วารสารวิชาการเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิและสาธารณสุข
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD
<p>วารสารวิชาการเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิและสาธารณสุข มีนโยบายเพื่อเผยแพร่บทความวิจัย (Research Paper) และบทความวิชาการ (Academic Paper) ด้านการแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุข โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ แพทย์ พยาบาล นักสาธารณสุขทุกสาขา และผู้สนใจในด้านระบบบริการสุขภาพ</p>
สมาคมเครือข่ายหมออนามัยวิชาการ
th-TH
วารสารวิชาการเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิและสาธารณสุข
3057-1901
-
การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/4778
<p>การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยปอดอักเสบ กรณีศึกษาผู้ป่วย 2 ราย เป็นการเปรียบเทียบการใช้กระบวนการพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจำนวน 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลระนอง จังหวัดระนอง ในช่วงเดือนสิงหาคม 2568 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย การสัมภาษณ์ญาติและการสังเกต การวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบพยาธิสภาพ อาการและอาการแสดง การรักษา ประเมินปัญหาทางการพยาบาลด้วยแบบแผนสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอน กำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล ให้การพยาบาลและประเมินผลลัพธ์การพยาบาล 3 ระยะ ระยะแรกรับ ระยะระหว่างการดูแล และระยะจำหน่าย</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบของกรณีศึกษา 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาเป็นผู้สูงอายุ มีอาการและอาการแสดงคล้ายกัน ตรวจพบ CXR infiltration แตกต่างกันที่โรคร่วม รายที่ 2 พบวัณโรคปอด ซีด ได้ให้ PRC และมีภาวะ electrolyte imbalance รับการรักษาด้วยการให้ออกซิเจน มีความยุ่งยากซับซ้อนในการดูแลรักษามากกว่ารายที่ 1 ผู้ป่วยทั้ง 2 รายจำหน่ายกลับบ้าน จากการศึกษาพบว่าความผิดปกติของโรคร่วมส่งผลให้ต้องใช้การพยาบาลซับซ้อนและระยะเวลารักษานานมากขึ้น พยาบาลจึงจำเป็นต้องมีความรู้และทักษะในการดูแลผู้ป่วยปอดอักเสบ นำกระบวนการพยาบาลมาใช้ดูแลผู้ป่วยและครอบครัวแบบองค์รวม ร่วมกับสหวิชาชีพ จะช่วยให้ผู้ป่วยปลอดภัยพ้นภาวะวิกฤต ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน ลดอัตราการเสียชีวิต</p>
สายสุณีย์ อารีราษฎร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-26
2025-09-26
3 3
460
477
-
อิทธิพลของความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของผู้สูงอายุ ในเขตตำบลเขาพระ อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/4808
<p>การวิจัยแบบตัดขวาง (Cross-sectional research) ครั้งนี้เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ระดับพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ และอิทธิพลของความรอบรู้ด้านสุขภาพที่มีต่อพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของผู้สูงอายุในเขตตำบลเขาพระ อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ประชากรคือผู้สูงอายุติดสังคมในพื้นที่รับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านจุฬาภรณ์พัฒนา2 จำนวน 803 คน กำหนดขนาดกลุ่ม ได้ 267 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่ายโดยการจับฉลากรายชื่อแบบไม่คืน มีอัตราการตอบกลับร้อยละ 98.13 (262 คน) เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม 3 ตอน ประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไป ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ใช้มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาและความเชื่อมั่น เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการถดถอยพหุคูณ </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 59.54) อายุเฉลี่ย 70.98 ปี มีการศึกษาระดับประถมศึกษา (ร้อยละ 85.11) ประกอบอาชีพเกษตรกรรม (ร้อยละ 58.78) มีรายได้เฉลี่ย 5,187.40 บาทต่อเดือน ผู้สูงอายุมีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับพอเพียงเป็นส่วนใหญ่ (ร้อยละ 46.18) โดยทักษะการเข้าถึงมีผู้ที่มีความรอบรู้ในระดับดีสูงสุด (ร้อยละ 66.03) ในขณะที่ทักษะการไต่ถามมีปัญหามากที่สุด (ร้อยละ 50.38) พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับปานกลางเป็นส่วนใหญ่ (ร้อยละ 65.27) การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณพบว่า ทักษะการเข้าใจ ทักษะการไต่ถาม และทักษะการตัดสินใจ สามารถร่วมกันพยากรณ์พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ได้ร้อยละ 71.00 (R² = 0.710, F = 153.587, p = 0.003) โดยทักษะการไต่ถามมีอิทธิพลสูงสุด (Beta = 0.201) รองลงมาคือทักษะการตัดสินใจ (Beta = 0.161) และทักษะการเข้าใจ (Beta = 0.132) ควรพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมทักษะการไต่ถามโดยจัดกิจกรรมฝึกอบรมเพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้สูงอายุกล้าสื่อสารกับบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งศึกษาปัจจัยเชิงลึกด้วยวิธีการวิจัยแบบผสมผสานเพื่อพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p>
ชนิล ละม้าย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-01
2025-10-01
3 3
512
526
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงานในบทบาททีมหมอครอบครัว ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลทรายขาว อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/4809
<p>การวิจัยแบบตัดขวาง (Cross-sectional research) ครั้งนี้เพื่อศึกษาระดับการปฏิบัติงานในบทบาททีมหมอครอบครัว และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลทรายขาว อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่างคืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวน 86 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือเป็นแบบสอบถามที่มีค่าความตรงตามเนื้อหา (IOC) เท่ากับ 0.718 และค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.724 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานพบว่า ความต้องการด้านความก้าวหน้ามีระดับสูงมากที่สุด ร้อยละ 95.35 รองลงมาคือความต้องการด้านความสัมพันธ์ทางสังคม ร้อยละ 77.91 และความต้องการด้านการดำรงชีพ ร้อยละ 74.42 ระดับการปฏิบัติงานในบทบาททีมหมอครอบครัวอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 82.56 จากการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณพบว่า ตัวแปรแรงจูงใจทั้ง 3 ด้าน คือ ความต้องการด้านการดำรงชีพ ความต้องการด้านความสัมพันธ์ทางสังคม และความต้องการด้านความก้าวหน้า มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) โดยความต้องการด้านความก้าวหน้ามีอิทธิพลมากที่สุด (Beta = 0.204) รองลงมาคือความต้องการด้านความสัมพันธ์ทางสังคม (Beta = 0.192) และความต้องการด้านการดำรงชีพ (Beta = 0.141) ตัวแปรทั้ง 3 ตัวอธิบายความแปรปรวนของการปฏิบัติงานได้ร้อยละ 72.10 ข้อเสนอแนะคือ หน่วยงานควรพัฒนาระบบสนับสนุนความก้าวหน้าในการทำงาน ส่งเสริมความสัมพันธ์และการทำงานเป็นทีม และปรับปรุงค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสม การวิจัยครั้งต่อไปควรศึกษาปัจจัยอื่นที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงาน และศึกษาเชิงคุณภาพเพื่อทำความเข้าใจประสบการณ์ในการปฏิบัติงานอย่างลึกซึ้ง</p>
ธวัลยา เมืองรอด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-01
2025-10-01
3 3
527
543
-
ความรู้ เจตคติ และการมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการด้านส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดกระบี่
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/4972
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ เจตคติ และการมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการด้านส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดกระบี่ รวมทั้งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้ และเจตคติ กับการมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในจังหวัดกระบี่ จำนวน 383 คน ที่ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน โดยใช้ Chi-Square และ Pearson's Correlation ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า อาสาสมัครสาธารณสุขส่วนใหญ่มีความรู้ในการดำเนินโครงการด้านส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในชุมชนอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 66.06 ด้านเจตคติ พบว่าส่วนใหญ่มีเจตคติในระดับดี ร้อยละ 70.23 และไม่มีอาสาสมัครที่มีเจตคติในระดับไม่ดี ด้านการมีส่วนร่วม พบว่าส่วนใหญ่มีการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 74.67 โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ M = 4.11 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่า ระดับการศึกษาสูงสุดมีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (χ² = 23.957, p = 0.008) ความรู้ในการดำเนินโครงการมีความสัมพันธ์เชิงบวกระดับต่ำกับการมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.215, p = 0.001) และเจตคติในการดำเนินโครงการมีความสัมพันธ์เชิงบวกระดับปานกลางกับการมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.415, p = 0.001) ส่วนปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ รายได้ ระยะเวลาการปฏิบัติงานเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข และการได้รับการอบรมเกี่ยวกับการจัดทำแผนงานโครงการ ไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
อนุช สาระวารี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-02
2025-11-02
3 3
544
577
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออก ตำบลทุ่งสง อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/4973
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกและศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้โรคไข้เลือดออก การรับรู้โรคไข้เลือดออก กับพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกในตำบลทุ่งสง อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างเป็นหัวหน้าครัวเรือนจำนวน 331 คน คำนวณจากตารางเครจซีและมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและทดสอบความเชื่อมั่นได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ<br>ครอนบาค 0.78 ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ ข้อมูลทั่วไป ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก การรับรู้โรคไข้เลือดออกตามทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการป้องกันโรค เก็บข้อมูลระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน 2568 วิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนาและสถิติสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> การวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 คือ การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคและการรับรู้อุปสรรคของการป้องกันโรค โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.18 ทั้งคู่ แสดงความสัมพันธ์ทางบวกระดับต่ำ ส่วนอายุ ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก การรับรู้ความรุนแรงของโรค และการรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันโรค ไม่พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากผลการวิจัยแนะนำว่าหน่วยงานสาธารณสุขควรพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคโดยเน้นเพิ่มการรับรู้โอกาสเสี่ยงผ่านการนำเสนอข้อมูลสถานการณ์โรค การจัดกิจกรรมสำรวจแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และแก้ไขอุปสรรคเช่น จัดหาทรายอะเบท จัดตั้งกองทุนชุมชนสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันยุง ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มที่มีพฤติกรรมระดับต่ำผ่านการเยี่ยมบ้านและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล การวิจัยครั้งต่อไปควรศึกษาปัจจัยอื่นๆ เช่น การสนับสนุนทางสังคม บทบาทผู้นำชุมชน ศึกษาเชิงคุณภาพเพื่อเข้าใจเชิงลึก และพัฒนาโปรแกรมแทรกแซงประเมินประสิทธิผลระยะยาว</p>
ระบิล รักอาชีพ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-02
2025-11-02
3 3
578
593
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุ อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/4978
<p>การวิจัยภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรู้ การรับรู้ และพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่ของผู้สูงอายุ รวมทั้งศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุ อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงพรรณนาโดยใช้วิธีการสำรวจแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุที่มีอายุ 65-69 ปี ที่อาศัยในพื้นที่อำเภอนาบอนมากกว่า 5 ปี จำนวน 258 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพเป็นกรอบแนวคิด แบบสอบถามประกอบด้วย 5 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้เรื่องโรคไข้หวัดใหญ่ การรับรู้เรื่องโรคไข้หวัดใหญ่ และพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติ Pearson's Correlation</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุมีระดับความรู้เรื่องโรคไข้หวัดใหญ่อยู่ในระดับดีร้อยละ 56.98 ระดับการรับรู้โรคไข้หวัดใหญ่อยู่ในระดับดีร้อยละ 57.75 และระดับพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่อยู่ในระดับดีร้อยละ 72.87 จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่า อายุไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = -0.005, p-value = 0.942) ส่วนความรู้เรื่องโรคไข้หวัดใหญ่ (r = 0.248, p-value < 0.001) และการรับรู้โรคไข้หวัดใหญ่ (r = 0.153, p-value = 0.014) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การส่งเสริมความรู้และการรับรู้เกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคในผู้สูงอายุ ดังนั้นหน่วยงานสาธารณสุขควรพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมความรู้และการรับรู้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพเป็นแนวทางในการพัฒนากิจกรรม</p>
วิมลรัตน์ รุณแสง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-03
2025-11-03
3 3
594
606
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับบริการทางทันตกรรมในกลุ่มวัยทำงาน ชุมชนมุสลิมท่าม่วง เขตเทศบาลตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/4983
<p>การวิจัยแบบภาคตัดขวาง (Cross Sectional Study) เป็นการศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับบริการทางทันตกรรมในกลุ่มวัยทำงานชุมชนมุสลิมท่าม่วง เขตเทศบาลตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการใช้บริการทันตกรรมในกลุ่มวัยทำงานชุมชนมุสลิมท่าม่วง ตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการรับรู้และปัจจัยร่วมที่มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับบริการทันตกรรมในกลุ่มวัยทำงานชุมชนมุสลิมท่าม่วง ตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยร่วมกับการเข้ารับบริการทันตกรรมในกลุ่มวัยทำงานชุมชนมุสลิมท่าม่วง ตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ จำนวน 293 คน โดยใช้สถิติไคสแควร์ (Chi-square Test)</p> <p> จากการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างโดยส่วนใหญ่เข้ารับบริการทันตกรรม ร้อยละ 70.99 เหตุผลส่วนใหญ่ที่ไม่ไปรับบริการทันตกรรม คือ ไม่มีอาการ คิดเป็นร้อยละ 54.11 มีการรับรู้อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 41.64 มีระดับความรู้ อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 36.68 มีทัศนคติและประสบการณ์เกี่ยวกับการป้องกันโรคและการเข้ารับบริการทันตกรรมอยู่ระดับสูง ร้อยละ 45.73 และมีสิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติอยู่ในระดับสูงมาก ร้อยละ 99.66 เมื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ พบว่า ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน และระยะเวลาในการทำงาน (วัน/สัปดาห์, ชั่วโมง/วัน) ความรู้เกี่ยวกับโรคในช่องปากมีความสัมพันธ์กับการเข้ารับบริการทันตกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value = 0.001, 0.004, 0.002, 0.005, 0.040 ตามลำดับ) ส่วน เพศ อายุ การมีโรคประจำตัว สิทธิการรักษาพยาบาล การรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรคของการดูแลสุขภาพในช่องปาก ทัศนคติ และประสบการณ์เกี่ยวกับการป้องกันโรค และสิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติ ไม่มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับบริการทันตกรรมในกลุ่มวัยทำงานชุมชนมุสลิมท่าม่วง เขตเทศบาลตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราชอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value = 0.007, 0.741, 0.434, 0.190, 0.217, 0.860, 0.632 ตามลำดับ)</p>
กัลย์สุดา จูเจ้ย
ภัคชิสา คนสุภาพ
สุทัศน์ เสียมไหม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-05
2025-11-05
3 3
607
618
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อำเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/5002
<p> การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และปัญหาการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีภาวะซึมเศร้า พัฒนารูปแบบการดูแลโดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน และประเมินผลประสิทธิภาพของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ดำเนินการ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์โดยการทบทวนเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการดูแลโดยบูรณาการ Cognitive Theory, Chronic Care Model และ CBPR ระยะที่ 3 ทดลองใช้และประเมินผลในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 42 ราย ที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน โดยใช้เครื่องมือ แบบประเมินโรคซึมเศร้าด้วย 9 คำถาม (9Q), แบบประเมินคุณภาพชีวิต (WHO)WHOQOL-BREF) และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วย paired t-test และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วย content analysis</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรคเรื้อรังมีภาวะซึมเศร้าร่วมร้อยละ 35.7 โดยมีปัจจัยเสี่ยงหลักคือรายได้ต่ำ (ร้อยละ 66.6) และการศึกษาต่ำ (ร้อยละ 81.0) รูปแบบการดูแลที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก คือ การคัดกรองและวินิจฉัยเบื้องต้น การติดตามและเฝ้าระวัง การให้คำปรึกษาเชิงจิตสังคม และระบบส่งต่อ พร้อมโปรแกรมกิจกรรมกลุ่ม 10 สัปดาห์ที่บูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น ผลการทดลองใช้แสดงให้เห็นว่าคะแนนอาการภาวะซึมเศร้า (9Q) ลดลงจาก 3.79 เป็น 2.45 คะแนน (p=0.020) คะแนนคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้น 7.80 คะแนน (p<0.001) และผู้เข้าร่วมมีความพึงพอใจระดับสูง (4.27 จาก 5.0 คะแนน) รูปแบบการดูแลที่ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นสามารถลดภาวะซึมเศร้าและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้อย่างมีนัยสำคัญ</p>
กัญญา พรหมมาณพ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-28
2025-09-28
3 3
478
495
-
ผลของโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักต่อความรู้ในการจัดการกับอาการไม่พึงประสงค์หลังรับยาเคมีบำบัด โรงพยาบาลอุตรดิตถ์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/5003
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Research) ชนิดสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง (Two-group Pretest-Posttest Design) แบบ Interrupted Time Series มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับความรู้ในการจัดการกับอาการไม่พึงประสงค์ อาการไม่พึงประสงค์ และระดับความวิตกกังวลหลังได้รับยาเคมีบำบัดของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโดยใช้รูปแบบ METHOD-P กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยศัลยกรรมหญิง โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2567 จำนวน 70 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 35 คน และกลุ่มควบคุม 35 คน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยสมุดประจำตัวสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด คู่มือการดูแลตนเอง สื่อวีดิทัศน์ และเอกสารสูตรยาเคมีบำบัด ส่วนเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) แบบติดตามอุบัติการณ์อาการไม่พึงประสงค์หลังรับยาเคมีบำบัด และ (2) แบบทดสอบความรู้ในการจัดการกับอาการไม่พึงประสงค์ ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และหาค่าความเชื่อมั่นได้ค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยง (KR-20) เท่ากับ 0.95 และ 0.97 ตามลำดับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Paired t-test และ Independent t-test เพื่อเปรียบเทียบผลภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลังได้รับโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายรูปแบบ METHOD-P ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักในกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ในการจัดการกับอาการไม่พึงประสงค์หลังรับยาเคมีบำบัดสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p < .001 เช่นเดียวกับคะแนนอาการไม่พึงประสงค์และคะแนนความวิตกกังวลหลังรับยาเคมีบำบัดที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p < .001 เมื่อเทียบกับก่อนการทดลองและกลุ่มควบคุม</p>
สุดารัตน์ คำกูล
สิริกานดา แสวงรุจิธรรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-30
2025-09-30
3 3
496
511
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของคนพิการในเขตอำเภอเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/5031
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้พิการในอำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพ การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้พิการจำนวน 254 ราย เลือกด้วยวิธีสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ครอบคลุมข้อมูลส่วนบุคคล การรับรู้ต่อบริการสุขภาพ การใช้บริการสุขภาพ แรงสนับสนุนทางสังคม และความพึงพอใจต่อบริการ ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาด้วยผู้เชี่ยวชาญ และความเชื่อมั่นของแบบวัดด้วย KR-20 และค่าความเชื่อมั่น Cronbach’s alpha ตั้งแต่ .79–.89 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติ Chi-square test และ Multiple Logistic Regression</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้พิการส่วนใหญ่มีการเข้าถึงบริการสุขภาพในระดับสูง (ร้อยละ 88.8) โดยกลุ่มผู้พิการทางการเคลื่อนไหวและการมองเห็นมีสัดส่วนการเข้าถึงสูงกว่ากลุ่มอื่น ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับการเข้าถึงบริการ ได้แก่ เพศ (p < .05) ขณะที่ปัจจัยอื่น เช่น อายุ การศึกษา รายได้ หรือโรคประจำตัว ไม่พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ ในด้านการรับรู้ต่อบริการสุขภาพ พบว่า การรับรู้ด้านการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการฟื้นฟูสมรรถภาพ เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยผู้ที่มีการรับรู้ระดับสูงมีโอกาสเข้าถึงบริการสูงกว่า 17–46 เท่า ส่วนแรงสนับสนุนทางสังคมไม่พบความสัมพันธ์ต่อการเข้าถึงบริการ โมเดลการทำนายสามารถอธิบายความแปรปรวนของการเข้าถึงบริการสุขภาพได้ร้อยละ 48.3 สรุปได้ว่า การรับรู้ต่อบริการสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเข้าถึงบริการของผู้พิการ จึงควรพัฒนาระบบการสื่อสารข้อมูลด้านบริการและสิทธิสุขภาพให้มีรูปแบบที่เข้าถึงง่าย เหมาะสมกับประเภทความพิการ ส่งเสริมบริการสุขภาพเชิงรุก เช่น การเยี่ยมบ้านและการฟื้นฟูสมรรถภาพในชุมชน รวมถึงสนับสนุนบทบาทของหน่วยบริการปฐมภูมิในการดูแลผู้พิการอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง</p>
ศิริรัตน์ สมประสงค์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-17
2025-11-17
3 3
619
632
-
ปัญหาทางยาและแนวทางแก้ไขการใช้ยาฉีดอินซูลินในผู้ป่วย โรคเบาหวานที่เข้ารักษาในแผนกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลเหนือคลอง จังหวัดกระบี่
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/5040
<p><span lang="TH">การศึกษาวิจัยเรื่องการค้นหาปัญหาทางยาของการใช้ยาฉีดอินซูลินในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เข้ารักษาในแผนกผู้ป่วยในโรงพยาบาลเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ เป็นการศึกษารูปแบบเชิงพรรณนา (</span>Descriptive study) <span lang="TH">มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาปัญหาทางยาของการใช้ยาฉีดอินซูลินของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเหนือคลอง และเสนอหาแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยาฉีดอินซูลินของโรงพยาบาลเหนือคลอง การศึกษาเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป และแบบสอบถามข้อมูลการใช้ปากกาฉีดอินซูลิน การศึกษาวิเคราะห์ข้อมูล โดยวิธีแจกแจงความถี่ จำนวน ร้อยละ และค่าเฉลี่ย และวิเคราะห์เนื้อหาในส่วนของคำตอบที่ ได้จากข้อคำถามปลายเปิด สรุปเนื้อหาเชิงบรรยาย (</span>content analysis) <span lang="TH">โดยกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้เป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีการใช้ยาฉีดอินซูลินที่เข้ารักษาตัวในแผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ ในช่วงเวลาตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 จนถึง เดือน สิงหาคม 2568 ที่เข้าเกณฑ์คัดเลือก ได้จำนวน 50 ราย ใช้เวลาในการดำเนินการ 6 เดือน ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีการใช้ยาฉีดอินซูลินที่เข้ารักษาตัวในแผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ช่วงอายุที่พบมากที่สุด คือ ช่วงอายุ 66-75 ปี ข้อมูลระดับการศึกษาส่วนใหญ่เป็นระดับประถมศึกษา รองลงมาเป็นไม่ได้เรียนหนังสือแต่อ่านออกซึ่งรวมสองกลุ่มคิดเป็นร้อยละ 80 ผู้ป่วยที่ปฏิบัติขั้นตอนการฉีดยาอินซูลินไม่เหมาะสมร้อยละ 84 มีเพียงร้อยละ 16 ที่ปฏิบัติขั้นตอนในการฉีดอินซูลินถูกต้องทั้งหมด สำหรับขั้นตอนการเตรียมปากกาและหัวเข็มพบว่าขั้นตอนที่ผู้ป่วยปฏิบัติถูกต้องน้อยที่สุด คือ ขั้นตอนล้าง หรือ ทำความสะอาดมือ ก่อนการเตรียมยาฉีดอินซูลิน ซึ่งปฏิบัติถูกต้องร้อยละ 52 ขั้นตอนการฉีดยาอินซูลิน ขั้นตอนที่ผู้ป่วยปฏิบัติถูกต้องน้อยที่สุดเพียง ร้อยละ 62 คือขั้นตอนแกว่ง คลึงปากกาแนวนอน10 ครั้งให้ยาชนิดผสมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน รองลงมาคือ ขั้นตอนหมุนปรับขนาดยาตามที่แพทย์สั่ง ผู้ป่วยปฏิบัติถูกต้องร้อยละ 74 และขั้นตอนการเก็บรักษาและความรู้เบื้องต้นในการใช้ยาฉีดอินซูลินพบว่าขั้นตอนที่ผู้ป่วยปฏิบัติถูกต้องน้อยที่สุด คือ ขั้นตอนยาฉีดอินซูลินที่ยังไม่ใช้เก็บไว้ในตู้เย็นช่องตรงกลาง ไม่เก็บไว้ช่องแช่แข็ง ช่องผัก หรือฝาตู้เย็น ปฏิบัติถูกต้องเพียงร้อยละ 78 แต่ยังมีขั้นตอนสำคัญที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ปฏิบัติถูกต้องมีเพียงผู้ป่วย 1 รายปฏิบัติไม่ถูกต้อง คือ ขั้นตอนฉีดยาอินซูลินโดยกดปุ่ม ฉีดยาจนสุด แต่การปฏิบัติไม่ถูกต้องในขั้นตอนนี้ทำให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยภาวะน้ำตาลในเลือดสูงรุนแรงจนเป็น </span>Hyperosmolar hyperglycemic state (HHS) <span lang="TH"><span lang="TH">ซึ่งทำให้เห็นว่าขั้นตอนนี้เป็นตอนสำคัญที่ควรเน้นย้ำที่ให้การบริบาลทางเภสัชกรรมสอนการใช้ยาฉีดอินซูลิน </span></span>ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ผลของการวิจัย ครั้งนี้เป็นพื้นฐานในการพัฒนาแนวทางการบริบาลทางเภสัชกรรมในการใช้ยาฉีดอินซูลินในผู้ป่วยเบาหวานของโรงพยาบาล แต่เนื่องจากการวิจัยครั้งนี้ ศึกษาในโรงพยาบาลแห่งเดียว ซึ่งอาจมีบริบทที่แตกต่างกับโรงพยาบาลอื่นๆ ดังนั้น อาจมีการศึกษาปัญหาในการใช้ยาฉีดยาอินซูลินในผู้ป่วยโรคเบาหวานในบริบทนั้นเพิ่มเติม เพื่อประโยชน์ ในการวางแผนการดูแลที่จำเพาะกับปัญหามากขึ้น</p>
มารีหยาม กาหลง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-21
2025-11-21
3 3
633
644
-
การพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วย แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลนาบอนอำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/5074
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤติของโรงพยาบาลนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช และศึกษาผลของการพัฒนาระบบดังกล่าว ดำเนินการระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2568 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านแบบสำรวจสภาพปัญหา แบบประเมินระบบส่งต่อ และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ระบบการส่งต่อได้รับการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1) ด้านระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินและระบบการส่งต่อ มีการพัฒนาศักยภาพบุคลากร จัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติ และเพิ่มช่องทางสื่อสารข้อมูลผู้ป่วยผ่านโปรแกรมต่าง ๆ 2) ด้านระบบส่งต่อผู้ป่วย มีการเตรียมความพร้อมทั้งบุคลากรและอุปกรณ์ พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ทุกระดับ จัดทำแนวทางดูแลผู้ป่วยกลุ่มสำคัญ และวางระบบให้คำปรึกษากรณีเกินศักยภาพ 3) ด้านระบบบริการห้องฉุกเฉิน ได้ปรับปรุงแนวทางการรักษา เพิ่มระบบช่องทางด่วน (Fast Track) เพื่อลดขั้นตอนบริการ พัฒนาบุคลากร สร้าง QR Code สำหรับการให้คำปรึกษา และยกระดับความพร้อมของอุปกรณ์ และ 4) ด้านเครือข่ายการส่งต่อชุมชน ได้พัฒนาโครงสร้างเครือข่ายกู้ชีพให้ครอบคลุมทุกตำบลและวางระบบเฝ้าระวังโรคสำคัญ</p> <p> จากการประเมินผลระบบส่งต่อฉุกเฉินแบบครบวงจร พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.85, S.D. = 0.62) ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพและความสำเร็จของการพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินในพื้นที่ศึกษา</p>
อรุณรัตน์ คนเที่ยง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-29
2025-11-29
3 3
645
657
-
ผลลัพธ์ทางคลินิกจากการใช้แนวทางการดูแลทารกแรกคลอดจากมารดาติดเชื้อเอชไอวี โรงพยาบาลระนอง
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/5075
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง (Retrospective descriptive study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลลัพธ์ทางคลินิกจากการใช้แนวทางการดูแลทารกแรกคลอดจากมารดาติดเชื้อเอชไอวี โรงพยาบาลระนอง โดยรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนของทารกแรกคลอดจากมารดาติดเชื้อเอชไอวี จำนวน 103 ราย ที่มารับบริการในโรงพยาบาลระนอง ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2560 ถึง 30 กันยายน 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความสัมพันธ์โดยใช้สถิติไคสแควร์ (Chi-square)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการดำเนินการตามแนวทางการดูแลทารกแรกคลอดจากมารดาติดเชื้อเอชไอวีในรูปแบบ One Page ตั้งแต่ปี 2563-2567 ในกลุ่มตัวอย่าง 50 ราย มีการพัฒนาแนวทางการดูแลอย่างชัดเจน โดยอัตราการได้รับยาต้านไวรัสป้องกันตามแผนการรักษาเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 100 ส่วนอัตราการได้รับการตรวจ HIV DNA PCR ตามช่วงอายุที่กำหนด, การได้รับนมผสม, การประเมินการเจริญเติบโตและพัฒนาการ, และการมาตรวจตามนัดเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 86 นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ยังพบว่า อัตราการติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก, อัตราการตรวจยืนยันการติดเชื้อเอชไอวีเมื่ออายุ 18 เดือน และอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนมีความสัมพันธ์กับการใช้แนวทางการดูแลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนอัตราการเสียชีวิตไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าแนวทางการดูแลที่พัฒนาขึ้นใหม่ช่วยยกระดับคุณภาพการดูแลทารกแรกคลอดจากมารดาติดเชื้อเอชไอวีให้เป็นไปตามมาตรฐานได้อย่างมีประสิทธิผล</p>
ธิดารัตน์ วิริยพงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-29
2025-11-29
3 3
658
671
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วย Sepsis แบบมีส่วนร่วม โรงพยาบาลศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/AJHSD/article/view/5094
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัญหาและช่องว่างของระบบการดูแลผู้ป่วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดของโรงพยาบาลศรีบรรพต (2) พัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดแบบมีส่วนร่วมให้เหมาะสมกับบริบทของโรงพยาบาลชุมชน (3) ประเมินผลลัพธ์ของรูปแบบการดูแลทั้งด้านกระบวนการคลินิก ความรู้ ทัศนคติ การปฏิบัติของบุคลากร และความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (R&D) 4 ระยะ ร่วมกับแนวคิดวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) โดยมีผู้ป่วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดจำนวน 45 ราย และบุคลากรทางการพยาบาล 15 คนเป็นกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือวิจัย 6 ชุดผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC ≥ 0.80) และความเชื่อมั่น (0.82–0.88) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบ Paired t-test และการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) ก่อนพัฒนาระบบมีปัญหาสำคัญ ได้แก่ การคัดกรองล่าช้า การสื่อสารระหว่างหน่วยงานไม่เป็นระบบ การปฏิบัติตาม Sepsis Bundle ไม่ครบถ้วน และการบันทึกข้อมูลไม่สมบูรณ์ (2) รูปแบบการดูแลที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย Sepsis Bundle , แบบฟอร์ม SCN-01, Sepsis Emergency Kit และระบบสื่อสารแบบมีส่วนร่วม ซึ่งได้รับการตรวจสอบความเหมาะสมโดยผู้เชี่ยวชาญ (IOC = 0.92) (3) ผลการประเมินพบว่า คะแนนความรู้ของบุคลากรเพิ่มขึ้นจาก 5.60±1.41 เป็น 7.10±1.53 (p<0.001) ทัศนคติเพิ่มขึ้นจาก 3.47±0.32 เป็น 3.99±0.35 (p<0.001) และการปฏิบัติเพิ่มขึ้นจาก 3.32±0.28 เป็น 3.92±0.33 (p<0.001) การปฏิบัติตาม Sepsis Bundle ดีขึ้นทุกองค์ประกอบ โดยการให้ยาปฏิชีวนะภายใน 1 ชั่วโมงเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 46 เป็นร้อยละ 72 ความพึงพอใจของบุคลากรอยู่ในระดับมาก (x̄=4.39, S.D.=0.51) ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่ารูปแบบการดูแลผู้ป่วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดแบบมีส่วนร่วมมีประสิทธิผลในการเพิ่มความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติของบุคลากร รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพการดูแลผู้ป่วยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล จึงเหมาะสมสำหรับการนำไปใช้ในโรงพยาบาลชุมชนที่มีบริบทคล้ายคลึงกัน</p>
สุทิพย์ จินตาคม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-03
2025-12-03
3 3
672
687