วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลการศึกษาวิจัยทางด้านการพัฒนาคุณภาพงานสาธารณสุข และคุณภาพชีวิตของผู้ปฏิบัติงาน บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข</li> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านการแพทย์และด้านสาธารณสุขของบุคลากรสาธารณสุขทั้งใน และนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข</li> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านสุขภาพของนักวิจัย อาจารย์ นิสิต นักศึกษา</li> <li>เป็นแหล่งวิชาการสำหรับบุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงประชาชนทั่วไปในประเทศและนานาชาติได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และพัฒนาคุณภาพวิชาการให้เข้าสู่มาตรฐานตามหลักสากล</li> </ol>
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ
th-TH
วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
2822-0749
<p>เนื้อหาและข้อมูล (เขียนข้อกำหนด)</p>
-
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ชนิด STEMI : กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4167
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ชนิด STEMI จำนวน 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาในห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลศิลาลาด ดำเนินการศึกษาระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง เดือนธันวาคม 2567 เก็บข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์ สังเกต และเวชระเบียน ใช้แนวคิดการประเมินภาวะสุขภาพผู้ป่วยตามแบบแผนสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอน และกำหนดข้อวินิจฉัยการพยาบาลร่วมกับแนวคิดกระบวนการพยาบาลมาประยุกต์ใช้ในการพยาบาลผู้ป่วย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กรณีศึกษาทั้ง 2 ราย ได้รับการดูแลตามแผนการรักษาของแพทย์และตามกระบวนการพยาบาลทั้งในระยะวิกฤติฉุกเฉิน ระยะต่อเนื่อง และระยะส่งต่อ พบว่ากรณีศึกษาทั้ง 2 ราย มีความคล้ายคลึงของอาการแสดงที่ชัดเจน คือเจ็บหน้าอก โดยกรณีศึกษาที่ 1 เพศชาย อายุ 62 ปี ปฏิเสธโรคประจำตัว แรกรับที่ห้องฉุกเฉิน มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกร้าวไปแขนทั้ง 2 ข้าง เจ็บนานประมาณ 30 นาที เป็นก่อนมาโรงพยาบาล 2 ชั่วโมง ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทันที พบ ST-elevated V2-V4 แพทย์วินิจฉัย Anterior wall STEMI หลังได้รับยาละลายลิ่มเลือดครบ ตรวจคลื่นหัวใจซ้ำ มี Reperfusion และผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกลดลง ส่งต่อโรงพยาบาลศรีสะเกษอย่างปลอดภัย กรณีศึกษาที่ 2 เพศหญิง อายุ 72 ปี มีโรคประจำตัว HT แต่ขาดการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้รับประทานยาความดันโลหิตมาประมาณ 8 เดือน แรกรับที่ห้องฉุกเฉิน มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกร้าวไปหลัง เจ็บนานประมาณ 20 นาที เป็นก่อนมาโรงพยาบาล 1 ชั่วโมง ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทันที พบ ST-elevated V3-V6 แพทย์วินิจฉัย Anterior wall STEMI หลังได้รับยาละลายลิ่มเลือดครบ ตรวจคลื่นหัวใจซ้ำ ไม่มี Reperfusion ส่งต่อโรงพยาบาลศรีสะเกษ เพื่อทำ Rescue PCI ขณะส่งต่อไม่พบภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจนถึงโรงพยาบาลศรีสะเกษอย่างปลอดภัย โดยกรณีศึกษาทั้ง 2 ราย พบข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลเหมือนกันจำนวน 5 ข้อ ได้รับการดูแลรักษาตามแนวทางตามมาตรฐานและส่งต่อตามระบบ STEMI fast track ของโรงพยาบาลศรีสะเกษ</p>
จิรกิตต์ สำราญ, พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-14
2025-05-14
4 2
235
253
-
การพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากการตั้งครรภ์ : กรณีศึกษา เปรียบเทียบ 2 ราย โรงพยาบาลยางชุมน้อย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4260
<p> ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยและเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิดและทุพพลภาพของหญิงตั้งครรภ์ และทารกภาวะความดันโลหิตสูง ขณะตั้งครรภ์มีโอกาสเสี่ยง ที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ชักเกิดภาวะโรคหลอดเลือดสมองอย่างฉับพลัน ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด ภาวะผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด เลือดออกในสมอง ตับวาย ไตวาย และกลุ่มอาการ HELLP นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในทารก เช่น การตายคลอด การบาดเจ็บและการเสียชีวิตแรกคลอด ซึ่งส่งผลต่อระบบสาธารณสุขเนื่องจากต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลผู้รับบริการกลุ่มนี้เป็นจำนวนมาก พยาบาลจึงต้องใช้ความรู้ ทักษะและความชำนาญในการประเมินอาการ ซึ่งจะนำไปสู่การวินิจฉัย วางแผนปฏิบัติการพยาบาลอย่างครบถ้วน เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนและแก้ไขอาการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้มารดาและทารกมีความปลอดภัย ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย ดังนั้นจึงศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากการตั้งครรภ์ เป็นการเปรียบเทียบกรณีศึกษา (Case study) จำนวน 2 ราย เพื่อแสดงให้เห็นแนวทางการพยาบาลที่ให้การดูแล รักษาพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะทางอายุรกรรมชัดเจน โดยในการศึกษาใช้ทฤษฎี การประเมินภาวะสุขภาพของกอร์ดอน 11 แบบแผนกระบวนการพยาบาล และหลักการ D-METHOD </p> <p>ผลการศึกษา กรณีศึกษาที่ 1 และ 2 มีภาวะความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ สิ่งที่แตกต่างคือ กรณีศึกษารายที่ 2 อายุครรภ์ ไม่ครบกำหนดคลอด และพบว่ามีอาการหรืออาการแสดงที่บ่งชี้ว่าโรคมีความรุนแรงหรือเรียกว่า severe features คือปวดศีรษะ ตามัว จุกแน่นลิ้นปี่ ความดันเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ160/110 มิลลิเมตรปรอทและอาการของโรคอาจพัฒนาเป็นกลุ่มอาการ Hemolytic anemia Elevated Liver enzyme Low Platelet count (HELLP syndrome)<sup>3</sup> ซึ่งมีความรุนแรงมากขึ้น นอกจากการป้องกันภาวะชัก จำเป็นต้องให้ยา Steroid แก่ผู้คลอด เพื่อกระตุ้นการสร้างสาร surfactant<sup>2</sup> ของปอดทารก ก่อนยุติการตั้งครรภ์ด้วยการส่งไปโรงพยาบาลเครือข่ายเพื่อผ่าตัดคลอด ซึ่งภายหลังที่ผู้คลอดได้รับการพยาบาล พบว่าผู้คลอด ไม่มีภาวะชัก ไม่มีภาวะตกเลือดหลังคลอด หรือได้รับอันตรายรุนแรงจนกระทั่งพิการหรือเสียชีวิต จากการศึกษาครั้งนี้ รายที่ 1 G2 P1A0L1 GA 40 สัปดาห์ 6 วัน มารดาคลอดปกติทางช่องคลอด ทารกคลอดอย่างปลอดภัย น้ำหนักแรกคลอด 3,090 กรัม Apgar score 9-10-10 คะแนน ระยะนอนพักในโรงพยาบาล 3 วันและรายที่ 2 G1P0A0L0 GA 33 สัปดาห์ 6 วัน มารดาคลอด C/S ทารกคลอดอย่างปลอดภัย น้ำหนักแรกคลอด 1,660 กรัม Apgar score 6-8-9 คะแนน ระยะนอนพักในโรงพยาบาล 6 วัน แสดงให้เห็นว่าพยาบาลมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้คลอด ตั้งแต่ประเมินแรกรับ การรวบรวมข้อมูลการวินิจฉัยทางการพยาบาล วางแผนการพยาบาล ปฏิบัติการพยาบาล ประเมินผล ในทุกช่วงระยะตั้งแต่แรกรับจนถึงระยะการจำหน่ายส่งต่อไปยังโรงพยาบาลแม่ข่าย โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ซึ่งสามารถนำมาเป็นแนวทางในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ </p>
สร้อยทิพย์ บุษบงก์, พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-13
2025-06-13
4 2
254
268
-
การศึกษาอุบัติการณ์และปัจจัยที่เกี่ยวข้องของการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ ภายหลังกระดูกสะโพกหักในผู้ป่วยที่รับการรักษาในโรงพยาบาลศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4347
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับอุบัติการณ์ของภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (Venous Thromboembolism: VTE) และปัจจัยที่เกี่ยวข้องในผู้ป่วยที่มีกระดูกสะโพกหักและได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ศรีสะเกษ เนื่องจากภาวะ VTE เช่น ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำลึก (Deep Vein Thrombosis: DVT) และภาวะ ลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด (Pulmonary Embolism: PE) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจก่อให้เกิดอัตราการเสียชีวิตที่สูงในผู้ป่วยกลุ่มนี้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง งานวิจัยก่อนหน้านี้จากต่างประเทศรายงานอัตราการเกิด VTE หลังผ่าตัดสะโพกสูงถึง 40–70% อย่างไรก็ตาม ในบริบทของประเทศไทยยังมีข้อมูลจำกัด โดยเฉพาะในระดับโรงพยาบาลภูมิภาค การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง และศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบ case-control โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศรีสะเกษ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2558 รวมจำนวน 2,781 ราย วิเคราะห์หาผู้ป่วยที่เกิดภาวะ VTE และเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่เกิดภาวะดังกล่าว เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า อุบัติการณ์ของ VTE ในผู้ป่วยกลุ่มนี้อยู่ที่ร้อยละ 0.43 (12 รายจาก 2,781 ราย) แบ่งเป็นภาวะ DVT จำนวน 7 ราย (0.25%) และภาวะ PE จำนวน 5 ราย (0.18%) ผู้ป่วยกลุ่ม Case ส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 70 ปี เป็นเพศหญิง และมีตำแหน่งกระดูกสะโพกหักที่ Intertrochanteric ร่วมกับโรคร่วม เช่น ภาวะโลหิตจาง (anemia) และโรคไตเรื้อรัง (CKD) อีกทั้งยังมีระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลนานกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์แบบ Univariable และ Multivariable logistic regression พบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิด VTE อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ตำแหน่งกระดูกสะโพกหักแบบ intertrochanteric (Adjusted OR = 5.95, p = 0.046) ระยะเวลานอนโรงพยาบาลที่ยาวนานขึ้น (เพิ่ม OR = 1.11 ต่อวัน, p = 0.024)</p> <p> ผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้อัตราการเกิด VTE จะต่ำกว่าที่รายงานในประเทศตะวันตก แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีกระดูกหักตำแหน่ง Intertrochanteric มีโรคร่วมซับซ้อน และต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ควรได้รับการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ และพิจารณาใช้มาตรการป้องกัน VTE อย่างเหมาะสมทั้งในด้านการใช้ยาและการฟื้นฟูร่างกาย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น</p>
ฉันทิช ภานุมาสวิวัฒน์, พ.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-07
2025-06-07
4 2
1
10
-
การพัฒนาแนวทางการส่งตรวจและการรายงานผลตรวจวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการ ทางการแพทย์ในเครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอลำทับ จังหวัดกระบี่
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4187
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยชิงปฏิบัติการประกอบด้วย 1) การวางแผน 2) การปฏิบัติการ 3) การสังเกตการณ์ และ4) การสะท้อนกลับ รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการทดลอง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการพัฒนาแนวทางการส่งตรวจและรายงานผลทางห้องปฏิบัติการของเครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอลำทับ จังหวัดกระบี่ กลุ่มตัวอย่างคือบุคลากรด้านการแพทย์และการสาธารณสุขในเครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอลำทับ จังหวัดกระบี่ ด้วยแนวคิดของ Krejcie and Morgan และการสุ่มจับฉลากกลุ่มตัวอย่างที่คำนวณจำนวน 40 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถาม และ 2) แบบสำรวจความพึงพอใจของบุคลากรในเครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอลำทับ เครื่องมือวิจัยมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าเท่ากับ 0.90 และ 0.95 ตามลำดับ</p> <p> ผลการวิจัยภายหลังการนำแนวทาง พบว่า 1) ภาพรวมของระดับความคิดเห็นในการปฏิบัติตามแนวทางอยู่ที่ระดับมากมีค่าเฉลี่ย 4.03 (SD = 0.72) 2) ภาพรวมของระดับความพึงพอใจต่อแนวทางที่ใช้อยู่ที่ระดับมากที่สุดมีค่าเฉลี่ย 4.27 (SD = 0.72) 3) ผลการปฏิบัติงานตามแนวทางการสั่งตรวจและรายงานผลทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ของเครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอลำทับ จังหวัดกระบี่ ด้านความถูกต้อง ด้านความรวดเร็ว และด้านความปลอดภัยมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเท่ากับ 0.73, 0.62 คะแนน และ 1.00 คะแนน (p=0.001) ตามลำดับ และ 4) ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการปฏิบัติงานตามแนวด้านความถูกต้อง ด้านความรวดเร็ว และด้านความปลอดภัยมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเท่ากับ 1.00, 2.10 คะแนน และ 0.90 คะแนน (p=0.001) ตามลำดับ</p>
เสาวณีย์ ปิลวาสน์, วท.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-10
2025-06-10
4 2
11
22
-
ผลของโปรแกรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงอำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4425
<p>.</p>
บานเย็น เอกศิริ, วท.บ.
กำพล เข็มทอง, ส.ด.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-10
2025-06-10
4 2
-
ผลลัพธ์ของแนวทางการรายงานค่าวิกฤตทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ประเภทค่าเกล็ดเลือดของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกของโรงพยาบาลลำทับ จังหวัดกระบี่
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4188
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยชิงปฏิบัติการประกอบด้วยการวางแผน การปฏิบัติการ การสังเกตการณ์ และการสะท้อนกลับ รูปแบบวิจัยเชิงพรรณนาด้วยการรวบรวมข้อมูลย้อนหลัง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลลัพธ์ของแนวทางการรายงานค่าวิกฤตทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ประเภทค่าเกล็ดเลือดของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกของโรงพยาบาลลำทับ จังหวัดกระบี่ กลุ่มตัวอย่างคือข้อมูลผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลลำทับ จังหวัดกระบี่ คัดเลือกเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับการรายงานค่าวิกฤตทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ รพ.ลำทับ จ.กระบี่ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 30 กันยายน 2567 ด้วยแนวคิดของ Krejcie and Morgan และการสุ่มจับฉลากกลุ่มตัวอย่างที่คำนวณจำนวน 95 คน เครื่องมือวิจัยใช้แบบบันทึกรวบรวมข้อมูลผลการรักษาผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกและทะเบียนการายงานค่าเกล็ดเลือดที่เป็นค่าวิกฤตทางห้องปฏิบัติการ มีดัชนีความสอดคล้องของเนื้อหาเท่ากับ 0.95, 1.00, 0.95 และ 1.00 ตามลำดับ</p> <p> ผลการวิจัยภายหลังการนำแนวทาง พบว่าผลลัพธ์การดำเนินตามตัวชี้วัดคุณภาพ (1) ร้อยละของระยะเวลาในการรายงานค่าวิกฤตทางห้องปฏิบัติการทางแพทย์ได้ครบถ้วนและทันเวลาภายระยะเวลาน้อยกว่าหรือเท่ากับ 15 นาที จำนวน 83 ราย (ร้อยละ 87.4) (2) ร้อยละของระยะเวลาในการตอบสนองต่อแก้ไขภาวะวิกฤติของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกที่ที่มีค่าเกล็ดเลือดต่ำตามเกณฑ์ค่าวิกฤตทางห้องปฏิบัติการทางแพทย์ หลังการรายงานค่าวิกฤติที่โรงพยาบาลลำทับ จังหวัดกระบี่ภายระยะเวลาระหว่าง 21 – 30 นาที จำนวน 42 ราย (ร้อยละ 44.2) และ (3) ร้อยละของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกที่ได้รับการรักษาแนวทางการรักษาที่ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกได้รับภายหลังการรายงานค่าวิกฤตทางห้องปฏิบัติการทางแพทย์ได้รับรักษาตัวที่โรงพยาบาลลำทับตามปกติจำนวน 89 ราย (ร้อยละ 93.7) และจำเป็นต้องได้รับการส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลกระบี่จำนวน 6 ราย (ร้อยละ 6.3) โดยใช้ระยะเวลาภายหลังการได้รับรายงานค่าวิกฤติกระทั้งส่งตัวผู้ป่วยใช้เวลาภายใน 30 นาที จำนวน 2 ราย (ร้อยละ 2.1)</p>
จุติมา ปานแดง, วท.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-14
2025-06-14
4 2
35
45
-
ผลของโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยยางในรถจักรยานต่อการทรงตัว ในผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน ตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4181
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยยางในรถจักรยาน ต่อความสามารถในการทรงตัวของผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้านในตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ โดยใช้รูปแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างจำนวน 40 คน ได้จากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง และสุ่มเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 20 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมออกกำลังกายด้วยยางในรถจักรยาน สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30–40 นาที เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการออกกำลังกายยืดเหยียดกล้ามเนื้อทั่วไป เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถามและแบบทดสอบ Time Up and Go Test (TUGT) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ เชิงพรรณนา Wilcoxon Signed-Rank Test และ Mann-Whitney U Test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ย TUGT ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหลังได้รับโปรแกรม (p < 0.001) ขณะที่กลุ่มควบคุมไม่มีความแตกต่าง(p = 0.218) และหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.007)</p> <p> ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า โปรแกรมการออกกำลังกายโดยใช้ยางในรถจักรยานเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ เข้าถึงง่าย ต้นทุนต่ำ เหมาะสำหรับการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือบริบทที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร</p>
มัลลิกา จงกฎ, พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-20
2025-06-20
4 2
46
56
-
ผลของโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโพธาวาส จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4221
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่อความรู้และทักษะในการดูแลผู้สูงอายุผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโพธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 38 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง ใช้ระยะเวลา 6 สัปดาห์ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความรู้ และแบบประเมินทักษะการดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง 6 ทักษะ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติอนุมานในการเปรียบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้สถิติ Paired t-test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านต่อความรู้และทักษะในการดูแลผู้สูงอายุผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง กลุ่มตัวอย่างมีความรู้และทักษะทั้ง 6 ทักษะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.000*)</p> <p> สรุป โปรแกรมการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ส่งผลให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านมีความรู้และทักษะเพิ่มขึ้น สามารถนำไปใช้ดูแลผู้สูงอายุในความรับผิดชอบ ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p>
ศรัทธา พรหมทอง
นวลนิตย์ ไชยเพชร
ญาณศา จันทร์รงค์
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-18
2025-06-18
4 2
57
66
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการให้บริการผู้ป่วยเบาหวานวิถีใหม่โดยชุมชนมีส่วนร่วมตำบลบัวน้อย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4426
<p>.</p>
วรรณี พันธ์วิไล, พย.บ.
กำพล เข็มทอง, ส.ด.
นัทธมน เวียงคำ, ส.ม.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-10
2025-06-10
4 2
-
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ของประชาชนในพื้นที่ตำบลบัวหุ่ง อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4338
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ตลอดจนศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันโรคดังกล่าวของประชาชนในพื้นที่ตำบลบัวหุ่ง อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคพยาธิใบไม้ตับ จำนวน 186 คน คัดเลือกโดยใช้วิธีการสุ่มแบบสองขั้นตอน (Two-stage Sampling) ได้แก่ การสุ่มแบบสัดส่วนตามจำนวนประชากรกลุ่มเสี่ยงในแต่ละหมู่บ้าน และการสุ่มอย่างง่ายจากรายชื่อประชากรที่ผ่านการคัดกรอง ใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น โดยมีค่าความเชื่อมั่น (Cronbach’s Alpha) เท่ากับ 0.93 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาค่าความสัมพันธ์โดยใช้ค่าสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน กำหนดระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 60 ปีขึ้นไป ระดับการศึกษาส่วนใหญ่จบประถมศึกษา ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และมีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 3,000 บาทต่อเดือน ความรอบรู้ด้านสุขภาพของกลุ่มตัวอย่างโดยรวมอยู่ในระดับสูง (M = 3.94) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือทักษะการจัดการตนเองเพื่อป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ (M = 4.31) สำหรับพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีของกลุ่มตัวอย่างโดยรวมอยู่ในระดับสูงเช่นกัน (M = 4.05) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี พบความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง (r = 0.643**, p < 0.001) ผลการวิจัยสะท้อนถึงความสำคัญของการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในชุมชน เพื่อยกระดับพฤติกรรมป้องกันโรคอย่างยั่งยืน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรนำผลการศึกษานี้ไปพัฒนาแนวทางการให้ความรู้และกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชนในพื้นที่เสี่ยง</p>
ยุวธิดา ศรีนนท์, ส.บ.
สุรเดช สำราญจิตต์, ปร.ด.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-05-27
2025-05-27
4 2
79
91
-
การพัฒนารูปแบบการตรวจสอบและประเมินผลระบบการควบคุมภายใน หน่วยงานในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4428
<p> งานวิจัยนี้ เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิจัยเชิงคุณภาพและวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ศึกษาสภาพของการตรวจสอบภายใน 2.ศึกษาประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงาน 3.ร่างและประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ 4.ทดลองใช้และพัฒนารูปแบบการพัฒนารูปแบบ และ 5.เพื่อประเมินความพึงพอใจต่อกระบวนการ และยืนยันคุณภาพของรูปแบบการพัฒนางานตรวจสอบและควบคุมภายในหน่วยงานสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ แบ่งการวิจัยเป็น 5 ระยะ, ระยะที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐานและสภาพปัญหาการดำเนินงานและประเมินผลระบบการควบคุมภายในของหน่วยงานสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ ระยะที่ 2 การวิจัยสภาพการดำเนินงานตรวจสอบภายใน ระยะที่ 3 การสร้างรูปแบบและประเมินคุณภาพของรูปแบบ ระยะที่ 4 การดำเนินการทดลองใช้และพัฒนาคุณภาพรูปแบบ และระยะที่ 5 การประเมินความพึงพอใจต่อกระบวนการพัฒนารูปแบบและยืนยันรูปแบบการพัฒนาการตรวจสอบและควบคุมภายในหน่วยงานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ หัวหน้าฝ่ายบริหาร หัวหน้ากลุ่มงานตรวจสอบภายใน สาธารณสุขอำเภอ ผู้ช่วยสาธารณสุขอำเภอผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) และผู้รับผิดชอบดำเนินงานตรวจสอบภายในทุกหน่วยงาน ใช้สูตร Taro Yamane กำหนดขนาดตัวอย่าง ได้จำนวน 201 คน ใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์รวบรวมข้อมูล ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ(%) ค่าเฉลี่ย() และส่วนเบี่ยงมาตาฐาน (S.D.)ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p><strong> </strong>ผลการศึกษา พบว่า ระยะที่ 1 สภาพการปฏิบัติงานตรวจสอบภายในของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษระดับพอใช้(=2.81) ภาพรวมส่วนใหญ่หน่วยงานได้ดำเนินการครอบคลุมกิจกรรม (58.43%) และที่ไม่ดำเนินการหรือดำเนินการไม่ครอบคลุมกิจกรรม (41.57%) ระยะที่ 2 ภาพรวมสามารถดำเนินงานกระบวนการตรวจสอบภายในอยู่ในระดับพอใช้ (=3.09) และมีประเด็นที่ต้องได้รับพัฒนาเพื่อให้การตรวจสอบภายในมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้นในโอกาสต่อไป ระยะที่ 3 ผลการร่างและผลการประเมินความเหมาะสมรูปแบบการพัฒนางานตรวจสอบและระบบควบคุมภายใน พบว่า ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าภาพรวมมีความเหมาะสมในระดับดี(=4.12) เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า 1) วัตถุประสงค์รูปแบบ มีความเหมาะสมระดับดี(=4.36) 2) บริบทและแนวคิด มีความเหมาะสมระดับดี=4.56) 3)ยุทธศาสตร์รูปแบบ มีความเหมาะสมระดับดี(=3.66)4)กระบวนการพัฒนารูปแบบมีความเหมาะสมระดับดี (=4.40) 5) แนวทางการประเมินรูปแบบมีความเหมาะสมระดับดี(=4.20) และ 6) ผลลัพธ์ของรูปแบบมีความเหมาะสมระดับดี(=3.54) ระยะที่ 4 ผลการทดลองใช้และพัฒนารูปแบบโดยใช้ PDCA พบว่า รอบที่ 1 คือ 1.ขั้นตอนการวางแผน (Plan) แผนงานจัดทำกฎบัตรคณะกรรมการ และกฎบัตรการตรวจสอบภายใน 2.ขั้นตอนการลงมือปฏิบัติ(Do การร่างกฎบัตรและประเมินกฎบัตร 3. ขั้นตอนการตรวจสอบผลการปฏิบัติ(Check) ตรวจสอบผลการดำเนินงานร่างและประเมินกฎบัตรและ 4.ขั้นตอนการปรับปรุงตามผลการตรวจสอบ (Act) ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎบัตรคณะกรรมการ และกฎบัตรการตรวจสอบภายในมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และระยะที่ 5 ระดับความพึงพอใจต่อกระบวนการพัฒนารูปแบบในระดับมาก(=4.08) และผลการยืนยันรูปแบบจากผู้เชี่ยวชาญและผู้เกี่ยวข้อง รูปแบบมีความเหมาะสมระดับมาก(=4.08) ความเป็นไปได้ระดับมาก(=3.94)และความเป็นประโยชน์ระดับมาก(=4.07)สามารถใช้เป็นรูปแบบการพัฒนาการตรวจสอบและประเมินการควบคุมภายในหน่วยสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
พัดตรากฤติ พรมมี
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-15
2025-06-15
4 2
92
111
-
โปรแกรมการจัดการตนเองในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ตำบลหนองแก้ว อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4427
<p>.</p>
จันทราภรณ์ แสนโสม, พย.บ.
กำพล เข็มทอง, ส.ด.
Copyright (c) 2025 ววารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-10
2025-06-10
4 2
-
การประเมินผลการดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ ของเทศบาลเมืองกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4442
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและประเมินผลการดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ของเทศบาลเมืองกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ประชากร คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ของเทศบาลเมืองกันทรลักษ์ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย คณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ของเทศบาลเมืองกันทรลักษ์ คณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำแผนงาน/โครงการของกองทุน จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสัมภาษณ์ เชิงลึก แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสอบถาม การสัมภาษณ์ และการประชุม เชิงปฏิบัติการ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่ากองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ของเทศบาลเมืองกันทรลักษ์ มีรูปแบบการดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ คือเทศบาลเมืองกันทรลักษ์เป็นเมืองแห่งสุขภาวะที่ยั่งยืน ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม มีคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพ โดยมีนายกเทศมนตรีเมืองกันทรลักษ์ เป็นประธานและมีปลัดเทศบาลเมืองกันทรลักษ์เป็นเลขานุการ และมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน 5 คณะ มีนโยบายการดำเนินงานโดยยึด 3 หลักในการดำเนินงานร่วมกันคือ หลักการมีส่วนร่วม หลักความเท่าเทียมและหลักความยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์ 4 ประเด็นคือ การส่งเสริมสุขภาวะและป้องกันโรค การเสริมสร้างศักยภาพชุมชนด้านสุขภาพ การพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้ครอบคลุม และการแก้ไขปัญหาสุขภาพเฉพาะของพื้นที่ การประเมินผลการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ ได้ 71 คะแนน ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนที่มีศักยภาพดี ในการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพ ด้านที่มีคะแนนสูงสุดคือด้านประสิทธิผลการได้รับประโยชน์เชิงรูปธรรม (ทางสุขภาพ) ร้อยละ 80.0 ส่วนด้านที่มีคะแนนน้อยที่สุด คือด้านประสิทธิภาพการบริหารเงินจ่ายกองทุน ร้อยละ 55.0 ส่วนประสิทธิผลการดำเนินงานกองทุน พบว่าส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในระดับปานกลาง ร้อยละ 50.0 ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 92.0 และด้านความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 62.0 การดำเนินงานของกองทุนหลักประกันสุขภาพของเทศบาลเมืองกันทรลักษ์ อยู่ในบริบทของการเป็นเมืองขนาดกลางที่มีความหลากหลายทั้งด้านประชากรและปัญหาสุขภาพ แม้จะมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในหลายด้าน แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายสำคัญในเรื่องความยั่งยืนทางการเงิน การพัฒนาบุคลากร และการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน การพัฒนาต่อไปจำเป็นต้องเน้นการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการความสำเร็จของกองทุนในอนาคต</p>
ปิยะพันธ์ อ่างแก้ว
ขวัญจิตร ศรีชาคำ, ส.ม.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-22
2025-06-22
4 2
124
138
-
โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการปฏิบัติงานด้านสุขศึกษา ในตำบลหญ้าปล้อง อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4462
<p>อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานสาธารณสุขในระดับชุมชน โดยเฉพาะการให้ สุขศึกษา แต่พบปัญหาการขาดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน เนื่องจากขาดความรู้ ทักษะ และความมั่นใจในตนเอง รวมถึงอัตราส่วน อสม. ต่อประชากรที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมการมีส่วนร่วม และการปฏิบัติงานด้านสุขศึกษา ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental design) แบบ One Group Pre-test Post-test Design กลุ่มตัวอย่างเป็น อสม. จำนวน 29 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่มสองขั้นตอน โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจประกอบด้วยกิจกรรม 12 กิจกรรม ระยะเวลา 12 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 60-120 นาที เก็บข้อมูลก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และติดตามผลหลังสิ้นสุดโปรแกรม 4 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา Paired t-test และ Repeated Measures ANOVA</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า อสม. ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (72.4%) อายุเฉลี่ย 45.2 ปี การศึกษาระดับประถมศึกษา (48.3%) ประกอบอาชีพเกษตรกร (55.2%) มีประสบการณ์การเป็น อสม. เฉลี่ย 5.8 ปี หลังเข้าร่วมโปรแกรม พบว่า ความรู้เพิ่มขึ้นจาก 11.8 เป็น 15.4 คะแนน (เพิ่มขึ้น 30.5%, p<0.001, Cohen's d = 1.68) ทัศนคติเพิ่มขึ้นจาก 89.3 เป็น 103.7 คะแนน (เพิ่มขึ้น 16.1%, p<0.001, Cohen's d = 1.26) พฤติกรรมเพิ่มขึ้นจาก 81.4 เป็น 93.6 คะแนน (เพิ่มขึ้น 15.0%, p<0.001, Cohen's d = 1.17) และการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้นจาก 68.2 เป็น 78.8 คะแนน (เพิ่มขึ้น 15.5%, p<0.001, Cohen's d = 1.34) ความพึงพอใจต่อโปรแกรมอยู่ในระดับมากที่สุด (93.1%) ความคงทนของผลทุกด้านอยู่ในระดับสูง (90-97%) ปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ การสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข (62.1%) ครอบครัว (55.2%) และผู้นำชุมชน (48.3%) อุปสรรคหลัก ได้แก่ การขาดงบประมาณสนับสนุน (58.6%) และการขาดเวลา (44.8%) สรุปได้ว่า โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจมีประสิทธิผลในการพัฒนาศักยภาพ อสม. ทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสิถิติ มีความคงทนของผลสูง และได้รับความพึงพอใจในระดับสูงมาก แนะนำให้ขยายผลโปรแกรมไปยังพื้นที่อื่น พร้อมทั้งพัฒนาระบบสนับสนุนและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง</p>
วุฒิวัฒนา เพ็งชัย, ส.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-26
2025-06-26
4 2
139
157
-
การพัฒนาการจัดบริการการดูแลระยะยาวสำหรับผู้ป่วยและผู้สงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตำบลหนองหว้า อำเภอเบญจลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4461
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์และความต้องการบริการการดูแลระยะยาว 2) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดบริการ 3) พัฒนารูปแบบการจัดบริการที่เหมาะสม 4) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น และ 5) เสนอแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน การวิจัยใช้รูปแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) ดำเนินการเป็น 3 ระยะ ใช้เวลา 9 เดือน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ป่วยและผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 68 คน ผู้ดูแลในครอบครัว 68 คน บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข 8 คน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ รวม 30-40 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 60.30) อายุมากกว่า 50 ปี (ร้อยละ 92.60) มีภาวะพึ่งพิงในระดับรุนแรง (ร้อยละ 47.06) และสมบูรณ์ (ร้อยละ 26.47) การวิจัยได้พัฒนา "รูปแบบการดูแลระยะยาวแบบบูรณาการในชุมชน (Community-Integrated Long-term Care Model)" ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก คือ 1) ศูนย์ประสานงานการดูแลระยะยาว 2) ทีมดูแลระยะยาวแบบสหวิชาชีพ 3) บริการเยี่ยมบ้านแบบครอบคลุม 4) ระบบสนับสนุนครอบครัวและชุมชน และ 5) ระบบข้อมูลและการติดตามผลการประเมินประสิทธิผลพบว่า คะแนน Barthel Index เพิ่มขึ้นจาก 42.35 เป็น 58.24 คะแนน (p<0.001) คุณภาพชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้นจาก 2.41 เป็น 3.22 (p<0.001) ภาระผู้ดูแลลดลงจาก 3.25 เป็น 2.18 (p<0.001) การนอนโรงพยาบาลและการใช้บริการฉุกเฉินลดลงร้อยละ 50.0 บริการเยี่ยมบ้านเพิ่มขึ้นร้อยละ 740.0 รูปแบบมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ด้วยอัตราผลตอบแทน 2.45:1 รูปแบบการดูแลระยะยาวแบบบูรณาการในชุมชนมีประสิทธิผลในการปรับปรุงสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และสามารถนำไปขยายผลในพื้นที่อื่นที่มีบริบทคล้ายคลึงกันได้</p>
รัตติยา รอดคำทุย, พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
4 2
158
177
-
การพัฒนาระบบศูนย์ประสานส่งต่อผู้ป่วยโรงพยาบาลขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4463
<p>ระบบส่งต่อผู้ป่วยเป็นหัวใจสำคัญของการจัดระบบบริการสุขภาพเพื่อเป็นหลักประกันว่าประชาชนจะเข้าถึงบริการที่ได้มาตรฐานครอบคลุมเป็นธรรมและต่อเนื่อง การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบริบทและสถานการณ์การส่งต่อผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลขุนหาญและโรงพยาบาลที่รับรักษาผู้ป่วยในระบบส่งต่อ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบศูนย์ประสานส่งต่อผู้ป่วยในโรงพยาบาลขุนหาญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ 3) เพื่อประเมินผลรูปแบบศูนย์ประสานส่งต่อผู้ป่วยในโรงพยาบาลขุนหาญ ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis & McTaggart ระยะที่ 1 การศึกษาบริบทและวิเคราะห์ปัญหา ระยะที่ 2 การพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วย 3 วงรอบ ด้วย PAOR; 1) การวางแผน 2) การปฏิบัติ 3) สังเกตการณ์ และ 4) การสะท้อนผล และระยะที่ 3 การประเมินผลระบบส่งต่อผู้ป่วย กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วย 1) กลุ่มผู้บริหาร กลุ่มบุคลากรผู้ให้บริการระบบส่งต่อผู้ป่วย และ กลุ่มผู้รับบริการ รวม 138 คน วิจัยระหว่างเดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนมิถุนายน 2568 เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม 6 ชุด ได้แก่ ข้อมูลลักษณะทั่วไป และการประเมินความพึงพอใจ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกต การสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างผู้รับบริการ ส่วนใหญ่ เป็นหญิง ร้อยละ 56.4 เพศชาย 43.6 มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป ร้อยละ 37.2 รองลงมา ระหว่าง 50-60 ปี และ 61-70 ปี ร้อยละ 23.4 30-39 ปี ร้อยละ 6.4 ระหว่าง 20-20 ปี และ 40-49 ปี ร้อยละ 4.3 และน้อยสุด อายุน้อยกว่า 20 ปี ร้อยละ 1.1 อายุเฉลี่ย 59 ปี มีสถานภาพสมรส ร้อยละ 86.2 รองลงมา หม้าย/หย่า/แยก ร้อยละ 13.8 มีการศึกษาระดับ มัธยมศึกษา/ปวช. ร้อยละ 60.6 รองลงมา อนุปริญญา ร้อยละ 21.3 สูงกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 13.8 ปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 4.3 มีอาชีพค้าขาย ร้อยละ 56.4 รองลงมา เกษตรกรรม ร้อยละ 24.5 ข้าราชการ ร้อยละ 12.8 น้อยสุด รับจ้าง ร้อยละ 6.4 มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 4.2 มีความพึงพอใจสูงสุดในระดับมากในประเด็นได้รับการบริการตรงตามความต้องการอย่างครบถ้วนเครื่องมือ อุปกรณ์ ประเด็นระบบทำให้ท่านมีความสะดวกในการรับบริการ และประเด็นมีช่องทางให้แสดงความคิดเห็นหรือเสนอแนะ โดยมีคะแนนค่าเฉลี่ย 4.4 ส่วนผู้รับมีความพึงพอใจน้อยสุด ในประเด็นได้รับข้อมูลรายละเอียดชัดเจนและเข้าใจง่าย ประเด็นเจ้าหน้าที่ให้บริการด้วยความสุภาพ เป็นมิตร และประเด็นได้รับบริการเบ็ดเสร็จ หรือมีการเชื่อมโยงของข้อมูล มีคะแนนเฉลี่ย 3.9 สำหรับความพึงพอใจของบุคลากรผู้ให้บริการ พบว่า ในภาพรวมมีความพึงพอใจมากที่สุดทุกข้อ ทั้ง 28 ข้อ เพียงแต่บางข้อมีความพึงพอใจที่ต่างกันบ้าง โดยความพึงพอใจของบุคลากรผู้ให้บริการรับส่งต่อผู้ป่วยที่มีคะแนนเฉลี่ยมากสุด ได้แก่ ความหมาะสมของโรงพยาบาล(ศักยภาพ)ที่ ผู้ป่วยได้รับการส่งต่อไปรับการรักษาพยาบาล และความเหมาะสมของการจัดการความเสี่ยงของผู้ป่วยที่ได้รับการรับและการส่งต่อ คะแนนเฉลี่ย 4.71 มีคะแนนเฉลี่ยน้อยสุด คือ ความสะดวกรวดเร่็วในการปฏิบัติงานตาม ระบบบริหารการรับและการส่งต่อผู้ป่วย คะแนนเฉลี่ย 4.25 ผลการประเมินรูปแบบซิป (CIPP Model) พบว่า ส่วนใหญ่บุคลากรมีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลางเกือบทุกข้อ โดยเป็นข้อที่มีความพึงพอใจในระดับมาก คือ มีการวางแผนการดำเนินโครงการสู่การปฏิบัติ คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 3.52 รองลงมา มีการประเมินผลการปฏิบัติงานตามโครงการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องด้วย คะแนนเฉลี่ย 3.42 คะแนนเฉลี่ยน้อยสุด คือ หลักการและเหตุผลของโครงการพัฒนางานมีความสอดคล้องกับสภาพ ความเป็นจริงในปัจจุบัน คะแนนเฉลี่ย 2.45 และ หลักการและเหตุผลของโครงการมีความสอดคล้องกับนโยบายของหน่วยงานต้นสังกัด คะแนนเฉลี่ย น้อยสุด 2.23</p> <p>โดยสรุป การวิจัยเห็นว่าการพัฒนาศูนย์ประสานการส่งต่อผู้ป่วยของโรงพยาบาลขุนหาญ ทั้งบุคลากรผู้บริการและประชาชนผู้รับบริการมีความพึงพอใจต่อการพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วย ที่มุ่งเน้นให้ประชาชนได้รับการดูแลรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว</p>
รังสรรค์ พานจันทร์, พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-28
2025-06-28
4 2
179
190
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ในพื้นที่บริการโรงพยาบาลศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4468
<p>การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในพื้นที่บริการของโรงพยาบาลศรีสะเกษ การศึกษาใช้รูปแบบ Two Group Pretest–Posttest Design โดยมีกลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 82 ราย แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลอง (ผู้ป่วยในพื้นที่บริการโรงพยาบาลศรีสะเกษ) จำนวน 41 ราย และกลุ่มเปรียบเทียบ (ผู้ป่วยในพื้นที่บริการโรงพยาบาลขุขันธ์) จำนวน 41 ราย กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการดูแลตนเองที่พัฒนาขึ้นเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ การเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินการสองครั้ง คือก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2568</p> <p> การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ใช้สถิติ Paired t-test และการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม ใช้สถิติ Independent t-test โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการศึกษาภายหลังการทดลองแสดงให้เห็นว่า คะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง การรับรู้โอกาสเสี่ยงของโรค การรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้ประโยชน์ในการป้องกันโรค การรับรู้อุปสรรคในการป้องกันโรค แรงสนับสนุนทางสังคม และพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของกลุ่มทดลอง สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับคะแนนก่อนการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001)</p> <p> ผลลัพธ์จากการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า โปรแกรมการดูแลตนเองที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมีประสิทธิผลอย่างชัดเจนในการเสริมสร้างความรู้ แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ แรงสนับสนุนทางสังคม และพฤติกรรมการป้องกันโรคในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดอุบัติการณ์ของโรคซ้ำและภาวะแทรกซ้อน จึงถือว่าโปรแกรมดังกล่าวสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้อย่างสมบูรณ์</p>
สิทธิพันธ์ จันทร์พงษ์, พ.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
4 2
191
202
-
การประเมินผลรูปแบบการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4460
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยประเมินผลโครงการ โดยใช้รูปแบบของ CIPP Model โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ และประเมินผลรูปแบบการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่าง คือ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ <strong>คณะอนุกรรมการแต่ละสาขา ผู้แทนจากส่วนราชการและสถานบริการสุขภาพ ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้นำชุมชน จำนวน </strong><strong>61 คน</strong><strong> เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ</strong> แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสอบถามและแบบประเมินผลการดำเนินงานตามเกณฑ์ UCCARE เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ทำการศึกษาระหว่างเดือนกันยายน 2567-เดือนพฤษภาคม 2568 </p> <p>ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) อำเภอกันทรลักษ์ เน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง สร้างความเป็นผู้นำและเจ้าของร่วมกันในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินงานร่วมกัน คือ CLEAN CITY : เมืองกันทรลักษ์รักษ์สะอาด น้อมใช้ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนงาน 5 ร่วม 5 วาระงาน คือ “ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมพัฒนา ร่วมแก้ปัญหาและร่วมรับผลประโยชน์” 5 วาระงานที่ต้องพัฒนา ได้แก่ ปลอดขยะ ปลอดโรค ปลอดภัย ออกกำลังกาย และน้อมใช้ศาสตร์พระราชา และมีนโยบายการดำเนินงาน คือ ส่งเสริมการมีส่วนร่วม บูรณาการความร่วมมือและเชื่อมโยงการทำงาน พัฒนาศักยภาพยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรให้มีความรู้ ทักษะ ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีมาใช้ในการวิเคราะห์ปัญหา วางแผน ติดตาม และประเมินผล มีกระบวนการดำเนินงานคือ การวิเคราะห์สภาพปัญหาและบริบทพื้นที่ การวางแผนและกำหนดเป้าหมาย การดำเนินงานตามแผน การติดตาม ประเมินผล ส่วนผลการประเมินผลการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ ตามเกณฑ์ UCCARE พบว่า ประเด็นปัญหาทั้ง 5 ประเด็น ผ่านการประเมิน ระดับ 4 ขึ้นไป มีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และมีผลลัพธ์ในการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ คือ มีผู้นำที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะจากนายอำเภอและสาธารณสุขอำเภอ ที่สามารถเป็นผู้นำในการประสานและขับเคลื่อน การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน มีข้อมูลที่เป็นระบบและนำไปใช้ได้ การมีข้อมูลสภาพปัญหาและบริบทพื้นที่ที่ถูกต้องและทันสมัย เพื่อประกอบการตัดสินใจ และมีการวางแผนที่เป็นรูปธรรมและยืดหยุ่น ข้อเสนอแนะควรมีการพัฒนาศักยภาพเชิงรุก จัดอบรมและพัฒนาทักษะที่จำเป็นให้กับบุคลากร ผู้นำชุมชน และประชาชน โดยเน้นทักษะแห่งอนาคตที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่การรับฟังความคิดเห็น แต่เป็นการ empower ให้ประชาชนสามารถริเริ่มโครงการและมีบทบาทนำในการแก้ไขปัญหาของตนเองได้</p>
ธราพงษ์ สะโสดา, ส.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
4 2
203
219
-
รูปแบบการส่งเสริมการแพทย์แผนไทยในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4472
<p>.</p>
ทวีศักดิ์ สิงห์โห
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-27
2025-06-27
4 2
220
234