้ว
cparimanon1992@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน 2) พัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และ 3) ศึกษาผลการดำเนินงานตามรูปแบบที่พัฒนาในพื้นที่ตำบลวังคีรี อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง โดยกลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ 248 คน และภาคีเครือข่ายในชุมชน เช่น รพ.สต., อสม., ผู้นำชุมชน และครอบครัว เก็บข้อมูล 3 ระยะ ได้แก่ 1) การวิเคราะห์บริบทและความต้องการ 2) การดำเนินกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ และ 3) การสะท้อนผลผ่านเวทีชุมชน ใช้เครื่องมือคือ แบบสอบถาม สัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีความรู้และพฤติกรรมด้านสุขภาพในระดับปานกลาง โดยเฉพาะการออกกำลังกายและสุขภาพจิตยังต้องการการส่งเสริมเพิ่มเติม ขณะที่การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับดี โดยเฉพาะการเข้าร่วมกิจกรรมที่เห็นผลโดยตรงต่อชีวิต เช่น การรับบริการสุขภาพหรือกิจกรรมกลุ่มเพื่อนสูงวัย การสะท้อนผลพบว่า การดำเนินงานตามรูปแบบที่พัฒนาทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งในตัวผู้สูงอายุ ครอบครัว และชุมชน เสริมสร้างคุณค่า บทบาท และความภาคภูมิใจของผู้สูงอายุในฐานะผู้ร่วมสร้างสุขภาวะของชุมชน</p>
2025-06-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025