https://he03.tci-thaijo.org/index.php/Jemst-01JHS/issue/feed
วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
2025-06-30T10:15:14+07:00
นายแพทย์วิวัฒน์ โรจนพิทยากร
jemst@niems.go.th
Open Journal Systems
<p>วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย (Journal of Emergency Medical Services of Thailand) เป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์ จัดทำโดยสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ มีกำหนดออกปีละ 2 ฉบับ (ฉบับที่ 1 ออกเดือนมิถุนายน ฉบับที่ 2 ออกเดือนธันวาคม) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ</p> <ol> <li>เผยแพร่บทความผลงานวิจัย ผลงานวิชาการด้านการแพทย์ฉุกเฉิน สาธารณภัยและการสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับระบบการแพทย์ฉุกเฉินของผู้ปฏิบัติงานในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และในระดับนานาชาติ </li> <li>เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความคิดเห็นทางวิชาการที่เป็นประโยชน์ด้านการแพทย์ฉุกเฉิน สาธารณภัย และการสาธารณสุข</li> <li>เผยแพร่บทความที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินและก่อให้เกิดประโยชน์อย่างชัดเจน หรือนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในความตระหนักและการรับรู้ปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาด้านการแพทย์ฉุกเฉิน</li> </ol> <p>โดยกองบรรณาธิการวารสาร ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีตำแหน่งทางวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิระดับปริญญาเอก จากหน่วยงานต่าง ๆ ผู้ที่มีผลงานวิจัยต่อเนื่อง รวมทั้งยังได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิสาขาต่าง ๆ จากหลายหน่วยงานเป็นผู้ประเมินต้นฉบับ ซึ่งบทความแต่ละเรื่องจะได้รับการประเมินโดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ 2-3 คนและเป็นการประเมินแบบ Double-Blind Peer Review<br /><br /></p> <h3 class="LC20lb MBeuO DKV0Md">วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย</h3> <p>ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆทั้งสิ้น และไม่มีการเก็บค่าตีพิมพ์ในการส่งบทความเข้ารับตีพิมพ์</p>
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/Jemst-01JHS/article/view/2829
ความรู้ และการรับรู้ความเสี่ยงเกี่ยวกับความเสี่ยงจากภัยพิบัติของประชาชนคนไทย อายุ 15-60 ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร
2024-08-27T13:41:23+07:00
กัลยกร วงศ์วิชยาภรณ์
jkanlayakorn@gmail.com
สิรีธร งามสมบัติ
sireetorn.pk.16@gmail.com
อนัญธรณ์ วุฒิยา
ananton73893@gmail.com
นรินทร์ภัทร์ ร่มฟ้าไทย
Ronarinpatr@gmail.com
อธิคม หลายสิน
arthikom250451@gmail.com
ปาณัปนน จรัสกุลางกูร
kenjipanappanon@gmail.com
ณิชานาฏ ศิริพฤกษ์
Nichapakgartoon@gmail.com
ศุจิมน มังคลรังษี
khunsujimon.m@gmail.com
<p>กรุงเทพมหานครเผชิญกับความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่สำคัญ เช่น น้ำท่วมซึ่งมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและความปลอดภัยของประชาชน การจัดการภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความตระหนักรู้ การศึกษา และความพร้อมของประชาชนเพื่อลดผลกระทบและสร้างความยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความรู้และการรับรู้ความเสี่ยงภัยพิบัติของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร อายุ 15-60 ปี วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้ความเสี่ยง และเสนอแนวทางในการพัฒนาความพร้อมรับมือภัยพิบัติ การศึกษานี้ เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ซึ่งแจกจ่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ถึง 30 เมษายน 2567 ตัวอย่างประชากรขนาด 345 คน ถูกคำนวณโดยใช้สูตรของ Cochran แต่มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 586 คน แบบสอบถามพัฒนาขึ้นโดยอ้างอิงจากทฤษฎี Protection Motivation Theory (PMT) และ Health Belief Model (HBM) และผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการภัยพิบัติ 3 ท่าน โดยใช้วิธี item-objective congruence (IOC) ได้ค่าเฉลี่ย 0.8 และทดสอบความเที่ยง (reliability) กับกลุ่มตัวอย่างนำร่อง 30 คน ได้ค่าความเที่ยง Cronbach's alpha เท่ากับ 0.85 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและอนุมาน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 61.60) โดยมีอายุเฉลี่ยในช่วง 41-50 ปี (ร้อยละ 24.23) และส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาปริญญาตรี (ร้อยละ 45.90) อาศัย ในครอบครัวที่มีสมาชิก 3-5 คน (ร้อยละ 70.99) แม้ว่าร้อยละ 61.26 จะเคยผ่านการอบรมปฐมพยาบาล แต่ร้อยละ 64.85 ยังไม่เคยอบรม CPR กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติระดับปานกลาง (ร้อยละ 47.44) และมีการรับรู้ความเสี่ยงภัยพิบัติในพื้นที่อยู่อาศัยระดับปานกลาง (ร้อยละ 38.90) การวิเคราะห์ปัจจัยพบว่าระดับการศึกษาเป็นตัวทำนายที่สำคัญต่อการรับรู้ความเสี่ยงภัยพิบัติ (Beta = 0.186, p<0.001) ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าประชาชนในกรุงเทพมหานครมีความรู้ และการรับรู้ความเสี่ยงภัยพิบัติในระดับปานกลาง สะท้อนถึงประสบการณ์จำกัดกับภัยพิบัติรุนแรงในพื้นที่ การพัฒนาการให้ความรู้ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงในพื้นที่ เช่น ฝุ่น PM2.5 และอุบัติเหตุจราจร มีความสำคัญต่อการเพิ่มความพร้อมรับมือภัยพิบัติ การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวิจัยช่วยให้ผลการศึกษามีความน่าเชื่อถือ และสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการพัฒนานโยบายการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน เช่น การบูรณาการความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติในหลักสูตรการศึกษา การรณรงค์สาธารณะ และการฝึกอบรมในชุมชน</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/Jemst-01JHS/article/view/2569
การรับรู้คุณค่าของการให้บริการสาธารณสุขทางทะเลในประเทศไทย
2024-08-29T13:49:16+07:00
เอก โอฐน้อย
phatthanawilai.n@niems.go.th
พัฒนาวิไล นาหมื่นหงษ์
phatthanawilai06@gmail.com
ธันวดี เตชะภัททวรกุล สุขสาโรจน์
phatthanawilai.n@niems.go.th
อรพินท์ เล่าซี้
phatthanawilai.n@niems.go.th
<p>งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาการรับรู้คุณค่าของการให้บริการสาธารณสุขทางทะเลในประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัดที่มีมูลค่าเศรษฐกิจการท่องเที่ยว และอัตราการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ และเสียชีวิตในพื้นที่ทางทะเลสูง โดยใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ประชาชน บุคลากรสาธารณสุข และผู้ประกอบการ จำนวน 349 คน แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มเป้าหมาย และส่วนที่ 2 การรับรู้คุณค่าของการให้บริการสาธารณสุขทางทะเล อันประกอบไปด้วย (1) การรับรู้แผนปฏิบัติการสาธารณสุขทางทะเล และ (2) การรับรู้ถึงคุณค่าของการให้บริการสาธารณสุขทางทะเลที่ส่งผลต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจ ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ คือ ประชาชนทั่วไป ร้อยละ 77.1 รองลงมา คือ บุคลากรสาธารณสุข ร้อยละ 18.6 และผู้ประกอบการ ร้อยละ 10.3 ส่วนใหญ่ คือ เพศหญิง ร้อยละ 64.2 อายุ 20 - 39 ปี ร้อยละ 48.7 ประกอบอาชีพลูกจ้าง ร้อยละ 34.7 และมีภูมิลำเนาอาศัยอยู่ในจังหวัดนั้น ๆ มากกว่า 6 เดือน ร้อยละ 82.5 ภาพรวมของการรับรู้แผนปฏิบัติการสาธารณสุขทางทะเลอยู่ในระดับสูง มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.55 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.673 ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ทางทะเลรับรู้สูงว่า (1) ควรจะต้องมีทักษะในการช่วยเหลือชีวิตเบื้องต้นได้ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.89 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.96 (2) ควรส่งต่อผู้ป่วยขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.89 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.00 (3) ควรมุ่งพัฒนาหน่วยงานบริการการแพทย์ปฐมภูมิ เช่น รพ.สต.บนเกาะ เป็นต้น ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.01 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.96 (4) ประชาคมอาเซียนควรมีความร่วมมือในการพัฒนาการสาธารณสุขทางทะเล ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.78 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.95 และ (5) การให้บริการทางการแพทย์กรณีเจ็บป่วย/บาดเจ็บที่เกิดเหตุในพื้นที่ทะเลของประเทศไทยมีผลต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.63 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.01 ทั้งนี้ มิติที่ 1 ด้านการบูรณาการเครือข่ายการดูแลช่วยเหลือในภาวะวิกฤติฉุกเฉินด้านการสาธารณสุขทางทะเล และมิติที่ 2 ด้านการพัฒนาการสาธารณสุขทางทะเลของประเทศให้เป็นเลิศและมีมาตรฐานสากล เป็นยุทธศาสตร์ที่บุคคลที่ส่วนเกี่ยวข้องนั้น รับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับคุณค่าในมิตินั้น ๆมากที่สุด นอกจากนี้กลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มรับรู้และเห็นคุณค่าว่าการให้บริการสาธารณสุขทางทะเลที่มีประสิทธิภาพสามารถส่งผลต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจ</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/Jemst-01JHS/article/view/3535
ปัจจัยที่มีผลต่อการรอดชีวิตของผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลที่รับการรักษา ณ ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลบางละมุง จังหวัดชลบุรี
2024-11-22T14:08:14+07:00
ชญานนท์ วงศ์ลือ
chayanonwonglue@gmail.com
<p>ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลมีอัตราการรอดชีวิตที่ต่ำ การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการรอดชีวิตของผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลจึงมีประโยชน์เพื่อให้ทราบถึงปัญหาและนำไปสู่การพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการรอดชีวิตของผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลที่รับการรักษา ณ ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลบางละมุง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วยที่ได้รับการช่วยฟื้นคืนชีพ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 110 ราย พบว่ามีการเกิดการเกิดสัญญาณชีพกลับคืนมาร้อยละ 40.9 มีการรอดชีวิตจนสามารถเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลร้อยละ 10.9 และมีการรอดชีวิตจนสามารถส่งตัวไปรักษาต่อในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่าร้อยละ 9.1 จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการรอดชีวิตของผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลบางละมุงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติคือ ระยะเวลาตั้งแต่หัวใจหยุดเต้นจนถึงได้ยา adrenaline ครั้งแรกน้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 นาที โดยที่ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลที่มีระยะเวลาตั้งแต่หัวใจหยุดเต้นจนถึงได้ยา adrenaline ครั้งแรกน้อยกว่าหรือเท่ากับ 30นาที มีโอกาสเกิดสัญญาณชีพกลับคืนมาเป็น 3.53 เท่า (95%CI: 1.49 - 8.34, p<0.05) เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ได้ยา adrenaline ครั้งแรกมากกว่า 30 นาที ดังนั้น ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลควรได้รับยา adrenaline ครั้งแรกโดยเร็วเพื่อให้ผู้ป่วยมีอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/Jemst-01JHS/article/view/3589
ความชุกและปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการฟื้นคืนชีพของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล จากอุบัติเหตุ และมารับการรักษาที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลสมุทรสาคร
2025-02-10T16:19:40+07:00
อริสา ยิ้มดี
aomarisa@gmail.com
<p>การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตนอกโรงพยาบาลของประชากรทั่วโลก ภาวะหัวใจหยุดเต้นจากอุบัติเหตุมีอัตราการรอดชีวิตต่ำ ปัจจุบันยังไม่มีปัจจัยทำนายพยากรณ์โรค ข้อสรุปชัดเจนในผู้ป่วยกลุ่มนี้ การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความชุก อัตราการรอดชีวิต และปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการฟื้นคืนชีพของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลจากอุบัติเหตุ โดยศึกษาแบบพรรณนาย้อนหลัง ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลจากประวัติอุบัติเหตุที่มารับการรักษา ณ หน่วยงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลสมุทรสาคร ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2567 คำนวนหาความชุกและปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการฟื้นคืนขีพ ณ ห้องฉุกเฉิน โดยใช้สถิติใช้สถิติ Chi-square test หรือ Fisher Exact test ในข้อมูลที่เป็นเชิงกลุ่ม และใช้สถิติ Independent t-test ในข้อมูลเชิงปริมาณที่ข้อมูลแจกแจงปกติ ส่วนกรณีข้อมูลไม่มีการกระจายแบบปกติ ใช้สถิติ Mann-Whitney U-test ผลการวิจัยในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลจากประวัติอุบัติเหตุฉุกเฉินในการศึกษานี้จำนวน 166 คน พบอัตราความสำเร็จในการฟื้นคืนชีพ ณ ห้องฉุกเฉินทั้งสิ้น 44 รายคิดเป็นร้อยละ 26.5 และรอดชีวิตกลับบ้าน 4 รายคิดเป็นร้อยละ 2.4 โดยการกลับมามีชีพจรตั้งแต่ก่อนถึงโรงพยาบาลเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการฟื้นคืนชีพ ณ ห้องฉุกเฉินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเพิ่มโอกาสในการฟื้นคืนชีพที่สำเร็จห้องฉุกเฉินเป็น 5.8 เท่า</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/Jemst-01JHS/article/view/3385
ระยะเวลาตอบสนองปฏิบัติการฉุกเฉิน และมุมมองผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินต่อระยะเวลาตอบสนองปฏิบัติการฉุกเฉินผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตในประเทศไทย
2025-01-03T15:27:13+07:00
สุรเดช ดวงทิพย์สิริกุล
suradech.j511@gmail.com
ธีระ ศิริสมุด
teera.s@niems.go.th
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของระยะเวลาตอบสนองปฏิบัติการฉุกเฉินกับการรอดชีพของผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต และศึกษามุมมองของผู้ปฏิบัติการในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินต่อระยะเวลาตอบสนองปฏิบัติการฉุกเฉินในกลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสมผสาน ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณ ด้วยการศึกษาข้อมูลย้อนหลังในระบบสารสนเทศการแพทย์ฉุกเฉิน ปี พ.ศ. 2566 และการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสนทนากลุ่มและสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉินในจังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น ตรัง และกรุงเทพมหานคร จำนวน 77 คน ผลการศึกษาพบว่า ปี พ.ศ. 2566 มีระยะเวลาเฉลี่ยการตอบสนองปฏิบัติการฉุกเฉิน 10 นาที มีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่ได้รับปฏิบัติการฉุกเฉินภายใน 8 นาที ร้อยละ 39 เมื่อวิเคราะห์ระยะเวลากับการรอดชีพของผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตนอกโรงพยาบาลพบว่า เมื่อระยะเวลาตอบสนองปฏิบัติการฉุกเฉินผ่านไปนานขึ้น ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตนอกโรงพยาบาลจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาตอบสนองปฏิบัติการฉุกเฉินและการเสียชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต โดยได้ทำการแบ่งกลุ่มระยะเวลาออกเป็น 4 นาที 8 นาที 10 นาที และ 15 นาที พบว่า ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่ได้รับการตอบสนองปฏิบัติการฉุกเฉินน้อยกว่า 8 นาทีจะมีโอกาสในเชิงป้องกันการเสียชีวิต เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่มีระยะเวลาการตอบสนองมากกว่า 8 นาที (OR = 0.92, 95%CI = 0.85-0.98) มุมมองผู้ปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉินต่อระยะเวลาตอบสนองปฏิบัติการฉุกเฉินสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ส่วนใหญ่เห็นว่ามีความสำคัญโดยเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อโอกาสในการรอดชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยเฉพาะในกรณีผู้ป่วยโรคหัวใจหยุดเต้นและอุบัติเหตุ การใช้ระยะเวลาตอบสนองปฏิบัติการฉุกเฉิน เป็นตัวชี้วัดคุณภาพปฏิบัติการฉุกเฉินยังคงมีความจำเป็นและสำคัญ เนื่องจากสามารถวัดประสิทธิภาพและแสดงมาตรฐานการบริการแก่ประชาชน การศึกษานี้มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ (1) กำหนดมาตรฐานระยะเวลาตอบสนองปฏิบัติการฉุกเฉินในกลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตในระดับประเทศที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลคือ 8 นาที แต่ต้องมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่ทำให้ไม่สามารถตอบสนองได้ภายในระยะเวลา 8 นาที และ (2) พิจารณากำหนดระยะเวลาตอบสนองปฏิบัติการฉุกเฉินในระดับพื้นที่ให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่โดยพิจารณาความพร้อมด้านทรัพยากร และภูมิประเทศ</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/Jemst-01JHS/article/view/3550
ผลของแนวปฏิบัติการคัดแยกผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินต่อผลลัพธ์ทางคลินิกในงานจิตเวชฉุกเฉิน โรงพยาบาลสวนปรุง จังหวัดเชียงใหม่
2024-12-23T10:54:59+07:00
ชุติกาญจน์ ทองสุข
kung_56@hotmail.com
จารุณี รัศมีสุวิวัฒน์
Kung_56@hotmail.com
ชญานิน ทัฬหนิรันดร์
Kung_56@hotmail.com
<p>ปัญหาพฤติกรรมรุนแรงในสังคมเพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลสถิติบนระบบคลังข้อมูลสุขภาพกระทรวงสารณสุข ของผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงในการก่อความรุนแรง พบว่าเข้ารับบริการสะสมตั้งแต่ปี 2559-2565 จำนวน 27,518 คน ผู้ก่อความรุนแรงประมาณร้อยละ 3 เป็นผู้ป่วยที่มีการวินิจฉัยโรคจิตเวชและยาเสพติด ซึ่งการทำให้ผู้ป่วยจิตเวชได้รับบริการรวดเร็ว ถูกต้องและปลอดภัยในงานจิตเวชฉุกเฉิน ผู้ป่วยต้องได้รับการคัดแยกที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อจำแนกผู้รับบริการและจัดลำดับให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการปฏิบัติการฉุกเฉินตามลำดับความเร่งด่วนทางการแพทย์ฉุกเฉิน การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงประเมินผล และเปรียบเทียบอัตราการคัดแยกที่ถูกต้องระหว่างก่อนและหลังการใช้แนวปฏิบัติการคัดแยกผู้ป่วย จิตเวชฉุกเฉิน โรงพยาบาลสวนปรุง จังหวัดเชียงใหม่ Suan Prung emergency psychiatric triage (SPEPT) การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบ Implementation research กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) บุคลากรทีมปรับปรุงแนวปฏิบัติการคัดแยกผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน จำนวน 8 คน (2) บุคลากรผู้ใช้แนวปฏิบัติการคัดแยกผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน จำนวน 20 คน และ (3) ผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินที่มารับบริการในงานจิตเวชฉุกเฉิน จำนวน 500 คน โดยใช้แบบคัดแยกผู้ป่วยจิตเวชเดิม คือ แนวปฏิบัติในการคัดแยกผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินโรงพยาบาลสวนปรุงฉบับปี 2564 ในเดือนกรกฎาคม 2567 จำนวน 250 คน และใช้แบบ SPEPT ที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2567 จำนวน 250 คน ผลการศึกษาพบว่า (1) การประเมินความแม่นยำ การคัดกรองผู้ป่วยที่ถูกคัดกรองโดยใช้แบบคัดแยกเดิม มีการคัดกรองผู้ป่วยถูกต้อง จำนวน 137 ราย จากจำนวน 250 รายคิดเป็นร้อยละ 54.80 มีการคัดกรองผู้ป่วยไม่ถูกต้อง จำนวน 113 ราย จากจำนวน 250 ราย คิดเป็นร้อยละ 45.20 ส่วนความแม่นยำการคัดกรองผู้ป่วยที่ถูกคัดกรองโดยใช้แบบคัดแยกผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ มีการคัดกรองผู้ป่วยถูกต้อง จำนวน 204 ราย จากจำนวน 250 ราย คิดเป็นร้อยละ 81.60 คัดกรองผู้ป่วยไม่ถูกต้อง จำนวน 46 ราย จากจำนวน 250 ราย คิดเป็นร้อยละ 18.40 (2) ค่าสัดส่วนความแม่นยำการคัดกรองระหว่างผู้ป่วยที่ถูกคัดกรองโดยใช้แบบคัดแยกเดิมและผู้ป่วยที่ถูกคัดกรองโดยใช้แบบคัดแยกผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ พบว่าผู้ป่วยที่ถูกคัดกรองโดยใช้แบบคัดแยกผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินที่ปรับปรุงขึ้นใหม่มีสัดส่วนความแม่นยำในการคัดกรองสูงกว่าการคัดกรองโดยใช้แบบคัดแยกเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) (3) ผลการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการคัดแยกผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน พบว่าจิตแพทย์และพยาบาลส่วนใหญ่ ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และ (4) ผลการศึกษาความพึงพอใจของบุคลากรผู้ใช้แนวปฏิบัติต่อการใช้แนวปฏิบัติการคัดแยกผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินในงานจิตเวชฉุกเฉิน โรงพยาบาลสวนปรุง จังหวัดเชียงใหม่ Suan Prung emergency psychiatric triage (SPEPT) พบว่า ความพึงพอใจในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.85 (SD=0.37) อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/Jemst-01JHS/article/view/3542
การวิเคราะห์พหุระดับปัจจัยที่มีผลต่อสมรรถนะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดอุตรดิตถ์
2024-12-23T08:44:22+07:00
นัยนา อินธิโชติ
wiphawan@unc.ac.th
วิภาวรรณ นวลทอง
wiphawan@unc.ac.th
สืบตระกูล ตันตลานุกุล
seubtrakul@unc.ac.th
สมัคร ใจแสน
wiphawan@unc.ac.th
<p>ภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญทั่วโลก โดยร้อยละ 80 เกิดขึ้นที่บ้านหรือในชุมชน การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพและทันท่วงทีสามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ถึง 2-3 เท่า การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน และวิเคราะห์ปัจจัยระดับบุคคลและระดับองค์กรที่มีผลต่อสมรรถนะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน รวมทั้งศึกษาอิทธิพลของความแตกต่างระหว่างองค์กรที่มีต่อสมรรถนะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จังหวัดอุตรดิตถ์ กลุ่มตัวอย่างคือ อสม. 504 คน จาก 50 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบทดสอบความรู้ แบบวัดทัศนคติ แบบประเมินสมรรถนะ และแบบประเมินปัจจัยระดับองค์กร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์พหุระดับ ผลการศึกษาพบว่า อสม. มีสมรรถนะระดับดีขึ้นไปเพียงร้อยละ 27.7 โดยคุณภาพการกดหน้าอกได้คะแนนต่ำที่สุด ปัจจัยระดับบุคคลที่มีผลต่อสมรรถนะอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ความมั่นใจ (B=0.524) จำนวนครั้งการอบรม (B=0.442) และระดับการศึกษา (B=0.386) ส่วนปัจจัยระดับองค์กร ได้แก่ ความพร้อมของอุปกรณ์ (B=0.412) และระบบพี่เลี้ยง(B=0.385) ค่า ICC=0.304 แสดงว่าความแตกต่างระหว่างองค์กรมีผลต่อสมรรถนะร้อยละ 30.4 ข้อเสนอแนะคือควรพัฒนาระบบสนับสนุนระดับองค์กรให้เข้มแข็ง จัดการฝึกอบรมที่เน้นการปฏิบัติและสร้างความมั่นใจ โดยคำนึงถึงความแตกต่างของช่วงวัยและประสบการณ์</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/Jemst-01JHS/article/view/3780
ลักษณะการอำนวยการตรงทางการแพทย์ในระบบการแพทย์ฉุกเฉินโรงพยาบาลขอนแก่น
2025-03-10T11:02:16+07:00
กิตติชัย โพธิ์ดม
P.kittichai09@gmail.com
ปภาวรินท์ อุดมพันธ์
P.yok.ud@gmail.com
รัตติยา บรรจุงาม
aun_aun98@hotmail.com
วีรศักดิ์ พงษ์พุทธา
vsak.emp@gmail.com
รัฐระวี พัฒนรัตนโมฬี
ratrawee110@gmail.com
<p>ระบบการแพทย์ฉุกเฉินเป็นระบบที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน ดังนั้นการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน จะต้องพัฒนาในทุกมิติเพื่อให้ประชาชนผู้รับบริการมีความปลอดภัยและมีความพึงพอใจการอำนวยการทางการแพทย์มี 2 ประเภท คือ อำนวยการทั่วไป และอำนวยการตรง การทราบถึงลักษณะการใช้การอำนวยการตรงทางการแพทย์จะทำให้ทราบถึงปัญหาในการอำนวยการตรง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการอำนวยการตรงทางการแพทย์ในระบบการแพทย์ฉุกเฉินโรงพยาบาลขอนแก่น วิธีการศึกษา เป็นการศึกษาแบบ retrospective descriptive study นำข้อมูลที่บันทึกไว้ในระบบการอำนวยการแพทย์ฉุกเฉินผ่านโปรแกรม Google form ที่ได้มีการบันทึกไว้ในช่วง 1 มิถุนายน 2565- 31 สิงหาคม 2567 มาเรียบเรียงเชิงพรรณนาโดยใช้สถิติพรรณนา ผลการศึกษา มีการอำนวยการตรงทางการแพทย์ทั้งหมด 176 ครั้ง เป็นเหตุที่มีผู้ป่วยจำนวน 147 เหตุ เป็นเพศชายร้อยละ 60.54 ส่วนใหญ่อายุมากกว่า 60 ปี ร้อยละ 54.42 อายุเฉลี่ย 61.26 ปี ชุดระดับปฏิบัติการฉุกเฉินที่มีการอำนวยการมากที่สุดคือ ชุดระดับปฏิบัติการฉุกเฉินระดับสูง ร้อยละ 76.14 การคัดแยกระดับความฉุกเฉินตามลำดับความเร่งด่วนทางการแพทย์ที่มีการรับแจ้งมากที่สุด คือ criteria base dispatching (CBD) 6 (หัวใจหยุดเต้น) ร้อยละ 17.9 ช่วงเวลาที่มีการอำนวยการตรงมากที่สุดคือช่วงเช้า ร้อยละ 44.89 โดยผลของการอำนวยการตรงพบว่าผู้ป่วยได้นอนรักษาในโรงพยาบาลมากที่สุด ร้อยละ 46.94</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/Jemst-01JHS/article/view/3484
การประเมินผลผลิต ผลลัพธ์จากการบริหารจัดการงานวิจัยและนวัตกรรมด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ
2024-11-20T09:19:02+07:00
ธีระ ศิริสมุด
teera.s@niems.go.th
สุรเดช ดวงทิพย์สิริกุล
suradech.d@niems.go.th
สุพัฒสร พึ่มกุล
teera.s@niems.go.th
สิทธิวิชญ์ ประโพธิ์สัง
teera.s@niems.go.th
อัญชุลี เนื่องอุตม์
teera.s@niems.go.th
ภรัณยา คชสาร
teera.s@niems.go.th
<p>การประเมินผลผลิต ผลลัพธ์จากการบริหารจัดการงานวิจัยและนวัตกรรมด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ด้วยรูปแบบการศึกษาเชิงพรรณนาแบบผสมผสาน เก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณด้วยการส่งแบบฟอร์มติดตามผลผลิต ผลลัพธ์งานวิจัยและนวัตกรรมด้านการแพทย์ฉุกเฉินที่ได้รับสนับสนุนงบประมาณเพื่องานมูลฐาน (fundamental fund) ภายใต้ระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ ววน. ปี พ.ศ. 2564 - 2566 จำนวน 29 เรื่อง และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยประเด็นการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้รับผิดชอบโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการวิจัยและนวัตกรรมด้านการแพทย์ฉุกเฉินที่ส่งผลต่อผลผลิต ผลลัพธ์วิจัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา โดยยึดหลักเกณฑ์การประเมินการบริหารจัดการวิจัยและนวัตกรรมของ OECD สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพใช้สถิติการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า ปี พ.ศ. 2564 - 2566 มีโครงการวิจัยที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของศูนย์วิจัยและนวัตกรรม สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ จำนวน 29 โครงการ รวมทั้งสิ้น 25,171,700 บาท โดยมีกลไกและเครื่องมือการบริหารจัดการงานวิจัยและนวัตกรรมหลายส่วนที่ดำเนินการทั้ง 3 ระยะ (ช่วงต้นทาง กลางทางและปลายทาง) การติดตามผลผลิตพบว่ามีผลผลิตทั้งที่สูงกว่าเป้าหมาย เป็นไปตามเป้าหมาย และต่ำกว่าเป้าหมาย โดยเฉพาะผลผลิตประเภทต้นฉบับบทความวิจัย (manuscript) ที่จะต้องปรับปรุงกระบวนการจัดการค่อนข้างมาก เนื่องจากต่ำกว่าเป้าหมายทุกปี เมื่อประเมินโครงการตามหลักการ OECD พบว่าทั้ง 3 ปี ทุกโครงการมีเป้าหมายสอดคล้องกับพันธกิจของ สพฉ. มีประสิทธิภาพสามารถดำเนินงานวิจัยตามระยะเวลาที่กำหนด แต่อย่างไรก็ตาม ในแง่ประสิทธิผล มีบางโครงการส่งมอบผลผลิตไม่ครบถ้วนตามที่ระบุในคำรับรอง การผลักดันผลผลิตจากงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การใช้ประโยชน์ ส่วนใหญ่มีการผลักดันสู่การใช้ประโยชน์ โดยกิจกรรมส่วนใหญ่จะดำเนินการในรูปแบบการจัดประชุม อบรม กิจกรรม หรือการจัดการเพื่อเผยแพร่ อาทิ การศึกษาด้านผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน การศึกษาการจัดการเรียนรู้ด้านการแพทย์ฉุกเฉินในโรงเรียน การวิจัยด้านผู้สูงอายุ การศึกษาระยะเวลาตอบสนองต่อการปฏิบัติการฉุกเฉิน การจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉินสำหรับการจัดแข่งขันกีฬาที่มีมวลชนของประเทศไทยเป็นต้น สำหรับความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการวิจัย นักวิจัยส่วนใหญ่เห็นว่าระบบการบริหารจัดการงานวิจัยสนับสนุนการส่งมอบผลผลิต ผลลัพธ์ของแต่ละโครงการวิจัยได้ดี อีกทั้งส่วนใหญ่เห็นว่า การพัฒนาศักยภาพและความเชี่ยวชาญด้านวิจัยจะเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยนักวิจัยส่งมอบผลผลิต ผลลัพธ์วิจัยได้ดีขึ้น การบริหารจัดการวิจัยและนวัตกรรมให้ได้ผลผลิต ผลลัพธ์และสร้างผลกระทบจากงานวิจัยให้ดียิ่งขึ้นควรดำเนินการในเชิงยุทธศาสตร์ขององค์กร ด้วยการกำหนดทิศทางและโจทย์วิจัยระหว่างผู้บริหาร ผู้ใช้ประโยชน์และนักวิจัย เพื่อให้โครงการวิจัยสามารถสร้างผลผลิตตามความต้องการของผู้ใช้งานและสามารถสร้างผลกระทบได้ ขณะเดียวกันผู้นักวิจัยควรทำความเข้าใจและสามารถจัดทำเส้นทางสู่ผลกระทบจากงานวิจัย ที่สำคัญต้องผลักดันต่อยอดและขยายผลโครงการวิจัยไปใช้ประโยชน์ ทั้งการสนับสนุนจากหน่วยงานภายในและภายนอกองค์การในรูปแบบต่าง ๆ</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/Jemst-01JHS/article/view/3888
การพัฒนาหลักสูตรอบรมแบบผสมผสานตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน สำหรับอาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัย
2025-03-25T13:33:34+07:00
ถาวร พาเชื้อ
tdu.1group@gmail.com
ยศระวี วายทองคำ
Tawon990007@gmail.com
ศุภนิต อารีหทัยรัตน์
Tawon990007@gmail.com
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาหลักสูตรอบรมแบบผสมผสานตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานฯ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการอบรม (3) เปรียบเทียบคะแนนทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานฯกับคะแนนเกณฑ์ร้อยละ80 และ(4) ศึกษความพึงพอใจของอาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัยต่อการอบรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ อาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัย จำนวน 48 คน จากการคัดเลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติของหลักสูตร วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 พัฒนาหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และพัฒนาเครื่องมือ พบว่า (1) หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.65/88.50 (2) แบบทดสอบวัดความรู้ก่อนและหลังการอบรม ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.76 (3) แบบทดสอบทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานฯ (แบบผู้ช่วยเหลือ 2 คน) และ(4) แบบประเมินความพึงพอใจค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 ระยะที่ 2 เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test dependent และ one-sample t-test ผลการวิจัยพบว่า (1) หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.65/88.50 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 (2) คะแนนเฉลี่ยหลังอบรมสูงกว่าก่อนอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (3) คะแนนเฉลี่ยทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานฯ หลังอบรมสูงกว่าคะแนนเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ(4) ระดับความพึงพอใจต่อการอบรมภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (Mean=4.68) โดยสรุป หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ และสามารถนำไปใช้เสริมสร้างทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานฯอาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้โดยการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายทั้งภาคทฤษฎีรูปแบบออนไลน์ ภาคปฏิบัติออนไซต์ และการใช้สถานการณ์จำลองร่วมกับบทเรียนบนเว็บเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย