https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/issue/feed
วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
2024-03-10T11:10:33+07:00
ดร.กำพล เข็มทอง (Dr.Kampol Khemthong)
baokamk@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลการศึกษาวิจัยทางด้านการพัฒนาคุณภาพงานสาธารณสุข และคุณภาพชีวิต นำไปสู่ผู้ปฏิบัติงาน บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข ในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ</li> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านการแพทย์และด้านสาธารณสุขของบุคลากรสาธารณสุขทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข</li> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านสุขภาพของนักวิจัย อาจารย์ นิสิต นักศึกษา</li> <li>เป็นแหล่งวิชาการให้บุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขรวมถึงประชาชนทั่วไป แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในระดับประเทศและระดับนานาชาติ และพัฒนาคุณภาพให้เข้าสู่มาตรฐานตามหลักสากล อันเป็นกลไกส่งเสริมการมีสุขภาวะที่ดีและพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมของประชาชน</li> </ol>
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/2243
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน งานอุบัติเหตุฉุกเฉิน : กรณีศึกษา 2 ราย
2024-02-15T09:26:32+07:00
อรนุช แก่นทอง, พย.ม.
oranuchrk@gmail.com
<p>ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เป็นภาวะที่เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจตาย จากการตีบหรืออุดตันเฉียบพลัน ของหลอดเลือดโคโรนารีที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจมีเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ที่เป็นสาเหตุ การเสียชีวิตอันดับต้นของประชากร ในประเทศไทย เนื่องจากเป็นภาวะวิกฤตที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างกะทันหัน การรักษาในบทบาทของโรงพยาบาลชุมชน ณ แผนกผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน การให้การพยาบาล 3 ระยะ 1) การพยาบาลในระยะฉุกเฉิน (Emergency care) แรกรับที่แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช 2) การพยาบาลระยะแรก (Early care) ขณะอยู่ในแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช 3) การพยาบาลระยะส่งต่อ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการดำเนินของโรค การรักษา และการพยาบาลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายในระยะ เฉียบพลัน และศึกษาเปรียบเทียบผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ในกรณีศึกษา 2 ราย วิธีการศึกษาเป็นรายกรณีแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 2 ราย ระหว่าง 1 ธันวาคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2566</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กรณีศึกษารายที่ 1 เพศชายอายุ 81 ปี มีอาการเจ็บหน้าอกทะลุหลังก่อนมาโรงพยาบาล 4 ชั่วโมง ได้รับการคัดกรองเข้าห้องฉุกเฉินและตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทันที แพทย์วินิจฉัยโรค Antero-lateral wall STEMI ให้การรักษาโดยให้ยาละลายลิ่มเลือด Streptokinase ขณะให้ยาละลายลิ่มเลือดผู้ป่วยเกิดภาวะ Cardiogenic shock หลังให้ยาละลายลิ่มเลือดหมด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจซ้ำ พบว่ามี Reperfusion ส่งผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล แม่ข่าย รวมระยะเวลาที่อยู่ในความดูแล 2 ชั่วโมง 57 นาที ระหว่างส่งต่อผู้ป่วยไม่มีอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อน ถึงโรงพยาบาลแม่ข่ายอย่างปลอดภัย กรณีศึกษารายที่ 2 เพศหญิงอายุ 73 ปี มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกก่อนมาโรงพยาบาล 4 ชั่วโมง คัดกรองเข้าห้องฉุกเฉินและตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทันที แพทย์วินิจฉัย Infero-lateral wall STEMI ได้รับการรักษาโดยให้ยาละลายลิ่มเลือด Streptokinase ระหว่างได้ยาละลายลิ่มเลือด Cardiogenic shock หลังยาละลาย ลิ่มเลือดหมด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจซ้ำ พบว่าไม่มี Reperfusion ผู้ป่วยได้รับการส่งต่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล แม่ข่าย รวมระยะเวลาที่อยู่ในความดูแล 1 ชั่งโมง 38 นาที ระหว่างส่งต่อผู้ป่วยไม่มีอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อน ถึงโรงพยาบาลแม่ข่ายอย่างปลอดภัย</p> <p>สรุปผลการศึกษา บทบาทพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในระยะวิกฤต มีความสำคัญยิ่ง ในการประเมินและคัดกรองผู้ป่วยอย่างถูกต้อง รวดเร็ว ตั้งแต่แรกรับในโรงพยาบาลจะส่งผลผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยถูกต้อง และได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว พยาบาลต้องมีความรู้ในการบริหารยา การเฝ้าระวังภาวะผิดปกติ ที่อาจเกิดขึ้น กับผู้ป่วยได้ตลอดเวลา นับตั้งแต่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจนกระทั่งส่งต่อไปโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า ส่งผลทำให้ลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้</p>
2024-01-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/2333
การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง: กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย
2024-03-07T19:30:25+07:00
ทิวาพร เกษสร, พย.บ.
tiwaporn2567@gmail.com
<p>ภาวะครรภ์เป็นพิษชนิดรุนแรง ( Preeclampsia with severe feature ) เป็นภาวะที่พบในหญิงตั้งครรภ์ เกิดจากภาวะความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ เกิดหลังตั้งครรภ์ครบ 20 สัปดาห์ โดยความดันโลหิตที่สูงกว่า 160/110 มิลลิเมตรปรอท จากการวัดความดันโลหิตห่างกัน 2 ครั้ง อย่างน้อย 4 ชั่วโมง ร่วมกับมีอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว เจ็บหรือจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ ซึ่งอาจมีอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนที่มากขึ้น และสามารถทำให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ, ไตหรือตับทำงานผิดปกติ, การชัก หรืออาจถึงขั้นคุณแม่และทารกเสียชีวิตได้ การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง 2 ราย เป็นการศึกษาเพื่อเปรียบการศึกษาหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง ที่เข้ารับการรักษา โรงพยาบาลกันทรลักษ์ จำนวน 2 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูลรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยใน การสัมภาษณ์ญาติและการสังเกตการวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์เปรียบเทียบ ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหายใจลำบาก พยาธิสภาพ อาการและอาการแสดงการรักษา ปัญหาและข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลการวางแผนการจำหน่ายและการดูแลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า รายที่ 1 หญิงตั้งครรภ์ อายุ 39 ปี มารดา G4P2A1L2 last child 3 ปี LMP 27 เมษายน 2565 , EDC 1 กุมภาพันธ์ 2566 GA 38 สัปดาห์ มาด้วยอาการเจ็บครรภ์คลอด ไม่มีน้ำเดิน 1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล แรกรับวัดสัญญาณชีพ HR 100 /min , RR 20 /min , BP 174/105 mm.Hg ,Pain Scor 7 คะแนน ไม่มีอาการปวดศีรษะ ไม่มีตาพร่ามัว ได้รับการวินิจฉัย Preeclampsia with feature รายที่ 2 หญิงตั้งครรภ์ อายุ 31 ปี มารดา G3P1A1L1 last child 2 ปี LMP 24 พฤษภาคม 2565 , EDC 28 กุมภาพันธ์ 2566 GA 35+6 สัปดาห์ มาด้วยตรวจครรภ์ตามปกติ พบว่า BP 158/105 mm.Hg , วัด BP ครั้งที่ 2 164/111 ไม่มีอาการปวดศีรษะ ไม่มีตาพร่ามัว ได้รับการวินิจฉัย Preeclampsia with feature</p> <p>สรุปผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าพยาบาลเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญ ในการประเมินและค้นหาปัญหาผู้ป่วยตั้งแต่แรก ตั้งครรภ์ การเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ จนกระทั่งการคลอด ประเมินสัญญาณชีพเมื่อมาตรวจครรภ์ มารับการคลอดและหลังคลอด ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาพยาบาลที่รวดเร็วทันเวลา เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์มีความรู้ในเรื่องการดูแลสังเกตอาการครรภ์เป็นพิษ มาตรวจครรภ์ตามนัด สังเหตอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มือเท้าบวม นำไปปฏิบัติเพื่อเฝ้าระวังการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากครรภ์เป็นพิษที่รุนแรงได้</p>
2024-03-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/2047
รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ
2024-01-12T13:45:15+07:00
ยุพยงค์ พาหา, วท.ม.
ypahau@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยและพัฒนา มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน แบ่งการวิจัยเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ แบบภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ ในอำเภอปรางค์กู่ จำนวน 410 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น วิเคราะห์หาปัจจัยทำนายด้วยสถิติการถดถอยพหุคูณ (Multiple linear regression) ระยะที่ 2 เป็นการวิจัยวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วม ผ่านกระบวนการจัดการคุณภาพ (PAOR) จำนวน 3 วงรอบ แต่ละวงรอบมี 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนผล กลุ่มเป้าหมายคัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ จำนวน 40 คนวิเคราะห์ข้อมูล โดยการรวบรวม จัดหมวดหมู่ และการวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 3 เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ในกลุ่มเล็ก เปรียบเทียบก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างได้แก่ผู้สูงอายุ จำนวน 110 คน วิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบผลต่างคะแนนเฉลี่ยของตัวแปรก่อนและหลังได้รับโปรแกรม โดยใช้สถิติ paired sample t-test ระยะเวลาการศึกษาตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ถึงเดือน กันยายน 2566</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ โดยด้านร่างกาย ผู้สูงอายุมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ด้านจิตใจ ผู้สูงอายุมีสภาพความเป็นอยู่ดี อบอุ่น มีความเหมาะสม ด้านความสัมพันธ์ทางสังคม ชุมชนผู้สูงอายุ มีส่วนร่วมการทำกิจกรรมพอสมควร ด้านสภาพแวดล้อม ลักษณะที่อยู่อาศัย ของผู้สูงอายุมีความเหมาะสม 2) ระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุภาพรวมอยู่ในระดับสูง จำนวน 2 ด้าน ได้แก่ด้านจิตใจ และด้านความสัมพันธ์ทางสังคม 3) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุอำเภอปรางค์กู่ ได้แก่ ปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมกับครอบครัวและชุมชน ปัจจัยด้านการสนับสนุนทางสังคม ปัจจัยด้านการให้คุณค่าในตนเอง ปัจจัยด้านความพึงพอใจในชีวิตความเป็นอยู่และปัจจัยด้านการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน โดยทั้ง 5 ปัจจัยสามารถร่วมกันอธิบายความผันแปรของปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุอำเภอปรางค์กู่ ได้ร้อยละ 63.80 (R<sup>2</sup>=0.646, R<sup>2</sup>adj=0.638 ) 4) รูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ คือ QDE :PRANGKU Model ประกอบด้วย (1) P= Promote Elderly Exercise ส่งเสริมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ (2) R=Responsibility ร่วมรับผิดชอบ (3) A=Area support จุดรองรับผู้สูงอายุ (4) N=Nursing Home ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (5) G=Good Environment สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี (6) K=Keep up Self -Esteem รักษาความนับถือตนเอง และ (7) U=Unity of Personal 5) การประเมินผลรูปแบบพบว่าหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีผลต่างคะแนนเฉลี่ยของ พบว่าการมีส่วนร่วมกับครอบครัวและชุมชน การสนับสนุนทางสังคม การให้คุณค่าในตนเอง ความพึงพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ซึ่งรูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในอำเภอปรางค์กู่ได้</p>
2024-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/2085
รูปแบบการพัฒนาคุณภาพสังคมของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ
2024-01-12T14:16:34+07:00
อธิวัฒน์ วราพุฒ, ส.ม.
roongati2553@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพสังคม ของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการพัฒนากระบวนการมีทั้งหมด 41 คน ได้แก่ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) จำนวน 21 คน คณะอนุกรรมการดำเนินงานด้านการพัฒนาคุณภาพสังคม จำนวน 20 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการประเมินผล จำนวน 200 คน การวิจัยใช้กระบวนการของ Kemmis และ Mctaggart (1968) ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1) การวางแผนการปฏิบัติงาน ขั้นตอนที่ 2) การลงมือปฏิบัติการตามแผน ขั้นตอนที่ 3) การติดตามสังเกตการณ์ และขั้นตอนที่ 4) การสะท้อนผล จำนวน 3 วงรอบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการรวบรวม จัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหา โดยใช้แบบประเมินคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ และเปรียบเทียบผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนและหลังใช้สถิติ paired t-test ระหว่างเดือน กรกฎาคม 2565 ถึง พฤษภาคม 2566 ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพสังคมของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) คือ TAGSTEAM Model คือ 1) Team District Health board : การแต่งตั้งทีมคณะอนุกรรมการระดับอำเภอและระดับตำบล 2) Aanalysis Data : การรวบรวมวิเคราะห์ขอมูลและคืนข้อมูลโดยใช้แนวทางเดียวกัน 3) Good vision: การกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายการดำเนินงาน 4) Strategy Planning : การวางแผนแบบมีส่วนร่วมในการออกแบบกิจกรรมดำเนินการ 5) Tombon Budget support : การจัด เดิน วิ่ง ปั่น ฮักแพง คนโนนคูณ ในแต่ละตำบล 6) Essential Care : การออกการดูแล เยี่ยมช่วยเหลือเสริมพลังกลุ่มเป้าหมาย 7) Appreciation Capacity building : การชื่นชมและให้คุณค่า พัฒนาบุคลากรและสร้างเครือข่ายทรัพยากร 8) Motivation lessons learning : การจัดเวทีสร้างแรงจูงใจแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดบทเรียน ผลลัพธ์จากหลังการพัฒนารูปแบบ พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง มีผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนน ของคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพกาย คุณภาพชีวิตด้านจิตใจ คุณภาพชีวิตด้านสัมพันธภาพทางสังคม คุณภาพชีวิตด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตโดยรวม ของผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง สูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งรูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปดำเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพทางสังคมที่ดีขึ้นต่อไป</p>
2024-02-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/2246
ผลของโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 3อ 2ส ของประชาชนในเขตตำบลพิงพวย อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ
2024-02-15T13:10:20+07:00
เสถียร โนนน้อย, ส.บ.
Satien6913@hotmail.com
<p> </p> <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 3อ 2ส ของประชาชน ในเขตตำบลพิงพวย อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 60 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยใช้โปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพที่พัฒนาขึ้นตามแนวคิดการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพของกองสุขศึกษา กระทรวงสาธารณสุข พัฒนา 4 ทักษะสำคัญ ได้แก่ 1) ทักษะการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ 2) ทักษะการเข้าใจข้อมูลสุขภาพ 3) ทักษะการประเมินข้อมูลและบริการด้านสุขภาพ 4) ทักษะการประยุกต์ใช้ข้อมูลและบริการสุขภาพ ใช้เวลาทั้งสิ้น 3 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณาและสถิติ t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 3อ 2ส เพิ่มขึ้น และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (P-value <0.001) และหลังจากการเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรม 3อ 2ส มากกว่ากลุ่มควบคุม และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value <0.001) จึงสรุปได้ว่า สามารถนำโปรแกรมนี้ไปพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพให้กับประชาชนในชุมชน โดยปรับให้เหมาะสมกับบริบทของประชาชนในแต่ละพื้นที่ เพื่อพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมในการป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง</p>
2024-02-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/2235
การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคไข้เลือดออกโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกู่ ตำบลกู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ
2024-02-13T14:56:44+07:00
นัส เมืองจันทร์, ส.บ.
nmj.nat@gmail.com
สุทธิศักดิ์ นรดี, ปร.ด.
sutthisaknoradee@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสถานการณ์การเกิดโรคไข้เลือดออกและวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยง, ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกของประชาชน รวมถึงเพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคไข้เลือดออกโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และเปรียบเทียบผลของรูปแบบทั้งก่อนและหลังการศึกษา แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ การวิจัยระยะที่ 1 เป็นการวิจัยแบบ Cross-sectional study เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์และประยุกต์ใช้ Google Form ในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยนี้ ประชาชนอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกู่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ร่วมกับการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ (Fisher's exact test) และ สถิติถดถอยแบบพนุแบบขั้นอันดับ (Ordinal logistic regression)ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกของประชาชน คือ ทัศนคติเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกระดับดี (AOR : 2.22 , 95%CI : 1.03 – 4.79) ปัจจัยเสริมในการป้องกันโรคไข้เลือดออกทั้งการสนับสนุนทางสังคม และการได้รับแรงจูงใจในการป้องกันโรคไข้เลือดออกระดับดี (AOR : 0.02 , 95%CI : 0.01 – 0.81) การวิจัยระยะที่ 2 เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน พบว่า เกิดกิจกรรมที่ใช้ในการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในชุมชน ดังนี้ การส่งเสริมให้เกิดการรับรู้ด้านสุขภาพโดยเฉพาะการจัดการสิ่งแวดล้อม การป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ให้แก่ประชาชน กิจกรรมสื่อสารประชาสัมพันธ์สถานการณ์ของโรค การป้องกันและควบคุมโรค โดยดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง สร้างศูนย์รวมข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกในชุมชน กิจกรรมสร้างระบบสื่อสารระหว่างชุมชนและหน่วยงานสาธารณสุข นอกจากนี้ชุมชนสามารถประเมินผลการดำเนินงาน ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานในการป้องกันโรคไข้เลือดออก โดยชุมชนเองได้ทันที นอกจากนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนดประเด็นโรคไข้เลือดออกเป็นประเด็นหลักของตำบลรวมถึงสนับสนุนงบประมาณเพื่อใช้ในการบริหารจัดการ เน้นที่การสร้างการมีส่วนร่วมและความรอบรู้ด้านสุขภาพ เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก ซึ่งภายหลังการทดลอง พบว่า กลุ่มผู้ร่วมวิจัยมีระดับความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออกสูงขึ้น นอกจากนี้ อัตราป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกลดลงกว่าก่อนการดำเนินงาน รวมถึงค่าดัชนีลูกน้ำ มีแนวโน้มลดลง เช่นกัน</p>
2024-02-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/2075
การพัฒนาและประเมินผลการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ตำบลดู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ
2024-01-12T14:12:33+07:00
สำรอง สมหมาย, ส.บ.
samrong202@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อพัฒนาและประเมินผล รูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ในตำบลดู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ </p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยและพัฒนา (Research and Development)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาปัญหาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพกลุ่มเสี่ยงเบาหวานและพัฒนาและใช้โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่มเสี่ยงเบาหวานเป็นระยะเวลา 9 สัปดาห์ ระยะที่ 2 ประเมินผลรูปแบบก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรม สุ่มกลุ่มตัวอย่าง อย่างง่ายตามเกณฑ์คุณสมบัติที่กำหนด จำนวน 66 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แบบสัมภาษณ์ข้อมูลทั่วไป 2) แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน 3) แบบสัมภาษณ์ความเชื่อด้านสุขภาพ และ 4) พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม- เดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และ Paired t-test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 66 ราย ส่วนใหญ่เป็นเป็นชายร้อยละ 56.70 มีอายุเฉลี่ย 55 ปี (M= 55.1 , SD = 9.3 ) สถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 76.7 จบการศึกษาระดับอนุปริญญา ร้อยละ 41.7 อาชีพแม่บ้าน ร้อยละ 30.00 และดัชนีมวลกายเกินมาตรฐาน ร้อยละ 33.3 <strong> </strong>ภายหลังการใช้รูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน สูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < .001, 95% CI ; 1.02, 1.16) ค่าเฉลี่ยคะแนน ความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน สูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < .001, 95% CI ; 7.28, 9.58) และค่าเฉลี่ยคะแนน พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน สูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < .001, 95% CI ; 0.55, 0.74) ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong>: โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองส่งผลให้กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานมีความเชื่อด้านสุขภาพ ความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น สามารถนำมาใช้ในการดูแลรักษากลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานทั้งนี้ ควรมีการส่งเสริม สนับสนุน การดูแลตนเองของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานอย่างต่อเนื่อง เพื่อการป้องกันและลดอัตราการป่วยเป็นโรคเบาหวานในอนาคต</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม; โรคเบาหวาน; การดูแลตนเอง; กลุ่มเสี่ยง</p>
2024-03-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/2137
สถานการณ์และการวินิจฉัยโรคเลปโตสไปโรสิสที่โรงพยาบาลขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เดือนตุลาคม 2562 ถึงเดือนตุลาคม 2566
2024-02-02T09:25:19+07:00
ชโยมนต์ ดอกพอง, พ.บ.
chayomon@gmail.com
ปิยะดา สอนพูด, พย.บ.
Piyadato12549@gmail.com
เจนจิรา ดินฮูเซ็น, ว.ท.ม.
janejira.d@chula.ac.th
ศศิภา เตชะบูรณ์, ว.ท.ม.
sasipha.t@chulahospital.org
ณัฐชัย ศรีสวัสดิ์, พ.บ.
drnattachai@yahoo.com
<p> โรคเลปโตสไปโรสิส หรือโรคฉี่หนู นับเป็นโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งเป็นโรคของสัตว์ที่สามารถติดต่อมาสู่คน พบอุบัติการณ์ของโรคมากในประเทศเขตภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ประเทศไทยพบผู้ป่วย ทั่วทุกภาคของประเทศแต่พบมากที่สุดในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดศรีสะเกษเป็นจังหวัด ที่มีอัตราเกิดโรคที่สูงกว่าระดับประเทศ การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ข้อมูลเชิงระบาดวิทยา ของโรคเลปโตสไปโรสิสผู้ป่วยที่มารักษาในโรงพยาบาลขุขันธ์ และเพื่อตรวจยืนยันวินิจฉัยโรคเลปโตสไปโรสิสผู้ป่วยที่มานอนรักษาในโรงพยาบาลขุขันธ์ ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2562 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ.2566 เก็บรวบรวมข้อมูลด้วย แบบบันทึกข้อมูลและข้อมูลทางห้องปฏิบัติการ ทดสอบผลยืนยันด้วยวิธี real time PCR และวิธี Microscopic Agglutination Test(MAT) วิเคราะห์ความแตกต่างโดยใช้สถิติ Mann-Whitney U test ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน และ compare mean t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า สถานการณ์และการวินิจฉัยโรคเลปโตสไปโรสิสที่โรงพยาบาลขุขันธ์ มีจำนวนผู้ป่วย ที่สงสัยโรคเลปโตสไปโรสิส 98 ราย ทำการตรวจยืนยันการตรวจวินิจฉัยสารพันธุกรรมของโรคเลปโตสไปโรสิสด้วยวิธี Real-time PCR และการเพาะเชื้อทั้งในเลือดและปัสสาวะ พบว่า ไม่ติดเชื้อเลปโตสไปโรสิส 47 ราย ร้อยละ 47.96 ซึ่งส่วนใหญ่ติดเชื้อเลปโตสไปโรสิส 51 ราย ร้อยละ 52.04 ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการรุนแรง 31 ราย ร้อยละ 60.78 มีอาการไม่รุนแรง 20 ราย ร้อยละ 39.22 โดยผู้ติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงเสียชีวิต 2 ราย เป็นเพศชาย อายุ 66 และ 68 ปี มี SOFA Score มากกว่า 2 ที่ประเมินการทำงานของระบบเลือด การทำงานของไตและการทำงานของตับ ซึ่งตรวจพบเชื้อทั้งในเลือดและปัสสาวะ 1 ราย ร้อยละ 50.00 และพบเชื้อเฉพาะในเลือด 1 ราย ร้อยละ 50.00</p> <p> สรุปผลการศึกษา พบผู้ป่วยเป็นโรคเลปโตสไปโรสิสมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งจากผลการตรวจวินิจฉัยโรคเลปโต สไปโรสิสที่รวดเร็วและแม่นยำนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อเป็นแนวทางในการรักษาผู้ป่วยโรคเลปโตสไปโรสิส ได้ทันท่วงที</p>
2024-02-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/2273
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมทันตสุขภาพผู้สูงอายุแบบมีส่วนร่วมในหน่วยบริการปฐมภูมิ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
2024-02-19T14:41:06+07:00
จารวี เลี้ยงสุขสันต์, ส.บ.
charawee58@gmail.com
สมัย ลาประวัติ, ส.ด.
samailaprawat@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมทันตสุขภาพผู้สูงอายุแบบมีส่วนร่วมในหน่วยบริการปฐมภูมิ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ศึกษาระหว่างเดือนสิงหาคม 2566 – ธันวาคม 2566 รวมระยะเวลา 20 สัปดาห์ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยทันตบุคลากร สหวิชาชีพในหน่วยบริการปฐมภูมิ ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและผู้แทนภาคีเครือข่ายภาคประชาชน อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 36 คน ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการของ Kemmis และ McTaggart จำนวน 2 วงรอบ โดยแต่ละวงรอบประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และสะท้อนผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการรวบรวม การจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหา กลุ่มตัวอย่างในการประเมินรูปแบบได้แก่ประชาชน ในเขตอำเภออุทุมพรพิสัย จำนวน 100 คน และเปรียบเทียบผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนและหลังการใช้รูปแบบโดยใช้สถิติ paired t-test ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการส่งเสริมทันตสุขภาพในหน่วยบริการปฐมภูมิ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ คือ “POCHAI” Model ประกอบด้วย1) Policy and Structure: การมีนโยบายและคณะกรรมการดำเนินงานที่ชัดเจน 2) Organization analysis : มีการวิเคราะห์องค์กร และสถานการณ์ตามสภาพความเป็นจริงของพื้นที่ 3) Community participation: การสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน 4) Holistic Care: การจัดบริการแบบองค์รวม ยึดผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง 5) Action & Refection: การลงมือปฏิบัติตามแผนและสะท้อนผลการทำงาน 6) Integration & Cooperation: บูรณาการและการประสานงานความร่วมมือของทุกภาคส่วนในพื้นที่ จากผลการวิจัยที่พัฒนาขึ้นช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานการส่งเสริมทันตสุขภาพผู้สูงอายุแบบมีส่วนร่วมในหน่วยบริการปฐมภูมิ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้</p>
2024-02-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/2294
ผลลัพธ์การตั้งครรภ์สตรีตั้งครรภ์ที่อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 35 ปี ที่มาคลอดในโรงพยาบาลกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
2024-02-25T14:12:11+07:00
จิรวัฒน์ พลภักดี, พ.บ.
jrwt1973@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ของสตรีตั้งครรภ์อายุ 20-35 ปี และมากกว่า 35 ปี ที่มาคลอดที่โรงพยาบาลกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 376 คน แบ่งเป็นกลุ่มละ 188 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกข้อมูลจากเวชระเบียนการคลอดของสตรีผู้มาคลอดบุตร และทารกแรกเกิด วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์โดยใช้สถิติ Chi-square และ Fisher’s Exact test</p> <p>พบว่า สตรีตั้งครรภ์อายุระหว่าง 20-35 ปี และกลุ่มสตรีตั้งครรภ์อายุ 35 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่เป็นการตั้งครรภ์ที่ 2-5 ร้อยละ 72.9 และ 89.9 ฝากครรภ์คุณภาพ ร้อยละ 95.7 และ 95.7 มีภาวะโลหิตจางก่อนตั้งครรภ์ ร้อยละ 14.4 และ 20.2 เคยผ่าตัดคลอด <br>ร้อยละ 14.9 และ 16.5 อายุครรภ์ 37 สัปดาห์ขึ้นไป ร้อยละ 98.9 และ 97.3 ตามลำดับ ผลการเปรียบเทียบภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ของสตรี พบว่า กลุ่มสตรีตั้งครรภ์อายุ 35 ปีขึ้นไป มีภาวะแทรกซ้อนเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษ และมีอัตราการคลอดโดยวิธีใช้หัตถการช่วยคลอดหรือผ่าตัดคลอดมากกว่าสตรีตั้งครรภ์อายุน้อยกว่า 35 ปี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ดังนั้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมสนับสนุนให้มีการเตรียมวางแผนดูแลสตรีตั้งครรภ์อายุกว่า 35 ปี ตั้งแต่วางแผนการมีบุตร ก่อนตั้งครรภ์ การฝากครรภ์คุณภาพ และการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนระหว่างการคลอดเพื่อความปลดภัยของมารดาและทารกในครรภ์</p>
2024-02-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/2277
ประสิทธิผลการศึกษาสุขภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังในเขตตำบลโนนปูน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านกันตรวจ ตำบลโนนปูน อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ
2024-02-21T11:53:20+07:00
ทวีติยา จันคณา, วท.บ.
somsak_on@hotmail.co.th
ศิริยุพา ขันทอง, วท.บ.
Yupa_2563@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบสุขภาวะสุขภาพผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังตำบลโนนปูน อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปที่อยู่ตามลำพัง โดยการคัดจากอาสาสมัครที่เป็นผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังได้รับโปรแกรมแบบสอบถาม 9 ด้าน จำนวน 50 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย รวมถึงแบบคัดกรองผู้สูงอายุ ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่าง 1 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนานำเสนอด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p>
2024-03-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/2331
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลหนองหัวช้าง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ
2024-03-07T09:09:11+07:00
ถิรวัฒน์ ลาประวัติ, ส.บ.
pomthirawat2511@gmail.com
สมัย ลาประวัติ, ส.ด.
samailaprawat@gmail.com
<p> </p> <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลหนองหัวช้าง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม 2566 – มกราคม 2567 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 41 คน กลุ่มผู้สูงอายุ จำนวน 170 คน ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการของ Kemmis และ McTaggart จำนวน 2 วงรอบ โดยแต่ละวงรอบประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และสะท้อนผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการรวบรวม การจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหา กลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุได้รับการประเมินคุณภาพชีวิตก่อนและหลัง การเข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น และเปรียบเทียบผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนโดยใช้สถิติ paired t-test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลหนองหัวช้าง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ คือ“2PAO2R Model” ประกอบด้วย 1) P1; Policy & Structure: มีคณะกรรมการดำเนินงานและกำหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจน มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ระดับตำบล อย่างชัดเจน 2) P2 ; Planning: การจัดทำแผนปฏิบัติงานแบบมีส่วนร่วม 3) Action : การลงมือปฏิบัติตามแผนการพัฒนา ที่เกิดขึ้นจากการจัดทำแผนแบบมีส่วนร่วม 4) Observation : ร่วมกันสังเกตผล การนิเทศ ติดตาม สนับสนุน การดำเนินงานพัฒนารูปแบบ 5) R1; Resource sharing การใช้ทรัพยากรในพื้นที่ คน เงิน ของ ร่วมกันในการดำเนินงาน 6) R2 ; Refection : การสะท้อนผลการทำงาน ถอดบทเรียนความสำเร็จและโอกาสพัฒนา ระดับคุณภาพชีวิตทั่วไป อยู่ในระดับปานกลาง (Mean7630, S.D. =10.18) ระดับคุณภาพชีวิตสำหรับผู้สูงอายุอยู่ในระดับปานกลาง (Mean 83.60,S.D.-8.99) โดยสรุป ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย 6 ปัจจัย ได้แก่ 1) มีผู้นำชุมชน ที่เข้มแข็ง 2) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ 3) ชุมชนมีส่วนร่วมทุกกระบวนการ 4) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้การสนับสนุนให้กำลังใจ 5) มีทุนทางสังคม และ 6) การติดต่อประสานงานของเครือข่าย</p>
2024-03-10T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/2341
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยก่อนถอดท่อเครื่องช่วยหายใจโดยใช้โปรแกรมสมาธิบำบัด และดนตรีบำบัดในผู้ป่วยหย่าเครื่องช่วยหายใจยากเพื่อป้องกันการติดเชื้อในปอดจากการใส่เครื่องช่วยหายใจเป็นเวลานาน
2024-03-10T11:10:33+07:00
ชนากานต์ พรมมาสุข, พย.บ.
killermainor7@gmail.com
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการจัยเชิงทดลอง เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยก่อนถอดท่อเครื่องช่วยหายใจโดยใช้โปรแกรมสมาธิบำบัดและดนตรีบำบัดในผู้ป่วยหย่าเครื่องช่วยหายใจยากเพื่อป้องกันการติดเชื้อในปอดจากการใส่เครื่องช่วยหายใจเป็นเวลานาน การศึกษาเป็นแบบ 1 กลุ่มวัดซ้ำ ( Repeated measures : One group ) คือ กลุ่มทดลองจะทำการวัด 3 ระยะ คือ ก่อนการทดลอง ระยะทดลอง และระยะติดตามผล และเก็บข้อมูลเพื่อวัดระดับความวิตกกังวลในผู้ป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจในหอผู้ป่วยหนักโรงพยาบาลกันทรลักษ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจในหอผู้ป่วยหนัก ICU โรงพยาบาลกันทรลักษ์ อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป รู้ตัวรู้เรื่องดี สามารถตอบคำถามและฝึกหายใจได้ โดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 56 คน แต่มีผู้เข้าร่วมโปรแกรมจำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัย มี 3 ส่วน ได้แก่ โปรแกรมสมาธิบำบัดและดนตรีบำบัด แบบประเมินภาวะวิตกกังวลแผลและแบบประเมินความวิตกกังวลขณะใส่เครื่องช่วยหายใจ และ แบบสังเกตพฤติกรรมการผ่อนคลายของผู้ป่วยเป็นแบบประเมินการผ่อนคลายที่เกิดขึ้นหลังการใช้โปรแกรมดนตรีบำบัดและสมาธิบำบัด โดยผู้วิจัยได้จากการสังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วยโดยใช้คำถามและตอบใช่/ไม่ใช่ ซึ่งเป็นแบบประเมินที่ผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้แบบสังเกตของ Madsen & Madsen (1981) มาประยุกต์ใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการผ่อนคลายของผู้ป่วยโดยใช้ประเมินการผ่อนคลายที่เกิดขึ้นภายหลังการใช้เทคนิคการผ่อนคลายโดยการใช้โปรแกรมดนตรีบำบัดและสมาธิบำบัด เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสอบถามผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจที่มีระดับความรู้สึกตัวดี ถามตอบเข้าใจ ระหว่างวันที่ เดือน 1 กันยายน 2566 – 30 พฤศจิกายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ การทดสอบความแปรปรวนของความวิตกกังวล ได้แก่ Repeated measures Analysis of Variance</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่ได้เข้าร่วมโปรแกรมสมาธิบำบัดมีค่าคะแนนเฉลี่ยภาวะความวิตกกังวลในระยะหลังทดลองต่ำกว่าระยะก่อนทดลอง ส่วนค่าคะแนนเฉลี่ยภาวะความวิตกกังวลในผู้ป่วยที่เข้าร่วมโปรแกรมกับระยะก่อนทดลองและหลังทดลองแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p> ข้อเสนอแนะจากการวิจัยครั้งนี้ สามารถนำไปพัฒนาการดูแลผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจได้และสามารถนำไปพัฒนางานต่อไป</p>
2024-03-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ