https://he03.tci-thaijo.org/index.php/OHSWA/issue/feed
วารสารความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
2024-12-26T11:09:58+07:00
Assoc. Prof. Dr. Sunisa Chaiklieng
csunis@kku.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม </strong><span style="font-weight: 400;">มีกำหนดออกวารสารปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เดือนมิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-เดือนธันวาคม โดยรับพิจารณาตีพิมพ์บทความวิจัย (Original article) และบทความปริทัศน์ (Review article) ทั้งรูปแบบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยมีจำนวนบทความ 8-10 เรื่องต่อฉบับ และผู้ทรงคุณวุฒิอ่านบทความ 3 คน/เรื่อง โดยไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์ ทั้งนี้ผลงานวิชาการที่ส่งมาจะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการรอพิจารณาตีพิมพ์จากวารสารวิชาการอื่น</span></p>
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/OHSWA/article/view/3698
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับความเครียดของตำรวจ: กรณีศึกษาสถานีตำรวจ แห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี
2024-12-26T08:31:37+07:00
ทนงศักดิ์ ยิ่งรัตนสุข
nantapor@buu.ac.th
ธีรานันท์ นาคใหญ่
nantapor@buu.ac.th
กัมปนาท สิงห์ทอง
nantapor@buu.ac.th
จารุวิทย์ บุตรศรี
nantapor@buu.ac.th
ปริณาห์ แว่นแก้ว
nantapor@buu.ac.th
นันทพร ภัทรพุทธ
nantapor@buu.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านการทำงาน กับระดับความเครียดของตำรวจ สถานีตำรวจภูธรแสนสุข จังหวัดชลบุรี จำนวน 93 คน การศึกษาครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุ 21-35 ปี ระดับการศึกษาระดับปริญญาตรี รายได้ 20,001-30,000 บาท/เดือน ไม่มีโรคประจำตัว ด้านภาระงานและบทบาทหน้าที่ในองค์กรส่วนใหญ่ (มากกว่าร้อยละ 60) อยู่ในระดับปานกลาง สัมพันธภาพระหว่างบุคคลส่วนมาก (ร้อยละ 47) อยู่ในระดับน้อย ความสำเร็จก้าวหน้าในอาชีพและระดับภาวะความเครียดส่วนมาก (มากกว่าร้อยละ 45) อยู่ในระดับปานกลาง ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านการทำงานโดยรวม กับระดับภาวะความเครียดของตำรวจ พบว่าปัจจัยด้านการทำงานโดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กับระดับภาวะความเครียดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.796, p <0.001) ดังนั้น ควรมีการปรับสภาพการทำงานหรือภาระงานให้มีความเหมาะสมในแต่ละบทบาทหน้าที่ กำหนดปริมาณงานให้มีความเหมาะสม เพื่อลดภาวะความเครียดของตำรวจ ควรมีกิจกรรมสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคลากร และสร้างแรงจูงใจในการทำงานเพื่อสนับสนุนให้มีความก้าวหน้าในอาชีพ</p>
2024-12-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/OHSWA/article/view/3702
ผลของโปรแกรมไลน์แอปพลิเคชันแชทบอท “รอบรู้อย่างไรให้ปลอดภัยจากสาร” ต่อการเสริมสร้างความรอบรู้ทางด้านสุขภาพและพฤติกรรมความปลอดภัยในการจัดการสารกำจัดศัตรูพืชในเกษตรกร อำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี
2024-12-26T10:36:04+07:00
กัลยวรรธน์ รัตนมณี
anamai@buu.ac.th
พนิดา สมคณะ
anamai@buu.ac.th
สุชาดา มีลา
anamai@buu.ac.th
อนวัช คงปลิก
anamai@buu.ac.th
อนามัย เทศกะทึก
anamai@buu.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของของโปรแกรมไลน์แอปพลิเคชันแชทบอท “รอบรู้อย่างไรให้ปลอดภัยจากสาร” ต่อการเสริมสร้างความรอบรู้ทางด้านสุขภาพและพฤติกรรมความปลอดภัยในการจัดการสารกำจัดศัตรูพืชในเกษตรกร เป็นวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบสองกลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มละ 22 คน โดยวัดผลก่อนและหลัง โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมไลน์แอปพลิเคชันแชทบอทและกลุ่มควบคุมไม่ได้รับโปรแกรมดังกล่าว การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 52.64±10.85 ปี คะแนนเฉลี่ยของความรอบรู้ทางด้านสุขภาพช่วงก่อนการทดลอง พบว่ากลุ่มควบคุมมีระดับสูงกว่ากลุ่มทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Mean diff. = 12.364, 95% CI = 8.178 – 16.549, p- value < 0.05) คะแนนหลังการทดลองพบว่าค่าเฉลี่ยความรอบรู้ทางด้านสุขภาพของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Mean diff. = 4.909, 95% CI = 0.852 – 8.966, p- value < 0.05) อย่างไรก็ตามภายหลังการทดลอง พบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมความปลอดภัยในการจัดการสารกำจัดศัตรูพืชระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน ดังนั้นควรมีการส่งเสริมความรอบรู้ทางด้านสุขภาพและพฤติกรรมการจัดการสารกำจัดศัตรูพืชให้ปลอดภัยแก่เกษตรกร</p>
2024-12-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/OHSWA/article/view/3704
การประเมินความปลอดภัยด้านอัคคีภัยในอาคาร กรณีศึกษาอาคารเรียนของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคใต้ตอนล่าง
2024-12-26T10:44:46+07:00
ฮาฟาณี อามะ
hafanee.a@yru.ac.th
สุรเดช สุวรรณชาตรี
hafanee.a@yru.ac.th
เมธิยา หมวดฉิม
hafanee.a@yru.ac.th
ปิยะรักษ์ ประดับเพชรรักษ์
hafanee.a@yru.ac.th
อารีฟ เจะเซ็ง
hafanee.a@yru.ac.th
<p> บทความนี้เป็นการศึกษาการประเมินความปลอดภัยด้านอัคคีภัยในอาคาร โดยศึกษาอาคารเรียนของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคใต้ตอนล่าง เป็นกรณีศึกษาซึ่งอาคารดังกล่าวเป็นอาคารสำนักงาน อาคารเรียน และห้องประชุม โครงสร้างอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กก่อสร้างปี 2551 เข้าข่ายบังคับใช้ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) ออกตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 จะมีผลบังคับใช้ซึ่งเป็นกฎหมายควบคุมสำหรับอาคารขนาดใหญ่พิเศษและอาคารสูง ต้องจัดให้มีระบบป้องกันอัคคีภัยตามที่กฎหมายกำหนด การศึกษาครั้งนี้เพื่อสำรวจและประเมินความปลอดภัยทางด้านอัคคีภัยในอาคาร และเพื่อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขข้อบกพร่องด้านการป้องกันอัคคีภัย โดยใช้แบบประเมิน Checklist ในการตรวจ ผลการศึกษาพบว่าจากข้อกําหนดด้านการป้องกันอัคคีภัยจำนวน 33 ข้อ ที่เกี่ยวข้องกับระบบอัคคีภัยของอาคารพบข้อบกพร่องหรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนดจำนวน 2 ข้อ โดยข้อบกพร่องที่พบนั้นเกิดจากขั้นตอนการออกแบบในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอัคคีภัย จึงควรหามาตราการในการป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากความปลอดภัยด้านอัคคีภัยโดยมีการบริหารจัดการพื้นที่ด้านข้างของอาคาร และการจัดทำผนังกันไฟโดยรอบของบันไดหนีไฟ ตามมาตรฐานกำหนด</p>
2024-12-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/OHSWA/article/view/3705
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพปอดของนักดับเพลิง ในพื้นที่อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี
2024-12-26T10:51:21+07:00
ศศิธร สุระมรรคา
mampichitra@gmail.com
สุภาภรณ์ ลิ่มเล็ก
mampichitra@gmail.com
อาชาชิต วงศ์ไทย
mampichitra@gmail.com
พิจิตรา ปฏิพัตร
mampichitra@gmail.com
<p> การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนบุคคล พฤติกรรมด้านสุขภาพ และปัจจัยด้านสภาพการทำงานกับสมรรถภาพปอดของนักดับเพลิง ในอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โดยรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 52 คน ด้วยแบบสอบถาม และเครื่องทดสอบสมรรถภาพ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ ด้วยไคสแควร์ และสหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p> ผลการศึกษา พบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพปอดมีดังนี้ การออกกำลังกาย (p<0.01) จำนวนมวนบุหรี่ที่สูบต่อสัปดาห์ (p<0.001) ความถี่ในการเข้าผจญเพลิง (p<0.01) ระยะเวลาการผจญเพลิง (p<0.05) และประสบการณ์การทำงาน (p<0.05) จากการศึกษานี้ควรมีการเฝ้าระวังทางสุขภาพของนักดับเพลิง ส่งเสริมให้มีออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น คาร์ดิโอ แอโรบิก หรือการเล่นกีฬา รวมถึงสนับสนุนให้งดสูบบุหรี่ และควรจัดหาอุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจให้เหมาะสมและเพียงพอกับการปฏิบัติงาน</p>
2024-12-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/OHSWA/article/view/3706
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพจากการรับสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในเกษตรกรพืชสวนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประเทศไทย
2024-12-26T10:59:57+07:00
กนกกาญจน์ เขาขจร
csunis@kku.ac.th
สุนิสา ชายเกลี้ยง
csunis@kku.ac.th
<p> การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการรับสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรปลูกพืชสวน กลุ่มตัวอย่างเป็นเกษตรกรพืชสวน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จำนวน 383 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามแบบมีโครงสร้าง ประเมินความเสี่ยงโดยอาศัยเมตริกความเสี่ยงทางอาชีวอนามัย และวิเคราะห์หาปัจจัยเสี่ยงจากการสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืชโดยใช้สถิติพหุถดถอยลอจีสติก ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 87.80 อายุเฉลี่ย 54 ปี ทำการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเอง ร้อยละ 73.17 มีความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ระดับปานกลางขึ้นไป ร้อยละ 8.35 และพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับความเสี่ยงสูงต่อการสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืช คือ เกษตรกรผู้ที่ใช้สารปริมาณการสูงกว่า 500 ลูกบาศมิลลิเมตรต่อปี (OR<sub>adj</sub>=3.35; 95%CI: 1.27-8.79) และมีปัจจัยด้านพฤติกรรมในการป้องกันตนเองที่ระดับต่ำหรือปานกลาง (OR<sub>adj</sub>=10.20; 95%CI: 4.62-16.26) ได้แก่ การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชฉีดพ่นโดยมีเสื้อผ้าเปียกชุ่มปนเปื้อนสาร ดังนั้นผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้ในการเฝ้าระวังวางแผนป้องกันการสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรด้วยการส่งเสริมการลดปริมาณการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและการใช้ชุดอุปกรณ์ป้องกันตนเองสารเคมีขณะฉีดพ่นสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในเกษตรผู้ที่ฉีดพ่นสารเคมีต่อไป</p>
2024-12-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024