https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/issue/feed วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน 2023-11-28T00:00:00+07:00 Assistant Professor Dr. Sakul Changmai nursejournal@christian.ac.th Open Journal Systems https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/1236 การจัดการเรียนการสอนทางการพยาบาลโดยใช้ทีมเป็นฐาน 2023-03-29T17:11:44+07:00 กัลยาลักษณ์ ไชยศิริ kanyalak_chaisiri@hotmail.com อุบลวรรณ ส่งเสริม Kanyalak_chaisiri@hotmail.com <p>การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ทีมเป็นฐานเป็นกลยุทธ์การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดทักษะในศตวรรษที่ 21 และเกิดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักศึกษา การเรียนการสอนโดยใช้ทีมเป็นฐานถูกนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนกับนักศึกษาพยาบาล เนื่องจากพยาบาลต้องทำงานกับสหวิชาชีพที่มีความหลากหลาย ดังนั้นผู้เรียนจะเรียนรู้ผ่านกระบวนการทั้ง 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การมอบหมายงานให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเอง 2) การทดสอบความรู้รายบุคคล 3) การทดสอบความรู้รายทีม 4) การยื่นอุทธรณ์คำตอบที่ยังมีข้อสงสัย 5) การให้ข้อมูลป้อนกลับในคำตอบที่ยังมีข้อสงสัย 6) การประยุกต์ใช้ความรู้ในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน และ 7) การสะท้อนผลและประเมินผลการเรียนรู้ โดยผู้สอนมีหน้าที่ในการเตรียมการสอน อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้และส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง กระบวนการแต่ละขั้นตอนของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ทีมเป็นฐานจะช่วยให้ผู้เรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนและจดจ่ออยู่กับการเรียน ส่งผลให้ผู้เรียนพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการทำงานเป็นทีม ทักษะการสื่อสาร ทักษะการคิด และการคิดแก้ไขปัญหา มีความรับผิดชอบ และช่วยให้ห้องเรียนมีความสนุกสนาน รวมทั้งทำให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนเรียนการสอนมากขึ้น</p> 2023-11-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/1707 การพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบ: กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2023-10-11T16:46:43+07:00 สกุลวรรณ อร่ามเมือง sakulwanaram@gmail.com <p>การบาดเจ็บหลายระบบเป็นการบาดเจ็บของอวัยวะร่วมกันตั้งแต่ 2 ระบบขึ้นไปซึ่งเป็นภาวะวิกฤตที่นำไปสู่การเสียชีวิตได้ เป้าหมายของการพยาบาลผู้ป่วยคือ การเฝ้าระวังดูแลเพื่อลดภาวะคุกคามต่อชีวิต พยาบาลเป็นบุคคลสำคัญที่ต้องมีทักษะทางคลินิกสูงในการดูแลผู้ป่วยโดยใช้กระบวนการพยาบาลให้สอดคล้องกับปัญหา ความต้องการของผู้ป่วย และครอบครัว วัตถุประสงค์ในการนำเสนอกรณีศึกษานี้คือ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลราชบุรี จำนวน 2 ราย โดยใช้กระบวนการพยาบาลและทฤษฎีความไม่แน่นอนในการเจ็บป่วย และวิเคราะห์เปรียบเทียบความรุนแรงการบาดเจ็บ พยาธิสภาพ อาการและอาการแสดง การรักษาและประเมินผลจากการพยาบาล ผลการศึกษา พบว่า กรณีศึกษาที่ 1 มีภาวะช็อกจากการเสียเลือดปริมาณมาก เลือดออกจากหัวใจในหนึ่งนาทีลดลง และภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง กรณีศึกษาที่ 2 มีภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง ภาวะซีดจากการเสียเลือด และการติดเชื้อทางเดินหายใจ สรุปการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าพยาบาลมีบทบาทสำคัญ ในการประเมิน เฝ้าระวัง จัดการการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบ เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะคุกคามต่อชีวิต</p> 2023-12-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/1681 บทบาทของพยาบาลกับการใช้ปิโตรเลียมเจลลี่เพื่อป้องกัน และดูแลแผลกดทับ: การทบทวนวรรณกรรม 2023-10-05T16:27:59+07:00 ศิรินันท์ อ่อนพุทธา sirinan.onp@cra.ac.th ดารารัตน์ ชูวงค์อินทร์ dararat.chu@cra.ac.th ศิริกร ก้องวัฒนะกุล sirikorn.roj@cra.ac.th รัตนา จุลสวัสดิ์ rattan.jul@cra.ac.th <p>แผลกดทับยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและญาติ พยาบาลเป็นผู้ที่ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดที่สุดจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันการเกิดแผลกดทับและดูแลแผลกดทับ พยาบาลจำเป็นต้องมีความรู้ในการจัดการกับแผลกดทับเพื่อช่วยให้แผลกดทับดีขึ้น การดูแลผิวหนังของผู้ป่วยถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีการดูแลและป้องกันแผลกดทับ มีผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่ใช้ดูแลผิวหนังเพื่อลดการเกิดและช่วยรักษาแผลกดทับ แต่ผลิตภัณฑ์บางชนิดมีราคาค่อนข้างแพงและหาซื้อได้ยาก จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าการใช้ปิโตรเลียมเจลลี่เป็นอีกทางเลือกที่เหมาะสมในการดูแลผิวหนังเพื่อป้องกันและดูแลแผลกดทับ เนื่องจากมีราคาถูกหาซื้อได้ง่าย และมีความปลอดภัยหากใช้อย่างถูกต้อง บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอบทบาทของพยาบาลในการนำปิโตรเลียมเจลลี่ไปใช้ในการป้องกันการเกิดแผลกดทับและดูแลแผลกดทับ รวมทั้งการให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและญาติเพื่อการดูแลต่อเนื่องอันจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยต่อไป </p> 2023-12-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/1536 พฤติกรรมสุขภาพเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของผู้รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง 2023-08-16T12:50:00+07:00 กันยารัตน์ วิริยานนท์เกษม kanyb189@gmail.com อรพิชา เกตุพันธ์ onp88@hotmail.com ธีรนันท์ วรรณศิริ wtranun@hotmail.com <p>โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคเจ็บป่วยเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งด้านร่างกายนั้น ส่งผลให้ความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วยลดลง ไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง ต้องได้รับการฟื้นฟูบำบัดที่ยาวนาน ทั้งนี้โรคหลอดเลือดสมองยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ หน้าที่การงาน วิถีชีวิต หากผู้ป่วยไม่สามารถปรับตัวกับการเจ็บป่วยเรื้อรังนี้ได้ ก็อาจส่งผลกระทบด้านจิตใจ เกิดภาวะเครียดสะสม จนนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ ผู้ป่วยต้องเปลี่ยนผ่านจากผู้ที่มีสุขภาวะ กลายเป็นผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง และผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองแล้วนั้นมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้ ซึ่งการกลับเป็นโรคหลอดเลือดสมองซ้ำนั้น ส่งผลกระทบที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น บางรายอาจถึงแก่ชีวิต หรือผู้ที่รอดชีวิตบางรายก็เป็นผู้ที่มีความพิการหลงเหลือ ดังนั้นเพื่อป้องกันการกลับเป็นโรคหลอดเลือดสมองซ้ำ การปรับพฤติกรรมของผู้ป่วยด้วยตัวผู้ป่วยเองนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การเตรียมตัวที่ดี การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อการป้องกันการกลับเป็นซ้ำ จึงเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองควรปฏิบัติ</p> 2023-12-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/1487 การเสริมพลังแกนนำนักเรียนทางด้านสุขภาพในการรณรงค์ป้องกันการสูบบุหรี่ในนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษา: บทบาทพยาบาลชุมชน 2023-07-27T11:23:42+07:00 วิชุดา กลิ่นหอม wichudaklinhom@gmail.com ฐิติมา หมอทรัพย์ thitimanong@hotmail.com <p>บุหรี่เป็นสารเสพติดอันตรายที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นของคนทั่วโลกซึ่งสามารถป้องกันได้ ปัจจุบันพบการสูบบุหรี่ในเยาวชนและมีผู้สูบหน้าใหม่เพิ่มมากขึ้นทุกปี สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพในระยะยาว ดังนั้นจำเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาการสูบบุหรี่ในเยาวชน โดยกลุ่มเยาวชนด้วยกัน การเป็นแกนนำนักเรียนทางด้านสุขภาพ จึงเป็นกำลังสำคัญในการรณรงค์ลดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ กระทรวงสาธารณสุขตระหนักถึงศักยภาพของเยาวชนในหลายมิติ หนึ่งในนั้นคือ มิติการขับเคลื่อนทางด้านสุขภาพ จึงมีแนวคิดในการส่งเสริมให้เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งการดูแลสุขภาพตนเอง ครอบครัว และชุมชน พยาบาลชุมชนมีบทบาทสำคัญยิ่งในการร่วมพัฒนาสถานศึกษาปลอดบุหรี่ พัฒนาศักยภาพของเยาวชนด้วยการสร้างพลังเพื่อให้มีความรู้ ความมั่นใจในตนเอง รับรู้ความสามารถในตนเอง และเพิ่มความสามารถในการปฏิบัติ ในบทความนี้ได้ประยุกต์มโนทัศน์การเสริมพลังอำนาจในการพัฒนาศักยภาพของแกนนำนักเรียนทางด้านสุขภาพของโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งมาใช้ในการลดพฤติกรรมการสูบบุหรี่</p> 2023-12-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/1478 ผลของการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการปฏิบัติการป้องกันการติดเชื้อและอุบัติการณ์การติดเชื้อ ในผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องแบบต่อเนื่อง 2023-07-21T15:08:36+07:00 รัชนีกร ไข่หิน ratchaneekorn531@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong><strong>:</strong> ศึกษาผลของการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการปฏิบัติการป้องกันการติดเชื้อและอุบัติการณ์ติดเชื้อในผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องแบบต่อเนื่อง</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>: </strong>การวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังทดลอง</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องแบบต่อเนื่อง 66 คน เป็นกลุ่มทดลอง 33 คน ได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจตามแนวคิดของกิบสัน กลุ่มควบคุม 33 คน ได้รับการดูแลตามปกติ เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แผนการเสริมสร้างพลังอำนาจ แบบสอบถามการปฏิบัติการป้องกันการติดเชื้อฯ ค่าความตรงเชิงเนื้อหา .97 ค่าความเชื่อมั่นได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค .83 และแบบเฝ้าระวังการติดเชื้อฯ ตรวจสอบความตรงกันของการวินิจฉัยการติดเชื้อได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 1 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ไคสแควร์ และค่าที</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>หลังการเสริมสร้างพลังอำนาจ กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยปฏิบัติการป้องกันการติดเชื้อฯ มากกว่าก่อนได้รับการเสริมสร้างพลังอำนาจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt; .000) และมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.000) และพบการติดเชื้อในกลุ่มควบคุม 2 ครั้ง อัตราการติดเชื้อ 0.18 ครั้ง/ราย/ปี</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>การเสริมสร้างพลังอำนาจช่วยให้ผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องแบบต่อเนื่องมีการปฏิบัติการป้องกันการติดเชื้อที่ถูกต้องมากขึ้น ส่งผลให้อุบัติการณ์การติดเชื้อลดลง จึงควรนำการเสริมสร้างพลังอำนาจไปประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดทักษะในการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง</p> 2023-11-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/1399 ผลของโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออก ในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 2023-06-16T15:05:30+07:00 ยุคนธ์ เมืองช้าง yukhon@snc.ac.th จรูญลักษณ์ ป้องเจริญ charoonlux@snc.ac.th จารุวรรณ สนองญาติ jaruwan@snc.ac.th ศิริธิดา ศรีพิทักษ์ siritida@snc.ac.th อุษณียาภรณ์ จันทร ausaniyaphon@snc.ac.th <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong>: ศึกษาผลของโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong>: การวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังทดลอง</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 76 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 38 คน และกลุ่มควบคุม 38 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลสุขภาพตามปกติ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนต่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ 1.1) การสอนสุขศึกษา 1.2) การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและที่บ้าน 1.3) การบริการสุขภาพ 1.4) ความร่วมมือของโรงเรียนและครอบครัว และ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออก ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหาและค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ เท่ากับ 0.93 และ 0.92 ตามลำดับ ได้ค่าความเชื่อมั่นเป็นค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.83 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบค่าที</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกของกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสุขภาพในโรงเรียนหลังการทดลองเพิ่มขึ้นกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 และค่าเฉลี่ยของคะแนนพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองเพิ่มขึ้นกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับการดูแลแบบปกติในโรงเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong>: ควรนำโปรแกรมไปใช้ในการป้องกันไข้เลือดออกในนักเรียนกลุ่มอื่น</p> 2023-12-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/1493 การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสุขภาพจิต ในโรงพยาบาลอาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด 2023-07-29T15:58:57+07:00 นิตยา สินธุ์ภูมิ goodtime_101@hotmail.co.th วาสนา สุระภักดิ์ Psywasa.reru@gmail.com สุจิตตา ฤทธิ์มนตรี sujittarmt@gmail.com <p> </p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong>: เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและวิเคราะห์สถานการณ์การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสุขภาพจิต 2) พัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสุขภาพจิต และ 3) นำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้และประเมินผล</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong> : วิจัยและพัฒนา</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย </strong>: ดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและวิเคราะห์สถานการณ์ 2) พัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสุขภาพจิต และ 3) นำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้และประเมินผล กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วย แฟ้มประวัติผู้ป่วย บุคลากรทีมสุขภาพ และผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติสุขภาพจิต เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบบันทึก การสนทนากลุ่มและใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสุขภาพจิต วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละและวิเคราะห์ปัญหาจากการสนทนากลุ่มที่เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong>: รูปแบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสุขภาพจิตที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 1) การเข้าใจยอมรับการเจ็บป่วยและการพิทักษ์สิทธิผู้ป่วย 2) การประเมินผู้ป่วย 3) การรักษาและการพยาบาล 4) การส่งต่อผู้ป่วย 5) การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและผู้ดูแล และ 6) การบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ ผลการนำรูปแบบไปใช้ พบว่า ผู้ป่วยมีระดับพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงลดลง การส่งต่อลดลงร้อยละ 20.00 ผู้ป่วยและบุคลากรปลอดภัย ไม่เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน นอกจากนั้นบุคลากร และผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลตามรูปแบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติสุขภาพจิตมีความพึงพอใจ</p> 2023-12-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/1743 ปัจจัยคัดสรรที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคขนมขบเคี้ยวของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ในจังหวัดนครปฐม 2023-11-07T09:20:09+07:00 สุภาพร เชยชิด supapon24@gmail.com ประภาพรรณ ขาวขำ pa_bean@hotmail.com <p> <strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong><strong>: </strong>การศึกษานี้เป็นงานวิจัยเชิงพรรณนา เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคขนมขบเคี้ยว และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านบุคคล ปัจจัยด้านครอบครัว และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมกับพฤติกรรมการบริโภคขนมขบเคี้ยว</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย </strong><strong>: </strong>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบหาความสัมพันธ์</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย :</strong> กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 และผู้ปกครอง จำนวน 280 คน ทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบชั้นภูมิ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การทดสอบสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน แบบสเปียร์แมน และไคสแควร์</p> <p><strong>ผลการวิจัย : </strong>นักเรียนมีพฤติกรรมการบริโภคขนมขบเคี้ยวอยู่ในระดับปานกลาง (M=20.00, S.D.=6.64) โดยขนมขบเคี้ยวที่บริโภคบ่อย คือ ลูกอม (M=1.51, S.D.=.59) สำหรับปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคขนมขบเคี้ยวของเด็กวัยเรียน ได้แก่ ระดับชั้นที่ศึกษา (p=.00) เงินที่ได้รับมาโรงเรียน (r=.11, p&lt;.05) ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคขนมขบเคี้ยว (r=.12, p&lt;.05) และพฤติกรรมการบริโภคขนมขบเคี้ยวของผู้ปกครอง (r=.24, p&lt;.01)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ </strong><strong>:</strong> ควรมีการศึกษาปัจจัยอื่นๆ เพื่อค้นหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคขนมขบเคี้ยวและภาวะโภชนาการของเด็กวัยเรียนอื่นๆ เนื่องจากปัจจัยที่ศึกษาในครั้งนี้ พบว่า มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำ</p> <p> </p> 2023-12-04T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/1709 การปฏิบัติการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำส่วนปลายของพยาบาลในโรงพยาบาลสมุทรสาคร 2023-10-19T23:27:47+07:00 ดวงแข สุขศิลป์ pkhaeo@gmail.com อรวรรณ สมบูรณ์จันทร์ ooorawan@gmail.com สลักจิต สุวรรณสาคร Salakjit5683@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: ศึกษาการปฏิบัติการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำส่วนปลายของพยาบาลโรงพยาบาลสมุทรสาคร และศึกษาความสัมพันธ์ของระยะเวลาการปฏิบัติงานกับการปฏิบัติการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำส่วนปลายของพยาบาลโรงพยาบาลสมุทรสาคร</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong>: การวิจัยเชิงพรรณนา</p> <p><strong>วิธีการดำเนินการวิจัย</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพ 173 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปและแบบบันทึกการสังเกตการปฏิบัติของพยาบาลในการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำมีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 1 และค่าความเที่ยงระหว่างผู้ประเมินเท่ากับ 0.88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของสเปียร์แมน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มี อายุ 20-30 ปี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 29 ปี มีประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ น้อยกว่า 5 ปี คิดเป็นร้อยละ 48 การปฏิบัติในการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ หมวดที่ปฏิบัติได้มากที่สุดคือ หมวดการเตรียมก่อนการให้สารน้ำ (ร้อยละ 92.63) รองลงมาคือหมวดการให้สารน้ำ (ร้อยละ 84.47) หมวดการดูแลผู้ป่วยขณะให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำส่วนปลาย (ร้อยละ 84.48) และหมวดการเปลี่ยนสารน้ำและชุดให้สารน้ำ (ร้อยละ 79.33) ทั้งนี้มีขั้นตอนปฏิบัติบางหมวดที่ยังไม่ครบถ้วนตามที่กำหนด</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>การส่งเสริมให้พยาบาลใช้แนวปฏิบัติการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำที่เป็นมาตรฐานและเป็นแนวทางเดียวกัน เป็นสิ่งสำคัญเพื่อเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ป่วยและเพิ่มคุณภาพการพยาบาล</p> 2023-12-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน