วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal th-TH nursejournal@christian.ac.th (Assistant Professor Dr. Sakul Changmai) nursejournal@christian.ac.th (คณะกรรมการวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน) Fri, 30 May 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลของการพัฒนาแนวปฏิบัติทางคลินิกสำหรับการหย่าเครื่องช่วยหายใจ ในผู้ป่วยบาดเจ็บสมองโรงพยาบาลนครปฐม https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/3829 <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย:</strong> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกสำหรับการหย่าเครื่องช่วยหายใจในผู้ป่วยบาดเจ็บสมอง ที่โรงพยาบาลนครปฐม </p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย:</strong> การวิจัยและพัฒนา</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย:</strong> การวิจัยนี้ใช้แนวคิดการพัฒนาแนวปฏิบัติทางคลินิกของสภาวิจัยทางการแพทย์และสุขภาพแห่งชาติประเทศออสเตรเลียร่วมกับทฤษฎีระบบ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ พยาบาลวิชาชีพจำนวน 22 คนที่นำแนวปฏิบัติไปใช้ ผู้ป่วยบาดเจ็บสมองที่ใส่เครื่องช่วยหายใจจำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มก่อนใช้และหลังใช้แนวปฏิบัติ กลุ่มละ 30 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความเป็นไปได้ในการใช้แนวปฏิบัติและแบบบันทึกการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน </p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> แนวปฏิบัติทางคลินิกประกอบด้วย 4 หมวดหลัก ได้แก่ 1) การประเมินความพร้อมการหย่าเครื่องช่วยหายใจ 2) การพยาบาลระหว่างการหย่าเครื่องช่วยหายใจและหลังถอดท่อช่วยหายใจ 3) การประเมินความพร้อมในการถอดท่อช่วยหายใจ และ 4) การบันทึก ผลการวิจัยพบว่า แนวปฏิบัติทางคลินิกมีความเป็นไปได้สูงในการใช้ระดับมากที่สุด ผู้ป่วยกลุ่มใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกมีระยะเวลาการหย่าเครื่องช่วยหายใจ และระยะเวลาการถอดท่อช่วยหายใจน้อยกว่ากลุ่มก่อนใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt;.001) อัตราการใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำภายใน 48 ชั่วโมง น้อยกว่ากลุ่มก่อนใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt;.05) แต่การเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &gt; .05)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong> ผลการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิก ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี จึงควรนำไปใช้ต่อเนื่องและประกาศเป็นนโยบายในระดับองค์กรพยาบาล</p> ปิยวะดี ลีฬหะบำรุง, วรางคณา สายสิทธิ์, ยุพา พิมพ์ดี, ราตรี สุขหงษ์, นภัทร รัตนหงษา, อัญชิสา รัตนคุณูประการ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/3829 Fri, 30 May 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาทักษะการพยาบาลทวารเทียมและความคงทนของความรู้ เรื่องทวารเทียมของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ โรงพยาบาลราชบุรี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/3263 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong> : </strong>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้และทักษะการพยาบาลทวารเทียมของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการพัฒนาทักษะผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และเพื่อศึกษาความคงทนของความรู้เกี่ยวกับการดูแลทวารเทียมในพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ </p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong> <strong>: </strong>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) โดยใช้การวัดผลแบบกลุ่มเดียวก่อนและหลังการทดลอง (One-group pretest-posttest design)</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong><strong> :</strong> กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพยาบาลวิชาชีพจบใหม่ จำนวน 34 คน ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลราชบุรีระหว่างปี พ.ศ. 2564 -2566 โปรแกรมการพัฒนาทักษะใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบวิดีโอที่ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับทวารเทียม 6 หัวข้อ เครื่องมือวิจัยประกอยด้วยแบบทดสอบความรู้เรื่องทวารเทียม จำนวน 20 ข้อ และแบบประเมินทักษะการพยาบาล จำนวน 15 ข้อ โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้และการทดสอบ Paired t-test และ Repeated measure ANOVA</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong> : </strong>ผลการวิจัยพบว่า ความรู้และทักษะการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพจบใหม่หลังจากได้รับโปรแกรม มีค่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.001) และความคงทนของความรู้ยังคงอยู่ในสัปดาห์ที่ 7</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ </strong><strong>: </strong>ควรมีการพัฒนาระบบในการพยาบาลการดูแลทวารเทียมเพื่อใช้ประกอบการให้การพยาบาลทวารเทียมทุกขั้นตอนจนจำหน่ายเพื่อใช้ในการพยาบาลอย่างครบกระบวนการ</p> จำเนียร โภชน์พันธ์, ศิริกัญญา อุสาหพิริยกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/3263 Fri, 30 May 2025 00:00:00 +0700 พฤติกรรมการบริโภคอาหารเชิงวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมือง ในภาคเหนือของประเทศไทย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/4035 <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย </strong>เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารเชิงวัฒนธรรม เกี่ยวกับแบบแผนการเลือกอาหาร การเตรียม การปรุง และพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้ใหญ่วัยกลางคนที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองในภาคเหนือของประเทศไทย</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong> การวิจัยเชิงคุณภาพ</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong> มีการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ผู้ให้ข้อมูลหลักเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นผู้ใหญ่วัยกลางคน จำนวน 20 คน ศึกษาระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึง ธันวาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา โดยจัดกลุ่มของข้อมูลตามคำ หรือประเด็นที่สนใจ ตีความหมาย และสรุปประเด็นหลักที่ได้</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong>พฤติกรรมการบริโภคอาหารเชิงวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองทั้ง 5 ชนเผ่า มี 7 ประเด็นหลัก ได้แก่ ความหมายของอาหารที่ดี อาหารที่นิยมรับประทาน วิธีการปรุงอาหารและเครื่องปรุงหลัก การปรับตัวในการรับประทานอาหารเมื่อต้องออกไปทำงานนอกบ้าน อาหารของคนรุ่นใหม่ อาหารที่มีข้อห้าม และขนมและของหวาน</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ </strong>ผลการศึกษาแสดงถึงความคล้ายคลึง และความแตกต่างในพฤติกรรมการบริโภคอาหารเชิงวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองแต่ละเผ่า และสะท้อนถึงอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ที่มีผลต่อการยอมรับการเปลี่ยนแปลง หรือผสมผสานทางวัฒนธรรม ในด้านพฤติกรรมการรับประทานอาหาร อันจะนำไปสู่ภาวะสุขภาพของชนเผ่าพื้นเมืองโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ และมีข้อเสนอแนะให้มีการธำรงรักษาวัฒนธรรมในการบริโภคอาหารของชนเผ่าพื้นเมือง ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ที่เหมาะสม ในการเลือกอาหารสมัยใหม่ตามวิถีชีวิตของสังคมเมือง</p> ประกาย จิโรจน์กุล, พูนพิลาศ โรจนสุพจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/4035 Fri, 30 May 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการรับผู้ป่วยตามนัดเพื่อเข้ารับการรักษา ในโรงพยาบาลแผนกผู้ป่วยนอกศัลยกรรมโดยใช้แนวคิดแบบลีน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/2979 <p>วัตถุประสงค์การวิจัย: 1) พัฒนาระบบการรับผู้ป่วยตามนัดมานอนโรงพยาบาล แผนกศัลยกรรม และ 2) ประเมินระยะเวลารอคอยในการรับผู้ป่วยเข้านอนโรงพยาบาล และคะแนนความพึงพอใจของผู้รับบริการ<br>รูปแบบการวิจัย: วิจัยเชิงปฏิบัติการ <br>วิธีดำเนินการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยศัลยกรรมที่มารับบริการเพื่อนัดมานอนโรงพยาบาล ที่แผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลสมุทรสาคร จำนวนทั้งหมด 43 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยเครื่องมือเชิงปริมาณใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ 1) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้รับบริการ 2) แบบบันทึกระยะเวลาการรับบริการของผู้รับบริการ โดยเริ่มจับเวลาเมื่อผู้รับบริการมาในงานบริการผู้ป่วยนอก เครื่องมือเชิงคุณภาพเป็นเครื่องมือตามแนวคิดแบบลีนซึ่งใช้ปรับปรุงพัฒนาระบบการรับผู้ป่วยตามนัดมานอนโรงพยาบาลได้แก่ 1) การเขียนแผนผังสายธารคุณค่า และ 2) สร้างแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานการดำเนินงาน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา<br>ผลการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชายคิดเป็นร้อยละ 65.1 มีช่วงอายุ &gt; 60 ปี คิดเป็นร้อยละ 51.2 การวินิจฉัยโรคและการผ่าตัด (แยกตามกลุ่มโรคเฉพาะทาง) ศัลยกรรมทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 76.74 มีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง ร้อยละ 32.6 สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 60.5 อาชีพรับจ้าง ร้อยละ 34.9 ระยะเวลาที่ใช้ให้บริการแต่ละจุดพบว่า หลังใช้ระบบลีน มีเวลาแต่ละจุด ใช้ระยะเวลาน้อยกว่า ก่อนใช้ระบบลีน ใช้เวลาทั้งหมด 25 นาที ค่าเฉลี่ยรวมระดับความพึงพอใจโดยภาพรวมของผู้มารับบริการเท่ากับ 4.44 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.46<br>สรุปและข้อเสนอแนะ: มีการส่งเสริมให้ทุกหน่วยงานของแผนกผู้ป่วยนอกได้ใช้แนวคิดแบบลีนในการพัฒนารูปแบบการให้บริการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ เพิ่มความพึงใจของผู้รับและผู้ให้บริการ<br>คำสำคัญ: ระยะเวลารอคอย, การบริการแผนกผู้ป่วยนอก, แนวคิดแบบลีน</p> ณิศชาญา วงศ์ภาธร, สุปราณี แตงวงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/2979 Fri, 30 May 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมป้องกันแผลกดทับบริเวณใบหน้าในผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังท่านอนคว่ำ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/3788 <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย: </strong>เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการป้องกันแผลกดทับต่อการเกิดแผลกดทับบริเวณใบหน้าในผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสันหลังที่ได้รับการระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายในท่านอนคว่ำ</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย: </strong>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย: </strong>กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่มารับบริการผ่าตัดกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลวชิรพยาบาล คณะแพทยศาสตร์</p> <p>วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช จำนวน 168 ราย ใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสะดวกแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 84 ราย ด้วยการสุ่มเข้ากลุ่ม ใช้สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการทดสอบแบบไคสแควร์กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> 1) กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับโปรแกรมการป้องกันแผลกดทับมีอัตราการเกิดแผลกดทับที่บริเวณใบหน้าน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ 2) กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับโปรแกรมป้องกันการเกิดแผลกดทับมีความรุนแรงของแผลกดทับบริเวณใบหน้า ต่ำกว่ากลุ่มตัวอย่างในกลุ่มควบคุม</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ: </strong>นำผลการศึกษาไปเป็นแนวทางในการให้การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วยการระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายในท่านอนคว่ำเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับบริเวณใบหน้าขณะผ่าตัด </p> นันทวัน ทรัพย์ประเสริฐดี, สุจารีย์ ภู่พิพัฒน์ภาพ, สุพัตรา ทองคำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/CUT_Nursejournal/article/view/3788 Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700