เพชรบูรณ์เวชสาร https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PMJ <p><strong>เพชรบูรณ์เวชสาร </strong>เป็นวารสารที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการจัดทำวารสารของโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการทางการแพทย์และสาธารณสุข มีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้</p> <p>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน</p> <p>ฉบับที่ 2 เดือน พฤษภาคม-สิงหาคม</p> <p>ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม </p> <p> </p> en-US tassanamd@gmail.com (ดร.นพ.ทรรศนะ ธรรมรส) pmj-pbh2567@hotmail.com (คุณอัมพร โสมาศรี) Fri, 29 Aug 2025 13:07:52 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลลัพธ์ทางคลินิกและภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัดตับในผู้ป่วยเนื้องอกตับและท่อทางเดินน้้าดีในโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PMJ/article/view/4256 <p>เนื้องอกตับและท่อทางเดินน้้าดีมีอุบัติการณ์สูงและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตล้าดับต้นของประชากรทั่วโลก ซึ่งการผ่าตัดเป็นการรักษาหลักที่ให้ผลลัพธ์ดีในผู้ป่วยกลุ่มนี้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานทางคลินิกของผู้ป่วยและชนิดของเนื้องอกตับและท่อทางเดินน้้าดี ผลลัพธ์ทางคลินิกและอุบัติการณ์ของภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดตับในผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดตับ ณ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบเก็บข้อมูลย้อนหลัง โดยทบทวนข้อมูลจากเวชระเบียนระบบอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกตับและท่อทางเดินน้้าดี และได้รับการผ่าตัดตับ ณ แผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2560 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ส้าเร็จรูปทางสถิติ ผลการศึกษาพบว่ามีผู้ป่วยทั้งหมด 52 ราย ร้อยละ 63.4 เป็นเพศชาย ค่ามัธยฐานของอายุคือ 59.5 ปี ชนิดของโรคที่พบมากที่สุด ได้แก่ มะเร็งเซลล์ตับ (Hepatocellular carcinoma) ร้อยละ 32.7 รองลงมาคือ มะเร็งแพร่กระจายมาจากอวัยวะอื่น (Metastatic liver cancer) ร้อยละ 28.9 และมะเร็งท่อน้้าดีภายในตับ (Cholangiocarcinoma) ร้อยละ 19.2 ค่ามัธยฐานของเลือดที่เสียระหว่างผ่าตัดคือ 200 มิลลิลิตร ค่ามัธยฐานของระยะเวลาผ่าตัดคือ 270 นาที และค่ามัธยฐานของระยะเวลานอนโรงพยาบาลคือ 6.5 วัน ไม่พบการเสียชีวิตภายหลังผ่าตัด ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดคือ ภาวะน้้าดีรั่ว ซึ่งพบในผู้ป่วย 25 ราย (ร้อยละ 48) ส่วนใหญ่มีความรุนแรงระดับ A ตามเกณฑ์ของ The International Study Group of Liver Surgery (ISGLS) โดยสรุปการผ่าตัดตับในโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ให้ผลลัพธ์ทางคลินิกที่ดี ไม่พบผู้ป่วยรายใดเสียชีวิต อย่างไรก็ตามควรให้ความส้าคัญกับการป้องกันและดูแลภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย โดยเฉพาะภาวะน้้าดีรั่วความรุนแรงระดับ A ซึ่งสามารถรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด การพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนนี้ และการเฝ้าระวังติดตามภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดได้หลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อไป</p> สราวุธ บางขาว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PMJ/article/view/4256 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 อุบัติการณ์ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ และเกณฑ์การทำนายทางคลินิกของการติดเชื้อในกระแสเลือดในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม โรงพยาบาลวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PMJ/article/view/4125 <p>ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินอุบัติการณ์ ระบุปัจจัยเสี่ยง และพัฒนาเกณฑ์ทำนายทางคลินิกของการติดเชื้อในกระแสเลือดในผู้ป่วยฟอกเลือด ทำการศึกษาแบบ Retrospective cohort โดยทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่มารับบริการฟอกเลือด ณ โรงพยาบาลวิเชียรบุรี ระหว่างตุลาคม 2564 ถึง กันยายน 2567 จำนวน 149 ราย ข้อมูลประกอบด้วยข้อมูลประชากร โรคประจำตัว ระยะเวลาการฟอกเลือด ชนิดและระยะเวลาการใช้เส้นฟอกเลือด และผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และถดถอยโลจิสติกทั้งแบบเดี่ยวและพหุ โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value &lt;0.05 พบว่า อุบัติการณ์การติดเชื้อในกระแสเลือดรวมอยู่ที่ 18.0 ต่อ 100 คน-ปี ต่ำที่สุดในผู้ใช้ AVF (14.0 คน-ปี) และสูงสุดในผู้ใช้ NTCC (115.3 คน-ปี) ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงได้แก่ การฟอกเลือดนอกโรงพยาบาล (Adj. OR 3.54, p=0.003) และระดับอัลบูมิน ≤3.5 mg/dL (Adj. OR 4.34, p=0.002) ขณะที่อายุ &gt;65 ปี (Adj. OR 0.27, p=0.004) และ Hematocrit ≤25% (Adj. OR 0.29, p=0.01) ลดความเสี่ยง เกณฑ์ทำนายทางคลินิกที่พัฒนาจาก β coefficients ได้แก่ อายุ &gt;65 ปี = -1 คะแนน, ฟอกเลือดนอกโรงพยาบาล = +1 คะแนน, อัลบูมิน ≤3.5 mg/dL = +1 คะแนน และ Hematocrit ≤25% = -1 คะแนน เมื่อรวมคะแนนสามารถจำแนกผู้ป่วยเป็นกลุ่มความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง และสูง โดยตรวจสอบความเสถียรของโมเดลด้วย Apparent validation พบ AUC สูงสุด 0.74 ที่ cutoff ≥1 ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ฟอกเลือดมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดสูง ปัจจัยเสี่ยงสำคัญได้แก่ การฟอกเลือดนอกโรงพยาบาลและอัลบูมินต่ำ และเกณฑ์ทำนายทางคลินิกสามารถช่วยคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงเพื่อวางแผนมาตรการป้องกันล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตาม ควรมีการยืนยันในประชากรอื่นเพิ่มเติมก่อนนำไปใช้</p> ขวัญศุภางค์ ว่องวัฒนาศานติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PMJ/article/view/4125 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยเสี่ยงของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นต่อภาวะขาดออกซิเจนในทารกแรกคลอดในโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PMJ/article/view/3884 <p>การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเป็นภาวะที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนทั้งในมารดาและทารก โดยเฉพาะภาวะขาดออกซิเจนในทารกแรกคลอด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของทารกแรกเกิด การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับภาวะขาดออกซิเจนในทารกแรกคลอดในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นที่โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ โดยใช้การศึกษาแบบ retrospective case–control เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนของหญิงตั้งครรภ์อายุ 10–19 ปีที่คลอดระหว่าง 1 ตุลาคม 2560 ถึง 30 กันยายน 2565 รวม 343 ราย แบ่งเป็นกลุ่ม case 69 ราย (Apgar score นาทีที่ 1 ≤7) และกลุ่ม control 274 ราย (Apgar score &gt;7) ผลการศึกษา พบว่า อายุเฉลี่ย ลำดับการตั้งครรภ์ การฝากครรภ์ และการฝากครบ 5 ครั้ง ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างสองกลุ่ม (p&gt;0.05) อย่างไรก็ตาม กลุ่ม case มีอัตราการคลอดก่อนกำหนด (&lt;37 สัปดาห์) สูงกว่ากลุ่ม controls อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ร้อยละ 24.6 เทียบกับ ร้อยละ 12.0; p=0.008) การติดเชื้อเอชไอวีและการใช้ยา Prostaglandin เพื่อชักนำการคลอดมีมากกว่าในกลุ่ม case อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ร้อยละ 8.7 เทียบกับ ร้อยละ 1.8; p=0.011 และ ร้อยละ 23.2 เทียบกับ ร้อยละ 10.9; p=0.008 ตามลำดับ) การคลอดด้วยเครื่องดูดสุญญากาศเกิดภาวะขาดออกซิเจนมากกว่า (ร้อยละ 13.0 เทียบกับ ร้อยละ 5.5; p=0.036) ขณะที่การคลอดเองทางช่องคลอดเกิดภาวะดังกล่าวน้อยกว่า (ร้อยละ 37.7 เทียบกับ ร้อยละ 56.6; p=0.005) การวิเคราะห์พหุปัจจัยพบว่าปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ โรคธาลัสซีเมีย (AOR 9.22; 95% CI 1.11–76.89; p=0.040), การติดเชื้อเอชไอวี (AOR 4.18; 95% CI 1.05–16.75; p=0.043) และการใช้ยา Prostaglandin (AOR 2.45; 95% CI 1.09–5.48; p=0.030) มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอด สรุปได้ว่าหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ควรได้รับการคัดกรองตั้งแต่ระยะแรก การติดตามอย่างใกล้ชิด และการเลือกใช้วิธีชักนำการคลอดอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและส่งเสริมคุณภาพการดูแลสุขภาพแม่และเด็ก</p> นภัสกมล สุภาพ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PMJ/article/view/3884 Mon, 08 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนานวัตกรรมทางการพยาบาลในการป้องกันการเกิดแผลกดทับ ในทารกวิกฤต https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PMJ/article/view/4094 <p> ทารกวิกฤตมีลักษณะทางกายภาพและสรีรวิทยาที่ยังไม่สมบูรณ์ มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว และจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและความจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการป้องกันแผลกดทับ ออกแบบและพัฒนานวัตกรรมทางการพยาบาลเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้ของพยาบาลก่อนและหลังอบรมเชิงปฏิบัติการ และประเมินผลการใช้นวัตกรรมในการปฏิบัติการวิชาชีพ การวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนา ดำเนินการในหอผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ระหว่างกันยายน 2566 ถึง มิถุนายน 2567 แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ การศึกษาสถานการณ์และปัญหา การพัฒนานวัตกรรม และการประเมินผล กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพยาบาลวิชาชีพ 13 คน และทารกวิกฤต 80 ราย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย นวัตกรรมทางการพยาบาล, แบบบันทึกการใช้และประเมินผล, แบบประเมินความรู้ก่อน–หลังอบรม และแบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา ความแตกต่างระหว่างกลุ่มวิเคราะห์ด้วย Chi-Square อัตราการเกิดแผลกดทับก่อนและหลังใช้นวัตกรรมวิเคราะห์ด้วย Fisher’s Exact Test และคะแนนเฉลี่ยความรู้ของพยาบาลก่อน–หลังอบรมเปรียบเทียบด้วย Paired sample t-test ผลการศึกษาพบว่าทารกวิกฤตยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับและยังไม่มีนวัตกรรมที่เป็นรูปธรรม นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย “กล่องปกป้อง” และ “แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันแผลกดทับ” ซึ่งสามารถเพิ่มคะแนนความรู้ของพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) ลดอัตราการเกิดแผลกดทับอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.005) และพยาบาลมีความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรมในระดับสูงสุด ( = 4.51, S.D. = 0.34) การศึกษาชี้ให้เห็นว่านวัตกรรมดังกล่าวช่วยลดอัตราการเกิดแผลกดทับ เพิ่มคุณภาพชีวิตและพัฒนาการของทารก รวมทั้งสร้างแนวทางการดูแลที่เป็นระบบและสามารถประยุกต์ใช้ในหน่วยงานอื่นได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งสามารถต่อยอดขยายผลในระดับพื้นที่และระดับประเทศในอนาคต</p> น้ำทิพย์ บุญตา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/PMJ/article/view/4094 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700