https://he03.tci-thaijo.org/index.php/JODPC8/issue/feed
วารสารวิชาการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 8 จังหวัดอุดรธานี
2025-08-15T15:01:49+07:00
สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 8 จังหวัดอุดรธานี
odpc8ud.journal@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิชาการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 8 จังหวัดอุดรธานี </strong></p> <p><span style="font-weight: 400;"> จัดทำเพื่อเผยแพร่นิพนธ์ต้นฉบับ บทบรรณาธิการ บทความวิจัย บทความวิชาการ และการสอบสวนโรค เกี่ยวกับป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ ตลอดจนผลงานด้านการส่งเสริมสุขภาพ เช่น โรคติดต่อ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคไม่ติดต่อ และโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ผลงานวิชาการที่ลงตีพิมพ์เผยแพร่จะต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองจาก<strong>ผู้เชี่ยวชาญ (Peer review) จำนวน 2 ท่าน แบบ Double blind</strong></span></p> <p><span style="font-weight: 400;"><strong>E-ISSN :</strong> 2822-0250 </span></p> <p><span style="font-weight: 400;"><strong>ปีที่เริ่มเผยแพร่</strong> <strong>:</strong> ปี พ.ศ.2565</span></p> <p><span style="font-weight: 400;"><strong>ภาษาที่เผยแพร่</strong> <strong>:</strong> ไทย / อังกฤษ</span></p> <p><span style="font-weight: 400;"><strong>ค่าธรรมเนียม :</strong> ไม่มีค่าธรรมเนียม</span></p> <p><span style="font-weight: 400;"><strong>การเผยแพร่ :</strong> ปีละ 3 ฉบับ มกราคม-เมษายน, พฤษภาคม-สิงหาคม, กันยายน-ธันวาคม ผ่านช่องทางออนไลน์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/JODPC8/index</span></p>
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/JODPC8/article/view/3172
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
2024-09-18T16:31:31+07:00
สิริสุดา วงษ์ใหญ่
sirisuda@scphub.ac.th
แก้วใจ มาลีลัย
kaewjai@scphub.ac.th
นภาพร ห่วงสุขสกุล
napaporn@scphub.ac.th
<p>การวิจัยแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพทำนายพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 84 คน มีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ระหว่างวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 – 15 กันยายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมานในการหาปัจจัยทำนายด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบ Stepwise ผลการวิจัยพบว่า กลุ่ม อสม. ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ไม่มีโรคประจำตัว ระดับการศึกษาสูงสุด ชั้นประถมศึกษา อาชีพหลักคือ เกษตรกร มีรายได้เฉลี่ย 5,676.19 บาทต่อเดือน ระยะเวลาในการเป็น อสม. เฉลี่ย 13.42 ปี เข้ามาเป็น อสม. โดยได้รับการคัดเลือก มีประวัติการตรวจอุจจาระหาไข่พยาธิทุกปี มีประวัติการรับประทานอาหารดิบ ไม่เคยฝึกอบรมเรื่องการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ ไม่เคยมีประวัติป่วยและไม่เคยมีบุคคลในครอบครัวเคยป่วยเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ การรับรู้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อโรคของกลุ่ม อสม. พบว่า การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคอยู่ในระดับปานกลาง การรับรู้ความรุนแรงของโรคอยู่ในระดับสูง การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันโรคอยู่ในระดับสูง การรับรู้อุปสรรคของการป้องกันโรคอยู่ในระดับต่ำ และพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จำนวน 2 ตัวแปร คือ การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ สามารถอธิบายความผันแปร ได้ร้อยละ 48.5 (R<sup>2</sup> = 0.485) และประวัติการรับประทานอาหารดิบ สามารถร่วมกันอธิบายความผันแปร ได้ร้อยละ 61.4 (R<sup>2</sup> = 0.614, R<sup>2</sup>adj = 0.605, P < 0.001) ดังนั้น จึงควรมีการพัฒนาการสร้างนวัตกรรมรูปแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เน้นไปที่การกระตุ้นการรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันโรค โดยเน้นการสื่อสารการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดโอกาสการเจ็บป่วย แต่ยังเพิ่มคุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัวในระยะยาว รวมไปถึงการจัดกิจกรรมรณรงค์ การมีสื่อสุขภาพที่แสดงผลลัพธ์ด้านสุขภาพจากการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ นำเสนอข้อมูลของบุคคลต้นแบบที่สามารถดูแลสุขภาพได้อย่างถูกต้อง แนะนำเลี่ยงการบริโภคอาหารดิบและปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ดี จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนปฏิบัติตามแนวทางป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ซึ่งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เป็นกำลังสำคัญในการดำเนินกิจกรรมและเป็นตัวแทนในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบความรุนแรงของโรค เพื่อให้เกิดความตระหนักในการป้องกันโรคอย่างยั่งยืน</p>
2025-08-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 8 จังหวัดอุดรธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/JODPC8/article/view/3185
รายงานการศึกษา การระบาดของโรคไข้เลือดออก ตำบลโนนเมือง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม - 16 พฤศจิกายน 2566
2024-09-18T09:57:17+07:00
ผไทมาศ เปรื่องปรีชาศักดิ์
genepathma@gmail.com
ทรงเกียรติ ยุระศรี
songkiat.urasri@gmail.com
กฤษณะ สุกาวงค์
kissa.manutd@gmail.com
พูลทรัพย์ โพนสิงห์
p_poolsap1983@yahoo.com
ฐิตินันท์ กล่ำศิริ
Thitinan.Klamsiri@gmail.com
<p>การศึกษาการระบาดโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ตำบลโนนเมือง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม - 16 พฤศจิกายน 2566 เพื่อศึกษาการระบาดของโรคไข้เลือดออก ตามการกระจายของบุคคล เวลา และสถานที่ โดยการสำรวจแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายในพื้นที่ การศึกษาการรับรู้ และความตระหนักของประชาชนต่อโรคไข้เลือดออก และเพื่อประเมินประสิทธิภาพเครื่องพ่นสารเคมี และหามาตรการควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออก ผลการศึกษา พบช่วงการระบาดระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นนักเรียน อายุ 5 - 9 ปี ลักษณะอาการเป็นไข้เดงกี (Dengue Fever, DF) ในพื้นที่ตำบลโนนเมือง พบการระบาด 46 ราย ทั้ง 15 หมู่บ้าน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน มีการระบาดสูงในหมู่ที่ 1, 8, 12 และ 15 จากการสอบสวนพบว่า เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคระดับพื้นที่ (Communicable Disease Control Unit, CDCU) ดำเนินการควบคุมโรคตามมาตรการ 3-3-1 การควบคุมยุงพาหะโรคไข้เลือดออก โดยการพ่นสารเคมีในบ้านของผู้ป่วยและรัศมี 100 เมตร จากการสำรวจพบพื้นที่มีค่าดัชนีความชุกชุมของลูกน้ำยุงลายในบ้าน มากกว่า 5 ทั้งนี้ การผสมสารเคมีในการพ่นแบบ Ultra Low Volume (ULV) ผสมอัตราน้อยกว่าเกณฑ์ และชุมชนมีมาตรการกำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยใช้การเลี้ยงปลาในภาชนะ แต่ยังไม่ครอบคลุมทุกภาชนะ การศึกษาการรับรู้และความตระหนักของประชาชน โดยส่วนใหญ่ ทราบอาการเบื้องต้นของโรคไข้เลือด ร้อยละ 75.00 มีการรับรู้การห้ามกินยาแก้บรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs, NSAIDs) ร้อยละ 50.00 รับรู้ว่าเมื่อป่วยเป็นไข้เลือดออกแล้วไม่รีบรักษามีโอกาสเสียชีวิตได้ ร้อยละ 87.50 ดำเนินการกำจัดแหล่งวางไข่ยุงลายในบ้าน และบริเวณบ้าน ร้อยละ 87.50 โดยวิธีเลี้ยงปลากินลูกน้ำ ร้อยละ 62.50 กางมุ้ง ร้อยละ 50.00 กำจัดลูกน้ำยุงลายบริเวณบ้านร้อยละ 43.80 และกำจัดยุงลายในบ้าน ร้อยละ 43.80 การระบาดโรคไข้เลือดออกครั้งนี้ คาดว่าเป็นการนำเชื้อไวรัสเดงกีเข้ามาแพร่ในพื้นที่ เนื่องจากนักเรียนมีการศึกษาอยู่นอกพื้นที่ และไม่มีการป้องกันการถูกยุงกัด รวมทั้งอยู่ในช่วงฤดูฝน เป็นปัจจัยเพิ่มโอกาส ในการเพาะพันธุ์ของยุงพาหะนำโรคตามภาชนะที่พบทั้งในบ้านและนอกบ้าน ส่วนใหญ่ประชาชนมีความตระหนักต่อโรคไข้เลือดออก ควรมีการรณรงค์เรื่องการป้องกันยุงลายอย่างต่อเนื่องในชุมชน ด้านการใช้เครื่องพ่นสารเคมี ควรผสมสารเคมีในอัตราส่วนที่ถูกต้อง บำรุงรักษาเครื่องพ่นให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมหามาตรการดำเนินการควบคุมโรค และให้การเฝ้าระวังโรคเป็นไปอย่างเข้มงวด</p>
2025-08-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 8 จังหวัดอุดรธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/JODPC8/article/view/3333
การพัฒนากลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ (Bubble and Seal) ในสถานประกอบกิจการ พื้นที่เขตสุขภาพที่ 8
2024-11-19T11:22:34+07:00
กิตติยา พิมพาเรือ
kitty_pim27@hotmail.com
ศิมาลักษณ์ ดิถีสวัสดิ์เวทย์
dsimalak@gmail.com
กาญจนา แสนตะรัตน์
b5165902@gmail.com
เสียน ชุมสีวัน
papp.barca@gmail.com
จักรี ศรีแสง
pom_kku@hotmail.com
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากลไกการดำเนินงานขับเคลื่อนมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ (Bubble and Seal : BBS) ในสถานประกอบกิจการ 2) ประเมินมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ และคัดเลือกสถานประกอบการต้นแบบ BBS กลุ่มเป้าหมายเป็น สถานประกอบกิจการในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 8 จำนวนทั้งสิ้น 38 แห่ง โดยคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง และผู้แทนจากหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง 10 หน่วยงาน การดำเนินงานแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ 1) การสื่อสาร ถ่ายทอดนโยบาย/มาตรการ สู่การปฏิบัติระดับพื้นที่ 2) การลงพื้นที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านกลไกต่าง ๆ ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย และ 3) การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานมาตรการ BBS เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย เป็นกระบวนการ Policy advocacy การประชุมกลุ่ม การสนทนากลุ่ม และการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา พบว่ากลไกการดำเนินงานขับเคลื่อนมาตรการ BBS ในสถานประกอบกิจการ ประกอบด้วย 4 กลไกที่สำคัญคือ 1) การสื่อสาร ถ่ายทอดนโยบาย/มาตรการ Bubble and Seal สู่การปฏิบัติระดับพื้นที่ 2) ขับเคลื่อนผ่านกลไกคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด 3) ทีมที่ปรึกษา กำกับ ติดตาม (Coaching Team) ระดับจังหวัด โดยมีหน่วยงานวิชาการระดับเขตร่วมให้คำปรึกษา กำกับ ติดตาม และ 4) การนิเทศติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน ส่งผลให้เขตสุขภาพที่ 8 มีสถานประกอบกิจการนำมาตรการ BBS ไปใช้เพิ่มขึ้นจากเดิม 2 แห่งในระยะแรกของมาตรการ เพิ่มเป็น 68 แห่ง และมีสถานประกอบกิจการ 4 แห่งผ่านการรับรองต้นแบบการดำเนินงาน BBS ระดับประเทศ ผลการประเมินมาตรการ BBS ของสถานประกอบกิจการ จากกลุ่มตัวอย่าง 38 แห่ง พบว่ามีการเตรียมความพร้อมด้านนโยบายการจัดเตรียมแผนการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ครบถ้วนมากที่สุด (ร้อยละ 94.7) ส่วนประเด็นที่มีการดำเนินงานได้ครบถ้วนน้อยที่สุด คือ การเตรียมทำแผนงานการดำเนินงาน BBS (ร้อยละ 68.4) ข้อเสนอแนะจากการศึกษาคือ ขับเคลื่อนมาตรการ BBS ในสถานประกอบกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกโรคและภัยสุขภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป รวมถึงการมี Audit system การดำเนินงาน BBS ภายในสถานประกอบการเอง เพื่อควบคุมคุณภาพที่วางไว้ ให้เกิดการดำเนินงานตามมาตรการอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง</p>
2025-08-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 8 จังหวัดอุดรธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/JODPC8/article/view/3452
การสอบสวนโรคกรณีระบาดโรคไข้หวัดใหญ่และโรคปอดอักเสบ ในเรือนจำแห่งหนึ่ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
2024-12-02T14:25:49+07:00
ฐิตินันท์ กล่ำศิริ
Thitinan.Klamsiri@gmail.com
วราลักษณ์ ตังคณะกุล
hapdocw@gmail.com
กฤษณะ สุกาวงค์
kissa.manutd@gmail.com
เสียน ชุมสีวัน
papp.barca@gmail.com
<p>การสอบสวนโรคกรณีระบาดโรคไข้หวัดใหญ่และโรคปอดอักเสบ ในเรือนจำแห่งหนึ่ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ระหว่างวันที่ 12 – 21 มีนาคม 2567 มีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและการระบาดของโรค อธิบายลักษณะการกระจายของโรคตามบุคคล สถานที่ เวลา หาปัจจัยเสี่ยงการระบาดและมาตรการควบคุมโรค วิธีการศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน อัตราป่วย และความหนาแน่นของเรือนนอน ศึกษาระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์แบบ Case-control study หาปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ในเรือนจำ ด้วยสถิติเชิงอนุมาน นำเสนอค่า OR, 95% CI และ P-value ผลการสอบสวนพบผู้ป่วยสะสมระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ – 21 มีนาคม 2567 ทั้งหมด 106 ราย ค่าเฉลี่ยอายุ 33.80 ปี (S.D.=9.83) มัธยฐานอายุ 31 ปี (ต่ำสุด 18 ปี, สูงสุด 56 ปี) จากข้อมูลผู้ป่วย 84 ราย พบว่าส่วนมากมีอาการไอ (ร้อยละ 89.29) เจ็บคอ (ร้อยละ 76.19) ปวดศีรษะ (ร้อยละ 64.29) และ ไข้สูง (ร้อยละ 60.71) การสำรวจปัจจัยด้านสุขอนามัยส่วนบุคคลของผู้ต้องขัง ในกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มไม่ป่วย กลุ่มละ 84 ราย ปัจจัยที่พบมากที่สุดในกลุ่มผู้ป่วย คือ นอนใกล้ผู้ป่วยในระยะน้อยกว่า 1 เมตร (ร้อยละ 46.43) ปัจจัยที่พบมากที่สุดในกลุ่มไม่ป่วย คือ นอนห่างจากผู้ป่วยในระยะมากกว่า 1 เมตร (ร้อยละ 34.53) เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงแบบหลายตัวแปร ด้วย Conditional multiple logistic regression พบปัจจัยสัมพันธ์กับการป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่และโรคปอดอักเสบ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ได้แก่ การนอนใกล้ผู้ป่วยในระยะน้อยกว่า 1 เมตร (Adj OR = 2.23, 95% CI = 1.27 - 4.71) การทำกิจกรรมร่วมกับผู้ป่วย (Adj OR = 4.59, 95% CI = 2.05 - 10.97) และการใช้ช้อนทานอาหารร่วมกัน (Adj OR = 3.52, 95% CI = 1.35 - 10.19) ผลการสำรวจเรือนนอนผู้ต้องขังที่เกิดการระบาด พบว่า มีค่าความหนาแน่นของจำนวนผู้ต้องขังต่อพื้นที่เรือนนอน และอัตราการหมุนเวียนอากาศไม่เป็นไปตามค่ามาตรฐาน จึงมีโอกาสแพร่เชื้อในอากาศ และสัมผัสละอองฝอยน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย จากการทำกิจกรรมและใช้สิ่งของร่วมกัน ภายหลังการดำเนินการควบคุมโรคร่วมกันของเรือนจำ ทีมปฏิบัติการสอบสวนโรคของสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 8 จังหวัดอุดรธานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้การระบาดของโรคสงบลง และได้มาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจในเรือนจำที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่ เช่น การจัดพื้นที่แยกกักผู้มีอาการและพื้นที่เฝ้าระวังกลุ่ม 608 ปรับปรุงการระบายอากาศภายในเรือนนอน เพิ่มความเข้มงวดให้ผู้ต้องขังสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาและงดใช้สิ่งของร่วมกัน โดยเฉพาะช้อนทานอาหาร</p>
2025-08-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 8 จังหวัดอุดรธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/JODPC8/article/view/3620
ผลของโปรแกรมส่งเสริมการออกกำลังกายกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างแบบมัลติฟิดัสต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายและความทนทานของกล้ามเนื้อหลัง ในพนักงานสถานประกอบการผลิตเครื่องเทศ และเครื่องแกงสำเร็จรูป จังหวัดอำนาจเจริญ
2025-01-06T10:20:03+07:00
อัครวินท์ อินทร
akrawin.int@student.mahidol.edu
จุฑารัตน์ ศรีเลิศ
jutharat.sri@student.mahidol.edu
รามาวดี ทรงศิริ
Ramawadee.son@student.mahidol.edu
อรรถพงษ์ ฤทธิทิศ
Attapong.rit@mahidol.ac.th
กรกวรรษ ดารุนิกร
kornkawat.dar@mahidol.edu
<p>อาการปวดหลังส่วนล่าง เป็นอาการที่สามารถพบได้บ่อยในวัยทำงาน ซึ่งเกิดจากลักษณะท่าทางในการทำงานที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดที่หลังได้ง่าย และเป็นปัญหาต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยการวิจัยนี้ได้ศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการออกกำลังกายกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายและความทนทานของกล้ามเนื้อหลัง ในพนักงานสถานประกอบการผลิตเครื่องเทศและเครื่องแกงสำเร็จรูป จังหวัดอำนาจเจริญ แบบกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อน และหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรม การออกกำลังกาย และความทนทานของกล้ามเนื้อหลัง ในพนักงานสถานประกอบการผลิตเครื่องเทศและเครื่องแกงสำเร็จรูป จังหวัดอำนาจเจริญ คำนวณขนาดตัวอย่างด้วยสูตรเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยประชากร 2 กลุ่ม ที่ไม่อิสระต่อกัน ได้จำนวนทั้งสิ้น 35 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบประเมินดัชนีกิจกรรมการออกกำลังกาย แบบประเมินพฤติกรรมการออกกำลังกาย แบบทดสอบความทนทานของกล้ามเนื้อหลัง และแบบประเมินอาการปวด ได้ค่า CVI เท่ากับ 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ด้วย Paired sample t-test ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 68.57 อายุเฉลี่ย 40.25 ปี มีจำนวนชั่วโมงทำงานต่อเนื่องมากกว่า 8 ชั่วโมง ร้อยละ 88.57 ภายหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการออกกำลังกาย และความทนทานของกล้ามเนื้อหลัง สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.01) มีอาการปวดหลังลดลง แต่ทั้งนี้ ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการออกกำลังกายและความทนทานของกล้ามเนื้อหลัง ดังนั้น จึงควรสนับสนุนให้นำโปรแกรมฯ ไปใช้ให้มากขึ้น เพื่อปรับพฤติกรรมการออกกำลังกาย และกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังให้เกิดความทนทานที่สูงขึ้น</p>
2025-08-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 8 จังหวัดอุดรธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/JODPC8/article/view/4456
บทเรียนการพัฒนาตามบทบาทภารกิจยุทธศาสตร์ภายใต้ระบบบัญชาการเหตุการณ์ ในการป้องกันและควบคุมโรคเขตสุขภาพที่ 7: กรณีโควิด-19
2025-06-20T21:58:05+07:00
กังสดาล สุวรรณรงค์
pudong10@yahoo.com
ชุติมา วัชรกุล
wachrakul@yahoo.com
รัตนาภรณ์ ยศศรี
rattanaporn_kk@yahoo.com
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการตามบทบาทด้านยุทธศาสตร์และวิชาการภายใต้ระบบบัญชาการเหตุการณ์และจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนางานการป้องกันและควบคุมโรค กรณีโควิด-19 ในเขตสุขภาพที่ 7 เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยใช้แนวคิด 7S (McKinsey's 7s Framework) เป็นกรอบในการศึกษา ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2563 ถึงเมษายน 2565 ใน 3 ระยะ ได้แก่ 1) การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน 2) การพัฒนาตามบทบาท และ 3) การประเมินผล เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้บริหารเขตสุขภาพที่ 7 แพทย์ พยาบาล และนักวิชาการสาธารณสุข ที่ปฏิบัติงานภายใต้ระบบบัญชาการเหตุการณ์ในระดับเขตและจังหวัด จำนวน 82 คน ผลการศึกษาพบว่า เขตสุขภาพที่ 7 มีโครงสร้างการทำงานที่ชัดเจน ใช้ยุทธศาสตร์ 6C มีระบบการบริหารจัดการที่มีการกระจายอำนาจการตัดสินใจให้ผู้บริหารระดับต่าง ๆ แต่ยังมีข้อจำกัดในด้านทักษะของบุคลากรโดยเฉพาะทักษะการจัดทำแผนเผชิญเหตุและการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ ทักษะด้านระบาดวิทยาใช้เครื่องมือทางสถิติขั้นสูง การประเมินความเสี่ยงและการพยากรณ์แนวโน้มของโรคอุบัติใหม่ ผลการพัฒนาศักยภาพบุคลากรผ่านการสื่อสารสร้างความเข้าใจ การสอนงาน และการโค้ช ส่งผลให้ผู้รับผิดชอบสามารถจัดทำแผนเผชิญเหตุได้ครอบคลุมทุกจังหวัด ข้อเสนอแนะคือ ผู้รับผิดชอบงานด้านยุทธศาสตร์ควรได้รับการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการจัดทำแผนเผชิญเหตุและแผนประคองกิจการ การเป็นผู้นำในการถอดบทเรียน การติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งทักษะการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ การสืบค้นข้อมูลและความรู้เรื่องกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤติจากโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ในอนาคต</p>
2025-08-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 8 จังหวัดอุดรธานี