วารสารศูนย์อนามัยที่ 10 อุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal <p>วารสารศูนย์อนามัยที่ 10 อุบลราชธานี</p> <p>( Regional Health Promotion Center 10 Ubonratchathani Journal )</p> <p><em><strong> ISSN: 3088-2095</strong> (online)</em></p> <p><strong><em>กำหนดออก</em></strong><em> : วารสารตีพิมพ์ 2 ฉบับต่อปี </em></p> <ul> <li><em>ฉบับที่ </em><em>1 มกราคม – มิถุนายน</em></li> <li><em>ฉบับที่ </em><em>2 กรกฎาคม – ธันวาคม</em></li> </ul> <p><strong><em>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : </em></strong><em>วารสารฯ มีวัตถุประสงค์ ที่จะรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูง ในด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ บุคลากรสาธารณสุข นักวิชาการ นักศึกษาและนักวิจัย ทั้งในและนอกเขตสุขภาพที่ </em><em>10 </em> </p> th-TH research.hpc10@gmail.com (Satawat Sriprom) titirat.bha@gmail.com (titirat phawasuttipong) Tue, 09 Dec 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความรู้ บริบทและความต้องการของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขตพื้นที่อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4257 <p> การศึกษาเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ความรู้ บริบท และความต้องการของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อสม. ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในอำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างคือ อสม. จำนวน 327 คน ซึ่งได้จากการคำนวณตามตาราง Krejcie &amp; Morgan โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified sampling) ชนิดสัดส่วน โดยแบ่งจำนวนตัวอย่างแต่ละพื้นที่ด้วยการสุ่มจับฉลาก เก็บข้อมูลดำเนินการระหว่างเดือนธันวาคม 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 ด้วยแบบสอบถามและซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน (ค่า KR-20=0.72 ) ทุกข้อ และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.92 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า อสม. ส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในระดับปานกลาง ร้อยละ 54.4 โดยมีถึงร้อยละ 15.9 ที่มีความรู้ระดับต่ำ แม้ว่าอสม.จะมีประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยก็ตาม และร้อยละ 46.2 ยังคงขาดความรู้และทักษะที่จำเป็นในการให้คำแนะนำผู้ป่วยอย่างเหมาะสม รวมไปถึง อสม. มีความต้องการเร่งด่วนในการอบรมพัฒนาศักยภาพเกี่ยวกับการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน ร้อยละ 65.1 หลักโภชนาการ ร้อยละ 56.9 การออกกำลังกาย ร้อยละ 45.0 รวมถึงทักษะการแก้ปัญหาสำหรับผู้ป่วยที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ร้อยละ 83.2 นอกจากนี้ ยังต้องการทรัพยากรสนับสนุน เช่น เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด ร้อยละ 80.7 และคู่มือสำหรับผู้ป่วย ร้อยละ 52.6</p> ณัฐพล ปัญญา, มณฑิชา รักศิลป์, วิลาวัณย์ ชาดา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 10 อุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4257 Tue, 09 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษา ทักษะชีวิต และพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศที่มีความสัมพันธ์ กับการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในเขตเมืองและเขตชนบท จังหวัดอำนาจเจริญ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4299 <p> การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษา ทักษะชีวิต และพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศที่มีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในเขตเมืองและเขตชนบท จังหวัดอำนาจเจริญ คำนวณขนาดตัวอย่างด้วยสูตรประมาณค่าเฉลี่ยประชากร 2 กลุ่ม ที่อิสระต่อกัน ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 240 คน (120 คนต่อกลุ่ม) ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.79 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานด้วย Independent-samples t-test และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติทดสอบพหุถดถอย (Multiple logistic regression)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในเขตเมืองมีความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษาและทักษะชีวิตสูงกว่านักเรียนในเขตชนบทอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value&lt;0.05) ในขณะที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในเขตชนบท มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสูงกว่านักเรียนในเขตเมือง (<em>p</em>-value=0.003) เมื่อควบคุมผลกระทบของปัจจัยทั้งหมด พบว่า การดื่มแอลกอฮอล์มีความสัมพันธ์กับการมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า (95%CI=1.375 to 6.543, <em>p</em>-value=0.006) อีกทั้งผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสูงมีโอกาสเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ สูงกว่าผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศต่ำเป็น 7.26 เท่า (95%CI=2.26 to 23.33, <em>p</em>-value&lt;0.001) ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษาและทักษะชีวิตเพื่อเสริมสร้างการตระหนักรู้และลดพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดอำนาจเจริญต่อไป</p> คุนัญญา สอดสี, ณัฐณิชา พรทิพย์, ปานธีร์สุดา ดีมา, ศิริพร ศิริกัญญาภรณ์, กรกวรรษ ดารุนิกร, มงคลฤทธิ์ มณีเลิศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 10 อุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4299 Tue, 09 Dec 2025 00:00:00 +0700 ลักษณะทางประชากรศาสตร์และความรอบรู้ด้านดิจิทัลที่มีผลต่อประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานของบุคลากรด้านสาธารณสุขในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4327 <p> การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะทางประชากรศาสตร์และความรอบรู้ด้านดิจิทัลที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรด้านสาธารณสุขในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่างคือบุคลากรด้านสาธารณสุขจำนวน 137 คน จากประชากรทั้งหมด 1,606 คน มาจากการคำนวณตามสูตรของ Cohen (1988) โดยสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน (IOC&gt;0.50) ทุกข้อ และมีค่าความเชื่อมั่นด้านความรอบรู้ด้านดิจิทัลเท่ากับ 0.98 ด้านประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานเท่ากับ 0.91 และมีค่าความเชื่อมั่นแบบสอบถามทั้งชุดเท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ความรอบรู้ด้านดิจิทัลและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร โดยรวมอยู่ในระดับมาก และความรอบรู้ด้านดิจิทัลมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.698, <em>p</em>-value&lt;0.001) โดยเฉพาะความรอบรู้ด้านดิจิทัล ด้านการใช้โปรแกรมดิจิทัลเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลงานประจำ และด้านการเข้าถึงและตระหนักรู้ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งสามารถร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรด้านสาธารณสุข ได้ร้อยละ 50.70 (R<sup>2</sup>=0.507, <em>p</em>-value&lt;0.001) ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการส่งเสริมสมรรถนะของบุคลากรเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการสุขภาพในระดับชุมชนอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน</p> อารียา ภูขันสูง, นพรัตน์ เสนาฮาด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 10 อุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4327 Tue, 09 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความรอบรู้และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ของนักศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีสรรพสิทธิประสงค์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4111 <p> การวิจัยเชิงความสัมพันธ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของนักศึกษาพยาบาลวิทยาพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 1- ชั้นปีที่ 4 ปีการศึกษา 2567 จำนวนทั้งสิ้น 124 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีความเที่ยง (Cronbach’s alpha=0.78-0.95) วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ยและร้อยละ ทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ Chi-Square Test โดยวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยกำหนดระดับนัยสำคัญที่ .05 </p> <p> ผลการวิจัย พบว่านักศึกษาพยาบาลมีความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในภาพรวมอยู่ในระดับเพียงพอ (𝑥̅=45.25, S.D.=8.241) โดยพบว่านักศึกษาชั้นปีที่ 3 มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด และนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ยต่ำสุด และ ปัจจัยที่มีผลต่อความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ ระดับชั้นปี การเรียนวิชาเภสัชวิทยา การเรียนภาคปฏิบัติวิชาการพยาบาล และ ประสบการณ์การเรียนหัวข้อการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงหลักสูตรและรูปแบบการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักศึกษาพยาบาลมีความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลอยู่ในระดับเพียงพอมากยิ่งขึ้น</p> บุญชัย ภาละกาล, ณัฐพร คนไว, นิรัชพร สีงาม, บุษบา สิงห์แจ่ม, ประกายดาว ทานะวิโรจน์, ปราณปริยา ชาวน่าน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 10 อุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4111 Tue, 09 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการออมสุขภาพด้วยพหุโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพวัยทำงาน ของบุคลากรในเทศบาลเมืองวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4394 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการออมสุขภาพด้วยพหุโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพวัยทำงาน และประเมินพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ. 2ส. 1ฟ. 2น. พัฒนารูปแบบด้วยแนวคิด“การออมสุขภาพ” ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนของเคิร์ท เลวิน ได้แก่ 1) การวางแผน (Planning) 2) การปฏิบัติ (Acting) 3) การสังเกต (Observing) และ 4) การสะท้อนผล (Reflecting) กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรในเทศบาลเมืองวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 50 คน เข้าร่วมโปรแกรมฯ เป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณเพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์คะแนนพฤติกรรม ดัชนีมวลกาย และเส้นรอบเอว ด้วยสถิติ Paired samples t-test และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content analysis)</p> <p> ผลการวิจัย ได้ผลการพัฒนารูปแบบแบบมีส่วนร่วม โดยจัดรูปแบบทั้ง 6 กิจกรรม ดังนี้ การจัดฐานปรับความคิดและเสริมสร้างความตระหนัก กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน กลุ่มทำกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการบันทึกออมสุขภาพ 8 พฤติกรรม ตามหลัก 3อ. 2ส. 2น. 1ฟ. ซึ่งผลลัพธ์ด้านการรับรู้ความสามารถตนเองและพฤติกรรมสุขภาพก่อนและหลังเข้าร่วมการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถตนเองและพฤติกรรมสุขภาพมากกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Mean diff=5.03, 95%CI=1.56 to 8.46, <em>p</em>-value=0.005; Mean diff=3.25, 95%CI =0.78 to 3.38,<em> p</em>-value =0.003) และค่าเฉลี่ยเส้นรอบเอวและดัชนีมวลกายก่อนและหลังเข้าร่วมการวิจัย พบว่า หลังการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยรอบเอวและดัชนีมวลกายลดลงอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (Mean diff=-1.254, 95%CI=-3.08 to 0.57, <em>p</em>-value =0.172; Mean diff=-0.18, 95%CI=-0.55 to 0.20, <em>p</em>-value=0.351) ตามลำดับ</p> <p> สรุปผลการศึกษา ผลลัพธ์ของรูปแบบการออมสุขภาพด้วยพหุโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพวัยทำงาน มีประสิทธิภาพสามารถสร้างการรับรู้ความสามารถตนเองและพฤติกรรมสุขภาพได้ แต่ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ได้แก่ ดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอว จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการติดตามผลและประเมินความยั่งยืนของโปรแกรม ฯ ต่อไป</p> ศุภลักษณ์ ธนธรรมสถิต, มนฤดี แสงวงษ์, ฐิติรัตน์ ภาวะสุทธิพงษ์, ศศิธร บุญสุข, จิรนันท์ เจริญผล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 10 อุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4394 Tue, 09 Dec 2025 00:00:00 +0700 สมรรถนะในศตวรรษที่ 21 และภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อ การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานบริการสุขภาพปฐมภูมิ ของผู้อำนวยการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลจังหวัดชัยภูมิ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4328 <p> การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive research) เพื่อศึกษาสมรรถนะในศตวรรษที่ 21 และภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานบริการสุขภาพปฐมภูมิ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 152 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม โดยได้ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ซึ่งทุกข้อคำถามมีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า 0.50 และค่าความเที่ยงของแบบสอบถาม ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค 0.99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ใช้สถิติการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติการถดถอยพหุเชิงเส้นแบบขั้นตอน (Stepwise multiple linear regression analysis) กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ภาพรวมระดับสมรรถนะในศตวรรษที่ 21 ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และระดับการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานบริการสุขภาพปฐมภูมิ ของผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดชัยภูมิ อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.27 (S.D.=0.44), 4.40 (S.D.=0.48) และ 4.43 (S.D.=0.50) ตามลำดับ โดยพบว่าภาพรวมสมรรถนะในศตวรรษที่ 21 และภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีความสัมพันธ์ระดับสูงกับการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานบริการสุขภาพปฐมภูมิ ของผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดชัยภูมิ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.742, <em>p</em>-value&lt;0.001) และ (r=0.792, <em>p</em>-value&lt;0.001) ตามลำดับ</p> เทพฤทธิ์ ฤทธิ์ไธสง, นพรัตน์ เสนาฮาด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 10 อุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4328 Tue, 09 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาโปรแกรมสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพสำหรับผู้มารับบริการตรวจคัดกรอง HPV DNA Test ในรายที่ผลตรวจผิดปกติ ศูนย์อนามัยที่ 10 อุบลราชธานี โดยใช้ LINE official https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4353 <p> การวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพสำหรับผู้มารับบริการตรวจคัดกรอง HPV DNA Test ในรายที่ผลตรวจผิดปกติ ศูนย์อนามัยที่ 10 อุบลราชธานี โดยใช้ LINE official ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัญหาเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 12 คน ระยะที่ 2 การพัฒนาและทดสอบโปรแกรมใช้กลุ่มตัวอย่าง ช่วงที่ 1 จำนวน 17 คน และ ช่วงที่ 2 จำนวน 40 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้น 2 ฉบับ ประเมินความตรงของเนื้อหา โดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน และตรวจสอบความเที่ยงด้วยค่า Cronbach’s alpha ได้เท่ากับ .981 และ .955 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้กระบวนการวิเคราะห์แก่นสาระ และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ Paired sample t-test และ Wilcoxon signed ranks test โดยกำหนดระดับนัยสำคัญที่ .05</p> <p> ผลการวิจัย 1) ผลการวิเคราะห์สภาพปัญหาพบว่า ผู้รับบริการ มีความรู้สึกกลัว วิตกกังวลสูง ข้อมูลที่ได้รับยังไม่เพียงพอในการตัดสินใจ ส่วนผู้ให้บริการพบภาระงานมากจากการให้ข้อมูลซ้ำ ๆ ทางโทรศัพท์และไลน์ 2) ผลการพัฒนาต้นแบบโปรแกรม ฯ ฉบับร่างที่ 1 โดยใช้ชื่อโปรแกรมว่า “ความรอบรู้เรื่อง HPV” ประกอบด้วยกิจกรรมสร้างเสริมความรอบรู้ 6 ด้าน นำไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กจากนั้นทำการปรับปรุงเป็นฉบับร่างที่ 2 และนำไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่ขึ้น 3) ผลการทดลองใช้โปรแกรมฯ ทั้งในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ พบว่า คะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมของกลุ่มตัวอย่างหลังการทดลองดีกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value&lt;.05) สรุปได้ว่าโปรแกรมเสริมสร้างความรอบรู้ที่พัฒนาขึ้นนี้สามารถนำไปใช้ในการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพให้แก่ผู้ที่มีผลตรวจ HPV DNA Test ผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดภาระงานของผู้ให้บริการได้</p> พรรณปพร ภาละกาล, วิษณุ จันทร์สด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 10 อุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/HPC10Journal/article/view/4353 Tue, 09 Dec 2025 00:00:00 +0700