วารสารวิจัยนวัตกรรมและหลักฐานเชิงประจักษ์ทางสุขภาพ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PBRI <p>วารสารวิจัยนวัตกรรมและหลักฐานเชิงประจักษ์ทางสุขภาพ ดำเนินงาน โดย วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุดรธานี ร่วมกับ องค์การนักศึกษาสถาบันพระบรมราชชนก เปิดรับบทความผลงานวิจัย นวัตกรรม กรณีศึกษา และบทความทางวิชาการจากหลักฐานเชิงประจักษ์ของนักศึกษา อาจารย์ บุคลากร และศิษย์เก่า สังกัดสถาบันพระบรมราชชนก ในด้านการแพทย์ การพยาบาล การสาธารณสุขการศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ</p> <p>กำหนดออกปีละ 2 ฉบับ คือ</p> <p>มกราคม - มิถุนายน</p> <p>กรกฎาคม - ธันวาคม</p> th-TH adcharakham@bcnu.ac.th (ดร. อัจฉรา คำมะทิตย์) adcharakham@bcnu.ac.th (ดร. อัจฉรา คำมะทิตย์) Thu, 27 Nov 2025 11:57:27 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการฟื้นคืนพลังการสนับสนุนทางสังคมกับภาวะหมดไฟในการเรียนของนักศึกษาพยาบาล https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PBRI/article/view/3645 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาหาความสัมพันธ์ นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการฟื้นคืนพลัง การสนับสนุนทางสังคม กับภาวะหมดไฟในการเรียนของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 1 - 4 จำนวน 226 คน ระยะเวลาในการศึกษาระหว่างเดือน มิถุนายน - กันยายน 2567 เครื่องมือที่ใช้การวิจัย คือ แบบสอบถามแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป แบบวัดภาวะหมดไฟในการเรียน แบบวัดความสามารถการฟื้นคืนพลัง และแบบวัดการรับรู้การสนับสนุนทางสังคมแบบหลายมิติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ระดับภาวะหมดไฟในการเรียนของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 1 - 4 อยู่ในระดับต่ำ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ความสามารถในการฟื้นคืนพลังมีความสัมพันธ์ทางลบกับภาวะหมดไฟในการเรียนอยู่ในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r= - .54; </span><em style="font-size: 0.875rem;">p</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .01) และการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางลบกับภาวะหมดไฟ</span><span style="font-size: 0.875rem;">ในการเรียน อยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r= - .54; </span><em style="font-size: 0.875rem;">p</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .01)</span></p> <p>ดังนั้น การเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นคืนพลัง และส่งเสริมการได้รับการสนับสนุนทางสังคม จะช่วยลดการเกิดภาวะหมดไฟในการเรียนของนักศึกษาพยาบาล</p> นันทนัช พิมมะ, กนกพร นครกัณฑ์, กิติยา เเสงอาทิตย์, งามศิริ โพธิ์ศรี, ทิฆัมพร มากกล่ำ, ปัณฐิตา เเย้มทอง, ปิยธิดา สระเเก้ว, สุกัญญา เพิ่มสวัสดิ์, อรพิมพ์ สีปัตถา, สุนีย์รัตน์ บุญศิลป์, วรชา เฟื่องทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันพระบรมราชชนก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PBRI/article/view/3645 Thu, 27 Nov 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ของการรับรู้สมรรถนะแห่งตนและพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลนครปฐม อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PBRI/article/view/4728 <p>การศึกษาวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้สมรรถนะแห่งตนกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลนครปฐม อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ทั้งหมดจำนวน 120 คน ดำเนินการรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบการรับรู้สมรรถนะแห่งตนและแบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเอง ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ได้ค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ระหว่าง .67 - 1.00 ได้ค่าความเชื่อมั่นจากสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ 0.80, 0.79 ตามลำดับ วิเคราะห์ด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>การรับรู้สมรรถนะแห่งตนมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลนครปฐม อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05ทั้งภาพรวมและรายด้าน</p> <p>เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญในการปฏิบัติตนที่ดีต่อการเป็นโรคเบาหวานโดยจัดโครงการอบรมด้านทักษะการให้ความรู้ทางด้านสุขภาพ เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถได้รับข้อมูลสุขภาพกับบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในการให้ความรู้รวมถึงความสำคัญของโรคเบาหวาน</p> ปัณณทัต พุทธรักษา, ธนะรัชต์ งอบโพธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันพระบรมราชชนก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PBRI/article/view/4728 Thu, 27 Nov 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟันของผู้สูงอายุ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านค้อ อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PBRI/article/view/3249 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของการสูญเสียฟันและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟันของผู้สูงอายุเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านค้อ <br />อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง 225 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือวิจัยผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยการประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ได้ค่าระหว่าง .67 - 1.00 และได้ค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ = 0.72 - 0.89) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุด ต่ำสุด และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติ Chi-square test, Fisher's exact test สำหรับทดสอบปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ และ 95% Confidence interval (95% CI) กำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ความชุกการสูญเสียฟันของผู้สูงอายุ (มีจำนวนฟันในช่องปากเหลือน้อยกว่า 20 ซี่) ร้อยละ 35.10 (95% CI = 33.00 - 45.00)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟันของผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปาก (p-value &lt; 0.001)</span></p> <p>ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญในการเสริมสร้างความรู้ทัศนคติและพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพช่องปากในผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันโรคในช่องปากและลดการสูญเสียฟัน</p> นพพร บุณรังสี, นัฐพร พลาจันทร์, เมธาวี ศรีใหญ่, ธีรศักดิ์ พาจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันพระบรมราชชนก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PBRI/article/view/3249 Thu, 27 Nov 2025 00:00:00 +0700 การประเมินผลการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PBRI/article/view/3806 <p>การวิจัยเชิงประเมินผลนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยการประยุกต์ใช้รูปแบบการประเมินของสเตค (Stake, 1980) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก จำนวน 41 คน และผู้นำชุมชนที่ปฏิบัติงานและอาศัยอยู่ในอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 206 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ประยุกต์ใช้รูปแบบการประเมินของสเตค (Stake, 1980) ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค และทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคม ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและทดสอบความเชื่อมั่นของเครื่องมือ พบว่า แบบสอบถามชุดที่ 1 มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.85 0.88 และแบบสอบถามชุดที่ 2 มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.87 0.86 0.99 และ 0.80 วิเคราะห์ข้อมูลด้วย จำนวน ร้อยละ และการประมาณค่าช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ของร้อยละ ผลการศึกษาพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ผลการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ ส่วนใหญ่มีปัญหาและอุปสรรคในการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม/ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ร้อยละ 80.50 และการสำรวจดัชนีลูกน้ำยุงลาย ร้อยละ 73.20</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ผลการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของผู้นำชุมชน พบว่า มีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกอยู่ในระดับมาก และมีส่วนร่วมมากที่สุด คือ เมื่อพบคนป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกในบ้านหรือ</span><span style="font-size: 0.875rem;">ในชุมชน ผู้นำชุมชนจะแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ผลการดำเนินงานการป้องกันและควบคุม โรคไข้เลือดออกเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานในปี 2566 ของอำเภอ เมืองฉะเชิงเทรา พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสะสมจำนวน 156 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 95.42 ต่อแสนประชากร</span><span style="font-size: 0.875rem;">ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และมีอัตราตาย เท่ากับ 0 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดและมีค่าดัชนีลูกน้ำยุงลาย (HI, BI, CI) อยู่ในเกณฑ์ความเสี่ยงต่ำและปานกลาง</span></p> <p>จากผลการวิจัย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานควรจัดกิจกรรมการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในช่วงเวลาที่ประชาชนสะดวก เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและความตระหนักของประชาชนในการป้องกันแลควบคุมโรคไข้เลือดออกให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด</p> ขวัญธิดา นิ่มนวล, กิระพล กาละดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันพระบรมราชชนก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PBRI/article/view/3806 Thu, 27 Nov 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของยาน้ำใช้ภายนอกจากเพกากับยาคาลาไมน์โลชันในการรักษาอาการคันทางผิวหนัง https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PBRI/article/view/4074 <p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง แบบสุ่มปกปิดด้านเดียว วัตถุประสงค์การวิจัย คือ เพื่อศึกษาประสิทธิผลของยาน้ำใช้ภายนอกจากเพกาในการลดอาการคันทางผิวหนังเปรียบเทียบกับยาคาลาไมน์โลชัน นำกลุ่มตัวอย่าง 80 คน มาสุ่มแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 40 คน ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับการใช้ยาน้ำใช้ภายนอกจากเพกาและกลุ่มที่ได้รับยาคาลาไมน์โลชัน ก่อนการทดลองผู้วิจัยเก็บข้อมูลด้วยแบบประเมินอาการคันทางผิวหนัง จากนั้นทำการทดสอบการระคายเคืองและสังเกตอาการหลังทายา 30 นาที และให้กลุ่มตัวอย่างทายาที่ตนเองได้รับ เช้า กลางวัน และเย็น เป็นเวลา 7 วัน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบประเมินอาการคันทางผิวหนังที่ระยะเวลา 30 นาที 1 ชั่วโมง 1 วัน 3 วัน และ 7 วัน ในทั้ง 2 กลุ่ม วิเคราะห์ค่าเฉลี่ยคะแนนอาการคันทางผิวหนังระหว่างกลุ่มที่ใช้ยาน้ำใช้ภายนอกจากเพกาและกลุ่มที่ใช้ยาคาลาไมน์โลชัน หลังการรักษาช่วงระยะเวลาต่าง ๆ ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลองพบว่ากลุ่มที่ใช้ยาน้ำใช้ภายนอกจากเพกามีค่าเฉลี่ยคะแนนอาการคันทางผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มที่ใช้ยาคาลาไมน์โลชันที่ 30 นาที 1 ชั่วโมง และ 1 วัน ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่ในวันที่ 3 และ วันที่ 7 ไม่แตกต่างกัน สรุปผลได้ว่า ยาน้ำใช้ภายนอกจากเพกาสามารถลดอาการคันในผู้ที่มีอาการคันทางผิวหนังได้ โดยลดอาการคันทางผิวหนังได้มากกว่ายาคาลาไมน์โลชันภายใน 1 วัน และค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน</p> วิลาสินี หงสนันทน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันพระบรมราชชนก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PBRI/article/view/4074 Fri, 28 Nov 2025 00:00:00 +0700