วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลการศึกษาวิจัยทางด้านการพัฒนาคุณภาพงานสาธารณสุข และคุณภาพชีวิตของผู้ปฏิบัติงาน บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข</li> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านการแพทย์และด้านสาธารณสุขของบุคลากรสาธารณสุขทั้งใน และนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข</li> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านสุขภาพของนักวิจัย อาจารย์ นิสิต นักศึกษา</li> <li>เป็นแหล่งวิชาการสำหรับบุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงประชาชนทั่วไปในประเทศและนานาชาติได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และพัฒนาคุณภาพวิชาการให้เข้าสู่มาตรฐานตามหลักสากล</li> </ol>
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ
th-TH
วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
2822-0749
<p>เนื้อหาและข้อมูล (เขียนข้อกำหนด)</p>
-
ผลของการใช้แนวทางการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาล ต่อ ความรู้และการปฏิบัติ ตามแนวทาง ของบุคลากรที่ดูแลผู้ป่วยใน โรงพยาบาลลำทับ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/3739
<p> การติดเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง การวิจัยนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่าง 1 กลุ่ม ที่วัดผลก่อนและหลังได้รับกิจกรรมให้ความรู้การป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา ร่วมกับการนิเทศทางการพยาบาล วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบ 1) คะแนนความรู้ 2) คะแนนการปฏิบัติตามแนวทาง และ 3) การตรวจพบเชื้อดื้อยาจากอุปกรณ์การแพทย์ในห่อผู้ป่วยใน ก่อนและหลังการปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา กลุ่มตัวอย่าง คือบุคลากรหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลลำทับจำนวน 20 คน และรายงานผลการเพาะเชื้อของหอผู้ป่วยในที่เก็บจากอุปกรณ์การแพทย์ ก่อนและหลังการทดลองจำนวน 20 ตัวอย่าง การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและสถิติอนุมาน ได้แก่ ได้แก่จำนวน ร้อยละ Chi-square และ Pair samples t-test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า 1) ระดับความรู้ และ 2) การปฏิบัติเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง (p < 0.001) 3) การตรวจพบเชื้อดื้อยาหลังการทดลอง ต่ำกว่าก่อนการทดลอง (p<0.05)</p> <p> สรุปผล การใช้แนวทางทางการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา และการนิเทศทางการพยาบาล ทำให้บุคลากรมีความรู้และความเข้าใจเพิ่มขึ้น เกิดการปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราการสุ่มเพาะเชื้อพบเชื้อดื้อยาลดลง </p>
ชัญญาพัทธ์ เล็กมาก, พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-18
2025-02-18
4 1
1
15
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลมารดาในระยะคลอด จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4076
<p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลลัพธ์ของการดูแลมารดาในระยะคลอด จังหวัด ศรีสะเกษ แบ่งการศึกษาเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการดูแลมารดาระยะคลอดจังหวัดศรีสะเกษ ระยะที่ 3 การประเมินผลลัพธ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพ/แพทย์ที่ดูแลผู้คลอดในโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 109 คน ซึ่งถูกสุ่มโดยวิธีแบ่งชั้นตามสัดส่วน และการสุ่มอย่างมีระบบ กลุ่มเวชระเบียนผู้คลอดแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 ฉบับ และกลุ่มควบคุม 30 ฉบับ สุ่มโดยวิธีคัดเลือกแบบต่อเนื่องตามเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นรูปแบบการดูแลมารดาในระยะคลอด จังหวัด ศรีสะเกษ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกการดูแลมารดาในระยะคลอด ที่มีค่าความตรงและค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 1 และแบบบันทึกผลลัพธ์ วิเคราะห์ผลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเปรียบเทียบ t -test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการดูแลมารดาในระยะคลอดประกอบด้วย ชุดความรู้ในการดูแล และรูปแบบการดูแลผู้คลอด ดังนี้ 1) นโยบาย 2) บุคลากร 3) เครื่องมือและเวชภัณฑ์ 4) แผนการดูแล 5) ระบบส่งต่อ 5) Tele-health 6) บริหารความเสี่ยง 8) ควบคุม กำกับ ติดตาม ที่มีค่าความตรงตามเนื้อหาและมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 1 มีความเป็นไปได้ที่จะนำไปใช้ในระดับสูงร้อยละ 84.15 เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการรักษา และปริมาณการเสียเลือดหลังคลอดของกลุ่มที่ได้รับการดูแลตามรูปแบบที่พัฒนาน้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับการดูแลตามรูปแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t= -1.71, p < .01: t=-3.15, p=.04) ตามลำดับ อัตราตายของมารดา และลักษณะทั่วไปของทารกหลังคลอดพบว่าไม่แตกต่างกัน อาจเนื่องมาจากระยะเวลาที่ใช้เก็บข้อมูลมีจำกัด ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ในทางปฏิบัติ อย่างไรก็ตามควรศึกษาว่ารูปแบบที่พัฒนาสามารถลดการตายของมารดาในระยะยาวได้หรือไม่และปรับให้มีความเหมาะสมกับบริบทของหน่วยบริการ เพื่อความมั่นใจในการนำไปใช้</p>
ชนัชชา อุปฮาด
วันชัย รวิวรกาญจน์
สุปรียา พันธ์รัมย์
วีระวุธ เพ็งชัย
ดวงอนุชา บุตรชาติ
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-15
2025-02-15
4 1
16
28
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคของผู้สัมผัสกับผู้ป่วยวัณโรคในเขตอำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4073
<p>.</p>
ภัสธิรา ธรรมฤทัย, พ.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-22
2025-03-22
4 1
29
41
-
การพัฒนาแนวทางการสั่งตรวจวิเคราะห์์ทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์อย่างสมเหตุผลของโรงพยาบาลลำทับ จังหวัดกระบี่
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/3873
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยชิงปฏิบัติการประกอบด้วยการวางแผน การปฏิบัติการ การสังเกตการณ์ และการสะท้อนกลับ วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทาง และผลการดำเนินงานตามเกณฑ์การพัฒนาโรงพยาบาลที่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์อย่างสมเหตุผล โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสานวิธี ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณในกลุ่มตัวอย่างคือข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับการสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ปี 2566-2567 และวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสนทนากลุ่มร่วมกับทีมนำด้านคลินิกของโรงพยาบาลลำทับ</p> <p> ผลการวิจัย (1) แนวทางการสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์อย่างสมเหตุผลของโรงพยาบาลลำทับ ได้แก่กลุ่มตรวจสุขภาพประจำปี กลุ่มโรคติดเชื้อ และกลุ่มโรคเบาหวาน (2) ภายหลังการใช้แนวทางปี 2567 พบว่า ตัวชี้วัดที่ 1 ร้อยละของผู้ป่วยเบาหวานได้รับการตรวจ Hb A<sub>1</sub>C ซ้ำภายใน 90 วัน ได้ร้อยละ 1.56 ตัวชี้วัดที่ 2 ร้อยละของผู้ป่วยเบาหวานได้รับการตรวจ Hb A<sub>1</sub>C อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ร้อยละ 70.62 ตามลำดับ และตัวชี้วัดที่ 3 โรงพยาบาลมีการดำเนินงานตามเกณฑ์การพัฒนาโรงพยาบาลที่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์อย่างสมเหตุผล และสามารถลดรายจ่ายการสั่งตรวจระดับไขมันในเลือดและการทำงานของไตในกลุ่มตรวจสุขภาพประจำปีของบุคลากรปี 2567 จำนวน 13,358 บาท (ร้อยละ 52.84) และมูลค่ารายรับจากการสั่งตรวจ HbA<sub>1</sub>C ของกลุ่มโรคเบาหวานที่ครบตามเกณฑ์จำนวน 110,700 บาท (ร้อยละ 39.64)</p>
วัฒนา แก้วแย้ม, ปร.ด.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-22
2025-03-22
4 1
42
56
-
ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับตำบลรังแร้ง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4112
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ ตำบลรังแร้ง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ทำการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่ายจากประชาชนอายุระหว่าง 15-59 ปี แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม จำนวนกลุ่มละ 50 คน โดยให้กลุ่มทดลองเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมให้สุขศึกษา สื่อในการจัดการความรู้ การประเมินอัตราป่วยด้วยโรคพยาธิใบไม้ตับ เก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการทดลองโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด และสถิติเชิงอนุมาน Paired t-test และ Independent t-test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยด้านความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาพ ด้านการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ ด้านทักษะการสื่อสารสุขภาพ ด้านทักษะการจัดการตนเอง ด้านการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ และด้านทักษะการตัดสินใจเลือกปฏิบัติ หลังการทดลองเพิ่มขึ้นและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 (p-value<0.001) และอัตราป่วยด้วยโรคพยาธิใบไม้ตับหลังการทดลองลดลงน้อยกว่าร้อยละ 5 ดังนั้นเพื่อให้เกิดพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จึงควรให้มีการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไป</p>
ประกฤษฎาพร พิมณุวงศ์, ส.ม.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-23
2025-03-23
4 1
57
69
-
SMART FDA SISAKET APPLICATION เพื่อการอนุญาตด้านอาหารที่สะดวก รวดเร็ว ผู้บริโภคปลอดภัย จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4087
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแอพพลิเคชั่น SMART FDA SISAKET APPLICATION เพื่อการอนุญาตด้านอาหารที่สะดวก รวดเร็ว ผู้บริโภคปลอดภัย จังหวัดศรีสะเกษ 2) ประเมินประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่น SMART FDA SISAKET APPLICATION เพื่อการอนุญาตด้านอาหารที่สะดวก รวดเร็ว ผู้บริโภคปลอดภัย จังหวัด ศรีสะเกษ 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่นแอพพลิเคชั่น SMART FDA SISAKET APPLICATION เพื่อการอนุญาตด้านอาหารที่สะดวก รวดเร็ว ผู้บริโภคปลอดภัย จังหวัดศรีสะเกษ ประชากรได้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ในจังหวัดศรีสะเกษที่ผ่านหลักสูตรอบรมพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่งานอาหารในปี 2567 จำนวน 100 คน กลุ่มตัวอย่าง 50 คน ระหว่างเดือนมีนาคม – มิถุนายน 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย แอพพลิเคชั่น SMART FDA SISAKET APPLICATION เพื่อการอนุญาตด้านอาหารที่สะดวก รวดเร็ว ผู้บริโภคปลอดภัย จังหวัดศรีสะเกษ และ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อแอพพลิเคชั่น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แอพพลิเคชั่น SMART FDA SISAKET APPLICATION เพื่อการอนุญาตด้านอาหารที่สะดวก รวดเร็ว ผู้บริโภคปลอดภัย จังหวัดศรีสะเกษ ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ หน้าแรกของแอพพลิเคชั่น หน้าเมนูการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ หน้าเมนูการตรวจประเมินสถานที่ผลิตอาหาร หน้าเมนู Learning & Testing 2) ผลการประเมินประสิทธิภาพ SMART FDA SISAKET APPLICATION เพื่อการอนุญาตด้านอาหารที่สะดวก รวดเร็ว ผู้บริโภคปลอดภัย จังหวัดศรีสะเกษ ของผู้เชี่ยวชาญโดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.84) โดยพบว่าด้านความสะดวกและง่ายต่อการใช้งานมีค่าเฉลี่ยสูงสุด (x̄ = 4.59) 3) ผลการประเมินความพึงพอใจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ในจังหวัดศรีสะเกษที่ผ่านหลักสูตรอบรมพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่งานอาหารในปี 2567 จำนวน 50 คน ที่มีต่อแอพพลิเคชั่น SMART FDA SISAKET APPLICATION เพื่อการอนุญาตด้านอาหารที่สะดวก รวดเร็ว ผู้บริโภคปลอดภัย จังหวัดศรีสะเกษ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะด้านความสามารถของระบบในการแปลผลข้อมูล (x̄ = 4.67) และด้านความน่าใช้ของระบบในภาพรวม (x̄ = 4.59)</p>
กนกวิภา ประกอบศรี, ภ.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-23
2025-03-23
4 1
70
84
-
ประสิทธิผลโปรแกรมการควบคุมป้องกันโรคเลปโตสไปโรซีสของประชาชนกลุ่มเสี่ยงใน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านกำแมด ตำบลหนองเชียงทูน อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4121
<p>.</p>
วารุณี เป้งทอง
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-30
2025-03-30
4 1
85
99
-
การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลหนองฮาง อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4120
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลหนองฮาง อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม 2567 – มกราคม 2568 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 50 คน กลุ่มตัวอย่างในการประเมินรูปแบบได้แก่ประชาชนในเขตอำเภอเบญจลักษ์ จำนวน 100 คน ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการของ Kemmis และ McTaggart จำนวน 1 วงรอบ โดยแต่ละวงรอบประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และสะท้อนผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการรวบรวม การจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหา กลุ่มตัวอย่างในการประเมินรูปแบบเข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ก่อนและหลัง และเปรียบเทียบผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนโดยใช้สถิติ paired t-test ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลหนองฮาง อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ คือ “NONGHANG Model” ประกอบด้วย 1) N; Network and Team มีภาคีเครือข่ายในการทำงานร่วมกันเกิดคณะกรรมการดำเนินงานและกำหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจน มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการระดับตำบล อย่างชัดเจน 2) O; Organization Analysis การวิเคราะห์องค์กร ทีม ชุมชน ทรัพยากรคน เงิน ของ ที่ใช้ในการขับเคลื่อนงาน 3)N; New design การออกแบบ การวางแผนงานใหม่ที่ง่าย สะดวก รวดเร็วสอดคล้องกับบริบทชุมชน 4) G: Goverment Policy การทำงานให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ประชาชนและสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ กระทรวง 5) H&A; Holistic care & Action การนำสู่การปฏิบัติในชุมชน ครอบครัว เข้าถึงตัวบุคคลกลุ่มเป้าหมายแบบองค์รวม 6) N&G; Notable & Good Practice มีเวทีถอดบทเรียนนำแนวปฏิบัติที่ดีน่าเชื่อถือและมีความโดดเด่นสู่การขยายผลในพื้นที่อื่นๆ จากผลการวิจัยที่พัฒนาขึ้นช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนตำบลหนองฮาง อำเภอ เบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้</p>
เสนาะศักดิ์ เขตจอหอ, วท.บ.
สมัย ลาประวัติ, ส.ด.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-26
2025-03-26
4 1
100
114
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4134
<p>การวิจัยวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ ศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม 2567 – มกราคม 2568 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 50 คน กลุ่มผู้สูงอายุ จำนวน 50 คน ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการของ Kemmis และ McTaggart จำนวน 1 วงรอบ โดยแต่ละวงรอบประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และสะท้อนผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการรวบรวม การจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหา กลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุได้รับการประเมินคุณภาพชีวิตก่อนและหลัง การเข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น และเปรียบเทียบผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนโดยใช้สถิติ paired t-test ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ ตำบลพรหมสวัสดิ์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ คือ “PHAYU Model” ประกอบด้วย 1) P; Policy & Structure: มีคณะกรรมการดำเนินงานและกำหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจน มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ระดับตำบล อย่างชัดเจน 2) H; Holistic care Plan: การจัดทำแผนปฏิบัติงานแบบมีส่วนร่วมและเป็นองค์รวม3) Action : การลงมือปฏิบัติตามแผนการพัฒนาที่เกิดขึ้นจากการจัดทำแผนแบบมีส่วนร่วม 4) Y; Yourself <u>empowermment</u><u> :</u><u>การเสริมพลังในตัวบุคคลให้เกิดคุณค่าในการร่วมกันทำงาน </u><u>5) U; Unity Team </u><u>: ทีม เครือข่ายที่มีความเข้มแข็ง เป็นหนึ่งเดียว </u><u>การสะท้อนผลการทำงาน ถอดบทเรียน</u>ความสำเร็จและโอกาสพัฒนา ระดับคุณภาพชีวิตทั่วไปอยู่ในระดับปานกลาง (Mean7630, S.D. =10.18) ระดับคุณภาพชีวิตสำหรับผู้สูงอายุอยู่ในระดับปานกลาง (Mean 83.60,S.D.-8.99) โดยสรุป ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย 6 ปัจจัย ได้แก่ 1) มีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง 2) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ 3) ชุมชนมีส่วนร่วมทุกกระบวนการ 4) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้การสนับสนุนให้กำลังใจ 5) มีทุนทางสังคม 6) การติดต่อประสานงานของเครือข่าย</p>
ธนชณ จันทร์หมื่น
สมัย ลาประวัติ, ส.ด.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
4 1
115
129
-
การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลดินแดง อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4145
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลดินแดง อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ ศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม 2567 – กุมภาพันธ์ 2568 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 50 คน กลุ่มตัวอย่างในการประเมินรูปแบบได้แก่ประชาชนในเขตอำเภอไพรบึง จำนวน 100 คน ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการของ Kemmis และ McTaggart จำนวน 1 วงรอบ โดยแต่ละวงรอบประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และสะท้อนผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการรวบรวม การจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหา กลุ่มตัวอย่างในการประเมินรูปแบบเข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ก่อนและหลัง และเปรียบเทียบผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนโดยใช้สถิติ paired t-test ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลดินแดง อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ คือ “DINDANG Model” ประกอบด้วย 1) D; Delvelopment มีเป้าหมายการพัฒนาสู่ตำบลดินแดงปลอดพยาธิใบไม้ตับ โดยคณะกรรมการมีเป้าหมายร่วมกันอย่างชัดเจน 2) I; Infromation Analysis การวิเคราะห์ ใช้ข้อมูล องค์กร ทีม ชุมชน ทรัพยากรคน เงิน ของ ที่ใช้ในการขับเคลื่อนงาน 3)N; Network การสร้างเครือข่ายให้มีส่วนร่วมในการดำเนินงาน 4) D: Disciline การสร้างความรับผิดชอบ บทบาทหน้าที่ของภาคีเครือข่ายตามที่ได้รับมอบหมาย 5) A; Action การนำสู่การปฏิบัติในชุมชน ครอบครัว เข้าถึงตัวบุคคล 6) N&G; Notable & Good Practice มีเวทีถอดบทเรียนนำแนวปฏิบัติที่ดีน่าเชื่อถือและมีความโดดเด่นสู่การขยายผลในพื้น ที่อื่นๆ จากผลการวิจัยที่พัฒนาขึ้นช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนตำบลดินแดง อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ </p>
พิทักษ์พงษ์ จันทศรี
สมัย ลาประวัติ, ส.ด.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
4 1
130
144
-
ประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/3837
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการจัดการสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยงเบาหวานในด้านความรู้ ความเชื่อและความตั้งใจต่อการปฏิบัติพฤติกรรมการจัดการตนเองและระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ ที่ขึ้นทะเบียนในปี 2567 โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 60 ราย เครื่องมือวิจัยมี 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือ โปรแกรมการจัดการสุขภาพกลุ่มเสี่ยงเบาหวานอำเภอน้ำเกลี้ยง ซึ่งได้พัฒนาจากแนวคิดการจัดการตนเองและทฤษฎีการเสริมสร้างสมรรถนะแห่งตน มีกิจกรรมการให้ความรู้จากสหสาขาวิชาชีพ 1 วัน การจัดตั้งกลุ่มไลน์ให้ความรู้ และปรึกษาปัญหาสุขภาพ การเยี่ยมบ้านเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีคู่หูช่วยเตือน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ส่วนที่ 2 เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความรู้ ความเชื่อเกี่ยวกับโรคเบาหวาน และความตั้งใจที่จะปฏิบัติพฤติกรรมการจัดการตนเองต่อโรคเบาหวาน แบบบันทึกข้อมูลระดับน้ำตาล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Paired t- test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิผลด้านความรู้ ความเชื่อเกี่ยวกับโรคเบาหวานและความตั้งจะปฏิบัติพฤติกรรมเพื่อจัดการสุขภาพ หลังให้โปรแกรมจัดการสุขภาพในกลุ่มเสี่ยงเบาหวานมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้อยู่ในระดับสูง ความเชื่อเกี่ยวกับเบาหวานหลังการให้โปรแกรมอยู่ในระดับสูง ความตั้งใจจะปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการเข้ารับโปรแกรมจัดการสุขภาพพบว่าค่าคะแนนเฉลี่ยของความรู้ ความเชื่อ และความตั้งใจจะปฏิบัติกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (FBS) ลดลงจากก่อนได้รับโปรแกรมจัดการสุขภาพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถติ แต่ระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) ไม่แตกต่างจากก่อนได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงให้เห็นว่าการให้โปรแกรมสุขภาพนี้ช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงเบาหวานมีความรู้ และพฤติกรรมการจัดการสุขภาพด้วยตนเองดีขึ้น จึงควรนำไปพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงเบาหวานและผู้ป่วยเบาหวานอย่างต่อเนื่องต่อไป</p>
กรรณิกา ทองเกลียว, พ.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-26
2025-03-26
4 1
145
156
-
ผลของโปรแกรมการสร้างการรับรู้และการสร้างเสริมแรงจูงใจในการควบคุมระดับความดันโลหิตของกลุ่มเสี่ยงในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาโหนนน้อย ตำบลโนนโหนน อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4127
<p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสร้างการรับรู้และการสร้างเสริมแรงจูงใจในการควบคุมระดับความดันโลหิตของกลุ่มเสี่ยงในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาโหนนน้อย ตำบลโนนโหนน อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบที่ได้จากการคำนวณ กลุ่มละ 90 คน โดยกลุ่มทดลองได้แก่ กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ที่อาศัยอยู่ในเขตรับผิดชอบของเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาโหนนน้อย ตำบลโนนโหนน อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้แก่ กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ที่อาศัยอยู่ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเพียเภ้า ตำบลคำน้ำแซบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการสร้างการรับรู้และการสร้างเสริมแรงจูงใจในการควบคุมระดับความดันโลหิตที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพตามปกติของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการสร้างการรับรู้และการสร้างเสริมแรงจูงใจ เป็นระยะเวลา 10 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับโปรแกรมการดูแลตามระบบปกติของสาธารณสุข เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 2 ครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างเดือน พฤศจิกายน 2567-เดือนมกราคม 2568 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนานำเสนอด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มัธยฐาน เปรียบเทียบผลต่างของคะแนนเฉลี่ยของตัวแปรระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติ Independent t-test กำหนดนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาพบว่าผลต่างคะแนนเฉลี่ยของการรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้โอกาสเสี่ยงของโรค ความคาดหวังในความสามารถของตนเองในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและความคาดหวังในประสิทธิผลของการปฏิบัติเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน และพฤติกรรมด้านการควบคุมระดับความดันโลหิตและการเปลี่ยนแปลงทางด้านสุขภาพของผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง สูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากผลการทดลองแสดงว่าโปรแกรมการที่พัฒนาขึ้นสามารถสร้างการรับรู้และการสร้างเสริมแรงจูงใจในการควบคุมระดับความดันโลหิตของกลุ่มเสี่ยง ได้ผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้</p>
พิจิตร แก้วสิงห์
สุคนธ์ทิพย์ อรุณกมลพัฒน์.ปร.ด.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-27
2025-03-27
4 1
157
171
-
ผลการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มอายุ 3-5 ปี ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบครอบครัวมีส่วนร่วม โรงพยาบาลอุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4115
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบวัดผลก่อนหลังมีกลุ่มเปรียบเทียบ (Quasi-experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มอายุ 3-5 ปี ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบครอบครัวมีส่วนร่วม โรงพยาบาลอุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็กกลุ่มอายุ 3-5 ปี ที่มารับบริการที่คลินิกสุขภาพเด็กดี โรงพยาบาลอุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ที่เข้าเกณฑ์ ได้กลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มเปรียบเทียบ 30 คน ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม 2566 เครื่องมือการวิจัย แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) รูปแบบการส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มอายุ 3-5 ปี ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบครอบครัวมีส่วนร่วม อ้างอิงจากคู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) ฉบับปี 2566 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข 2) เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบบันทึกการประเมินพัฒนาการเด็กและแบบประเมินการตรวจพัฒนาการเด็กโดยผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ใช้สถิติเชิงพรรณนาวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป และสถิติเชิงอนุมานทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยของพัฒนาการสมวัย ความรู้และทักษะเกี่ยวกับการเฝ้าระวังและ<em>ส่งเสริมพัฒนาการ</em>เด็กของผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็กกลุ่มอายุ 3-5 ปี ภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ โดยใช้สถิติ Paired t-test และทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม ใช้สถิติ independent t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่าคะแนนเฉลี่ยของพัฒนาการสมวัย ความรู้และทักษะเกี่ยวกับการเฝ้าระวัง และ<em>ส่งเสริมพัฒนาการ</em>เด็กของผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็กกลุ่มอายุ 3-5 ปี ภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบก่อนให้โปรแกรมและหลังให้โปรแกรม พบว่าหลังให้รูปแบบการส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มอายุ 3-5 ปี ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบครอบครัวมีส่วนร่วม กลุ่มทดลองมีคะแนนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.80 (95%CI 3.00 ถึง 8.60) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังไม่แตกต่างกัน โดยหลังให้รูปแบบกลุ่มทดลองมีคะแนนมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ ร้อยละ 9.10 (95%CI 5.67 ถึง 12.53) มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001)</p> <p> โดยสรุป รูปแบบการส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มอายุ 3-5 ปี ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบครอบครัวมีส่วนร่วม มีผลต่อการส่งเสริมพัฒนาการเด็กในทุกด้าน การจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ควรได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาการเด็กที่สมวัย</p>
จริยาพร จำรัสธนสาร, พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-26
2025-03-26
4 1
172
183
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/3824
<p>การศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา วัตถุประสงค์ประเมินผลของโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ก่อนและหลังการทดลอง เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) แบบหนึ่งกลุ่มเก็บข้อมูลก่อนและหลังการทดลอง (one-groups pretest-posttest design) ประชากรในการศึกษาคือผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จำนวน 30 คน ระยะเวลาในทดลองจำนวน 3 เดือน ในช่วงเดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม 2567</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมสุขภาพ หลังเข้าร่วมโปรแกรมมีค่าเฉลี่ยคะแนนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001; Mean Difference : 2.27 ; 95%CI : 1.76-2.78) น้ำหนัก หลังเข้าร่วมโปรแกรมมีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001; Mean Difference : 0.93 ; 95%CI : 0.48-1.38) รอบเอว หลังเข้าร่วมโปรแกรมมีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001; Mean Difference : 0.63 ; 95%CI : 0.37-0.90) ความรู้ หลังเข้าร่วมโปรแกรมมีค่าเฉลี่ยคะแนนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001; Mean Difference : 8.66 ; 95%CI : 7.92-9.40) Fasting Blood Sugar (FBS) หลังเข้าร่วมโปรแกรมมีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001; Mean Difference : 4.27 ; 95%CI : 4.23-12.03) HbA1C หลังเข้าร่วมโปรแกรมมีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001; Mean Difference : 0.48 ; 95%CI : 0.36-0.59) Blood Urea Nitrogen (BUN) หลังเข้าร่วมโปรแกรมมีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001; Mean Difference : 4.20 ; 95%CI : 2.80-5.59) Creatinine (Cr) หลังเข้าร่วมโปรแกรมมีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value 0.002; Mean Difference : 0.12 ; 95%CI : 0.05-0.19) Cholesterol หลังเข้าร่วมโปรแกรมมีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001; Mean Difference : 16.53 ; 95%CI : 11.79-21.27) Trigleceride (TG) หลังเข้าร่วมโปรแกรมมีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001; Mean Difference : 22.43 ; 95%CI : 15.13-29.73) Low-density Lipoprotein (LDL) หลังเข้าร่วมโปรแกรม มีค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001; Mean Difference : 14.53 ; 95%CI : 8.73-20.33) </p> <p> ข้อเสนอจากผลการศึกษาดังนี้ โปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้โดยใช้เวลา 3 เดือน ดังนั้นข้อเสนอแนะการพัฒนาโปรแกรมควรศึกษาในระยะเวลาที่ยาวขึ้น แต่เน้นการมีส่วนร่วมของบุคคลในครอบครัว ชุมชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน</p>
ประวิทย์ ไชยคุณ, พ.บ.
พัชสุดา ไชยสัตย์ พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-28
2025-03-28
4 1
184
195
-
การบาดเจ็บที่ตาชนิดลูกตาแตกในโรงพยาบาลศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4030
<p> การศึกษาข้อมูลย้อนหลังเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงอุบัติการณ์ของการบาดเจ็บที่ตาชนิดลูกตาแตก (Open globe injuries) ในโรงพยาบาลศรีสะเกษ รวมถึงลักษณะทางคลินิก สาเหตุ และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ศึกษาข้อมูลย้อนหลังระยะเวลา 5 ปี เก็บรวบรวมข้อมูลจากข้อมูลเวชระเบียนแบบอิเลคทรอนิกส์ของผู้ป่วยที่คัดเลือกประชากรตามเกณฑ์การคัดเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างทุกราย จำนวน 165 ราย ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่ามีการบาดเจ็บที่ตาชนิดลูกตาแตกในโรงพยาบาลศรีสะเกษ ระหว่าง 1 ตุลาคม 2560 ถึง 30 กันยายน 2565 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวนและร้อยละ</p> <p> ผลการศึกษา พบว่ากลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยจำนวน 165 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (82.4%) อายุเฉลี่ย 41 ปี โดยกลุ่มอาชีพที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุดคือ เกษตรกร (40.6%) รองลงมาคือ แรงงานรับจ้าง (33.9%) สาเหตุหลักของการบาดเจ็บคือ อุบัติเหตุจากการทำงาน (59.4%) ซึ่งพบว่ามีเพียง 1% ของผู้ป่วยที่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันขณะทำงาน ชนิดของการแตกของลูกตาที่พบมากที่สุดคือ Rupture globe (49.1%) ระดับการมองเห็นแรกรับพบว่า 12.1% ของผู้ป่วยไม่สามารถมองเห็นแสงไฟ (No PL) และเพิ่มขึ้นเป็น 24.3% หลังการรักษา 6 เดือน</p> <p> สรุปผลการศึกษา การบาดเจ็บที่ตาชนิดลูกตาแตกมีแนวโน้มสูงในกลุ่มแรงงาน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันตา ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร จึงควรมีมาตรการส่งเสริมการใช้เครื่องป้องกันตาและรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงานเพื่อลดอุบัติการณ์ของการบาดเจ็บที่ตาในอนาคต</p>
ณิศรา ประสารศิวมัย, พ.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-28
2025-03-28
4 1
196
206
-
ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะต่อพฤติกรรมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ด้วยวิธี HPV self-sampling ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลหนองฉลอง อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4065
<p>การเสริมสร้างสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เพื่อช่วยค้นหาและช่วยคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV self-sampling ในสตรีกลุ่มเป้าหมายอายุ 30-60 ปีถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้การทำงานเชิงรุกในชุมชนความสำเร็จ หากพบความผิดปกติสามารถส่งต่อให้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะต่อพฤติกรรมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV self-sampling ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลหนองฉลอง อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 35 คน ที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ โปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะ แบบวัดความรู้เกี่ยวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และแบบประเมินการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของอาสาสมัครสาธารณสุขในการส่งเสริมการมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ที่มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.85 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และสถิติ Paired Sample t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยผลต่างคะแนนความรู้เกี่ยวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของอาสาสมัครสาธารณสุขในการส่งเสริมการมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001</p>
พีรภา จันทาทุม, พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-29
2025-03-29
4 1
207
218
-
การศึกษาปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของการเกิดภาวะแผลผ่าตัดติดเชื้อในผู้ป่วยหลังจากการผ่าตัดแผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4080
<p>ภาวะกระดูกติดเชื้อและแผลติดเชื้อหลังจากมีกระดูกหักแบบมีแผลเปิดเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย โดยวัตถุประสงค์หลักของการแก้ปัญหานี้ คือการจัดการกับสาเหตุของการติดเชื้อก่อนที่จะมีการผ่าตัดเชื่อมกระดูก โดยเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ อีกทั้งแนวโน้นของการติดเชื้อ Pseudomonas ซึ่งไม่ใช่เชื้อที่พบได้ทั่วไปมีมากขึ้น การศึกษานี้เป็นการศึกษาวิจัยแบบ Analytical study โดยใช้วิธี Case-Control study โดย เก็บข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนและภาพถ่ายรังสี ปี 2562 -2567 ในผู้ป่วยที่เกิดภาวะแผลติดเชื้อและกระดูกติดเชื้อในโรงพยาบาลอุทุมพรพิสัย โดยมีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาทั้งหมด 978 ราย (ทั้งแบบแผลเปิดและแบบไม่มีแผล) ซึ่งการรักษามีทั้งแบบไม่ได้รับการผ่าตัดและได้รับการผ่าตัด การศึกษานี้ได้นำผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดร่วมกับมีการติดเชื้อแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม เป็นกลุ่มที่ติดเชื้อ Pseudomonas spp. และกลุ่มที่ติดเชื้อที่ไม่ใช่เชื้อ Pseudomonas spp. และได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจสัมพันธ์กับภาวะแผลติดเชื้อและกระดูกติดเชื้อได้</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่เกิดภาวะแผลติดเชื้อและกระดูกติดเชื้อจำนวน 242 ราย โดยติดเชื้อ Pseudomonas aeruginosa (P. aeruginosa) คิดเป็น 61% (จากผลเพาะเชื้อ) เพศ กระดูกหักแบบไม่มีแผลและกระดูกหักแบบมีแผลระดับ 1 ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติในการศึกษานี้ ส่วนสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่มีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.001) คือ โรคประจำตัวผู้ป่วย (โรคเบาหวานชนิดที่ 2), ชนิดและความรุนแรงของแผลเปิดตั้งแต่ระดับที่ 2 ขึ้นไป ชนิดของยาปฏิชีวนะที่ผู้ป่วยได้รับก่อนและหลังได้รับการผ่าตัดและการผ่าตัดภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง</p> <p>สรุปจากการศึกษา กระบวนการจัดการและดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีกระดูกหักร่วมกับมีแผลเปิดควรที่จะมีการประเมินอย่างละเอียดและถี่ถ้วน โดยปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดภาวะแผลติดเชื้อและกระดูกติดเชื้อภายหลังจากการผ่าตัด คือ โรคไตวายเรื้อรัง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ชนิดและความรุนแรงของแผลเปิด และชนิดขอยาปฏิชีวนะที่ผู้ป่วยได้รับก่อนและหลังได้รับการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้มีภาวะกระดูกหักร่วมกับมีแผลเปิดเช่นกัน</p>
ศิรวิชญ์ คำแพง, พ.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-28
2025-03-28
4 1
219
226
-
การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วม ตำบลหนองเชียงทูน อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4153
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วม ตำบลหนองเชียงทูนอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม 2567 – มกราคม 2568 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 48 คน กลุ่มตัวอย่างในการประเมินรูปแบบได้แก่ประชาชนในเขตอำเภอปรางค์กู่ จำนวน 100 คน ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการของ Kemmis และ McTaggart จำนวน 1 วงรอบ โดยแต่ละวงรอบประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และสะท้อนผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการรวบรวม การจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหา กลุ่มตัวอย่างในการประเมินรูปแบบเข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ก่อนและหลัง และเปรียบเทียบผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนโดยใช้สถิติ paired t-test ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วม ตำบลหนองเชียงทูน อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ คือ “PRANGKU Model” ประกอบด้วย 1) P; Policy ภาคีเครือข่ายในการทำงานร่วมกันเกิดนโยบายในพื้นที่ชัดเจน มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการระดับตำบล 2) R; Refection Context problem การสะท้อนปัญหา องค์กร ทีม ชุมชน ทรัพยากรคน เงิน ของ สู่แผนการขับเคลื่อนงาน 3) A; Action plan มีแผนงานและนำไปปฏิบัติ 4) N&G; Notable & Good Practice มีเวทีถอดบทเรียนนำแนวปฏิบัติที่ดีน่าเชื่อถือและมีความโดดเด่นสู่การขยายผลในพื้นที่อื่นๆ 5) K; Knowledge Management การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่าย 6) U; Unity Team การทำงานเป็นทีมที่เต็มศักยภาพจากผลการวิจัยที่พัฒนาขึ้นช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับโดยภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมตำบลหนองเชียงทูน อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้</p>
ศุภกร แสงขาวอาทิอร, ส.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-30
2025-03-30
4 1
227
241
-
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลสวาย อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4155
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลสวาย อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม 2567 – มกราคม 2568 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องการพัฒนารูปแบบ จำนวน 50 คน กลุ่มผู้สูงอายุ จำนวน 170 คน ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการของ Kemmis และ McTaggart จำนวน 2 วงรอบ โดยแต่ละวงรอบประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และสะท้อนผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการรวบรวม การจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหา กลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุได้รับการประเมินคุณภาพชีวิตก่อนและหลัง การเข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น และเปรียบเทียบผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนโดยใช้สถิติ paired t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนตำบลสวาย อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ คือ“SAWA2I Model” ประกอบด้วย 1) S; Structure Team: มีทีม คณะทำงานและกำหนดโครงสร้าง บทบาทหน้าที่ชัดเจน 2) A ; Situation Analysis: วิเคราะห์สถานการณ์ สู่การวางแผนงานแบบมีส่วนร่วม 3) W; Workshop : ประชุมเชิงปฏิบัติแบบมีส่วนร่วมหาแนวทางดำเนินงานร่วมกัน 4) A; Action การนำแผนแนวทางสู่การปฏิบัติ 5) I1; Integrate การทำงานแบบบูรณาการกับร่วมกันกับภาคีเครือข่าย 6) I2 ; Improvement : การปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น เป็นแบบอย่างที่ดีได้ ผลการเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุหลังการทดลองใช้รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน พบว่า ระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 76.47 ค่าเฉลี่ย (Mean) = 83.60 ส่วนเบี่ยงเบียนมาตรฐาน (S.D.) = 8.99 คุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มทดลอง หลังทดลองใช้รูปแบบ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ( = 10.50, t = 4.197) ความพึงพอใจ หลังการทดลองใช้รูปแบบ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ( = 4.31, t = 3.530) โดยสรุป ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย 6 ปัจจัย ได้แก่ 1) มีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง 2) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ 3) ชุมชนมีส่วนร่วมทุกกระบวนการ 4) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้การสนับสนุนให้กำลังใจ 5) มีทุนทางสังคม 6) การติดต่อประสานงานของเครือข่าย</p>
สุเพียบ ศรวิมล, ส.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-30
2025-03-30
4 1
242
256
-
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลเมืองน้อย อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4164
<p>การวิจัยวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุโดยภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วม ตำบลเมืองน้อย อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม 2567 – มกราคม 2568 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 40 คน กลุ่มผู้สูงอายุ จำนวน 50 คน ใช้รูปแบบการวิจัย เชิงปฏิบัติการของ Kemmis และ McTaggart จำนวน 1 วงรอบ โดยแต่ละวงรอบประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และสะท้อนผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการรวบรวม การจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหา กลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุได้รับการประเมินคุณภาพชีวิตก่อนและหลัง การเข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น และเปรียบเทียบผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนโดยใช้สถิติ paired t-test ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุโดยภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมตำบลเมืองน้อย อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ คือ “MUANGNOI Model” ประกอบด้วย 1) M; Management : การจัดการร่วมกันของคณะกรรมการ 2) U ; Unity Team: ความพร้อมเพียงของทีม เป็นหนึ่งเดียวในการทำงาน 3) Action : การลงมือปฏิบัติตามแผนการพัฒนาที่เกิดขึ้นจากการจัดทำแผนแบบมีส่วนร่วม 4) N; Network : ภาคีเครือข่าย ร่วมกันสังเกตผล นิเทศ ติดตาม สนับสนุนการดำเนินงานพัฒนา 5) G&N; Good practice&Nottable มีต้นแบบที่ดี สร้างความโดเด่น ขยายผล ให้พื้นที่อื่นนำไปใช้ 6) O&I ; Orperation&Improvement : ดำเนินการพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การนำรูปแบบไปถอดบทเรียนความสำเร็จและโอกาสพัฒนา ระดับคุณภาพชีวิตทั่วไปอยู่ในระดับปานกลาง (Mean7630, S.D. =10.18) ระดับคุณภาพชีวิตสำหรับผู้สูงอายุอยู่ในระดับปานกลาง (Mean 83.60,S.D.-8.99) โดยสรุป ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย 6 ปัจจัย ได้แก่ 1) มีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง 2) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ 3) ชุมชนมีส่วนร่วมทุกกระบวนการ 4) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้การสนับสนุนให้กำลังใจ 5) มีทุนทางสังคม 6) การติดต่อประสานงานของเครือข่าย</p>
บัญชา เอกศิริ, วท.บ.
สมัย ลาประวัติ, ส.ด.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-30
2025-03-30
4 1
257
271
-
การพัฒนาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคพยาธิใบไม้ในตับ ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลดู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4156
<p>การวิจัย เรื่อง การพัฒนาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคพยาธิใบไม้ในตับ ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลดู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคพยาธิใบไม้ในตับ ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลดู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ การวิจัยในครั้งนี้เป็น รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ตามแนวคิดของเคมมิส และแมกแทกการ์ด ร่วมกับการนำทฤษฎีความเชื่อด้านสุขภาพ (Health belief model) มาออกแบบกิจกรรมผ่านกระบวนการพัฒนาคุณภาพตามวงล้อของ DEMMING CYCLE (PDCA ) โดยแต่ละวงรอบประกอบด้วย ขั้นตอน 4 ขั้นตอน ดังนี้คือ การวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Action) การสังเกต (Observation) และการสะท้อนผล (Reflection) แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาบริบทและการประเมินสถานการณ์การดำเนินงานการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การจัดการปัญหาในการดูแลกลุ่มเสี่ยงผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ตับ ระยะที่ 2 การวิจัยในการพัฒนาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Research and Development) ระยะที่ 3 การวิจัยรูปแบบกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการป้องกันและควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับ กลุ่มตัวอย่าง (Samples) กลุ่มตัวอย่างในการเข้าร่วมการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมครั้งนี้ได้กำหนดการทำงานร่วมกันใน 3 ภาคส่วน ตามแนวคิดสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา โดยมีกลุ่มประชากรกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 50 คน โดยใช้เครื่องมือ เป็นแบบสัมภาษณ์ แบบเก็บเก็บข้อมูล Fogus group นำข้อมูลในระยะที่ 1 และระยที่ 2 มาสร้างเป็นโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคพยาธิใบไม้ตับ ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน กลุ่มตัวอย่างในการใช้ประเมินโปรแกรม จำนวน 85 คน ประเมินผลก่อน - หลัง การทดลอง 16 สัปดาห์ โดยใช้แบบสอบถาม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผลการคัดกรองโรคพยาธิใบไม้ตับ ปี 2565 – 2567 ตามลำดับดังนี้ ร้อยละ 5.06, 4.97, และ 2.64 พฤติกรรมสุขภาพประชาชน นิยมกินอาหารที่ทำมาจากปลาที่ปรุงไม่สุก เช่น ก้อยปลา ปลาส้ม ปลาจ่อม ปลาร้า และการกำจัดสิ่งปฏิกูลที่ไม่ถูกต้อง การดำเนินการควบคุมและป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ ของโรคพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ใช้วิธีการให้ประชาชนที่ตรวจพบ ให้ยา พราซิเควนเทล (Praziquantel) และให้สุขศึกษากลุ่ม และสุขศึกษาเดี่ยว แก่กลุ่มที่ตรวจพบ โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคพยาธิใบไม้ตับ โดยการมีส่วนส่วนร่วมของชุมชน คือ <strong>HUG DU model</strong> ดังนี้ Health belief model (โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ) Understanding (การสร้างความเข้าใจร่วมกันข้อตกลงมาตรการและแนวทางการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ โดยชุมชนร่วมกำหนด) Guide (การแนะนำ แนะแนว วิธีการปฏิบัติการปรุงอาหารสุกเมนูจากปลาเพื่อป้องกันโรคพยาธิ)Do (การลงมือทำปรับเปลี่ยนพฤติกรรม) Unity Team (การมีส่วนร่วมของชุมชน การสนับสนุนทางสังคม) ผลการทดลองใช้โปรแกรม พบว่า กลุ่มทดลอง หลังได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคพยาธิใบไม้ในตับ ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน จำนวน 16 สัปดาห์ พฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ( = 3.72, t = 9.67) สามารถนำโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพนี้ไปใช้เป็นต้นแบบ การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับในพื้นที่อื่นได้</p>
พรรณวณี บุญปัญญา, ส.ม.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-30
2025-03-30
4 1
272
286
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรสาธารณสุขโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4158
<p>.</p>
กัญญ์วณัฏฐชนก เผ่าพันธ์, ศศ.บ.
กำพล เข็มทอง, ส.ด.
ฉัตรปวีณ์ เมษะพงศ์ศรี, วท.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-30
2025-03-30
4 1
287
300
-
ผลของการสร้างการมีส่วนร่วมและแรงสนับสนุนทางสังคมในการป้องกันภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านห้วยจันทร์ ตำบลห้วยจันทร์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4157
<p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการสร้างการมีส่วนร่วมและแรงสนับสนุนทางสังคมในการป้องกันภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านห้วยจันทร์ ตำบลห้วยจันทร์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 2 กลุ่ม กลุ่มละ 60 คน กลุ่มทดลองได้แก่กลุ่มผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า ที่อาศัยอยู่ในเขตรับผิดชอบของเขตโรงพยาบาลส่งเสริมเสริมสุขภาพตำบลห้วยจันทร์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษและกลุ่มเปรียบเทียบ ได้แก่ ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า ที่อาศัยอยู่ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหลักหิน ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการสร้างการมีส่วนร่วมและแรงสนับสนุนทางสังคมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับโปรแกรมการดูแลสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ระยะเวลา 10 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 2 ครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างเดือน ธันวาคม 2567 ถึง กุมภาพันธ์ 2568 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนานำเสนอด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มัธยฐาน เปรียบเทียบผลต่างของคะแนนเฉลี่ยของตัวแปรระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติ Independent t-test กำหนดนัยสำคัญที่ระดับ 0.05</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าผลต่างคะแนนเฉลี่ยของการรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรงของโรค การเห็นคุณค่าในตัวเองของผู้สูงอายุ การสนับสนุนทางสังคม การมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการปฏิบัติตัวของผู้สูงอายุ ของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และระดับคะแนนเฉลี่ยของภาวะซึมเศร้า ของกลุ่มทดลองต่ำกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากผลการทดลองแสดงว่าโปรแกรมที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นสามารถสร้างสร้างการมีส่วนร่วมและแรงสนับสนุนทางสังคมในการป้องกันภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ ได้ผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้</p>
สายสมร ศรีคราม
สุคนธ์ทิพย์ อรุณกมลพัฒน์. ปร.ด.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
4 1
301
315
-
การพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลเพื่อรับรองการประกันคุณภาพการพยาบาล(QA) โรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4159
<p>.</p>
จริยา เตชะสุข, พย.บ.
อนุพันธ์ สุวรรณพันธ์, วท.ด.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
4 1
316
327
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพมุ่งสู่เบาหวานระยะสงบ ในการควบคุมโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโพธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4199
<p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพมุ่งสู่เบาหวานระยะสงบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ไม่มีโรคร่วมรุนแรง ที่มารับบริการ ณ ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโพธาวาส จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 25 คน สุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) โดยการจับฉลากไม่แทนที่ และวัดกลุ่มตัวอย่าง ก่อน-หลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพมุ่งสู่เบาหวานระยะสงบศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโพธาวาส และแบบบันทึกพฤติกรรมสุขภาพสำหรับผู้ป่วยเบาหวานมุ่งสู่ระยะสงบ จัดกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 12 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติอนุมาน เปรียบเทียบความแตกต่าง ก่อน-หลังการทดลอง โดยใช้สถิติ paired t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าหลังการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ย น้ำหนัก เส้นรอบเอว และระดับน้ำตาลในเลือดก่อนรับประทานอาหารเช้า ลดลง (p<0.05) ส่วนดัชนีมวลกาย และระดับน้ำตาลสะสมเฉลี่ย มีค่าเฉลี่ยลดลงแต่ไม่มีความแตกต่าง (p> 0.05)</p> <p> สรุปผล การใช้โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพมุ่งสู่เบาหวานระยะสงบนี้ ส่งผลให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถลด น้ำหนักตัว เส้นรอบเอว และระดับน้ำตาลในเลือดก่อนรับประทานอาหารเช้าได้ ซึ่งนำไปสู่การการปรับลดยาและหยุดยาได้ในอนาคต</p>
นวลนิตย์ ไชยเพชร
ปัญจณีย์ ติณชาติอารักษ์
มยุรี คชนาม
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-03-31
2024-03-31
4 1
328
339
-
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนที่ตับประเมินโดยวิธีแบบไม่รุกรานในกลุ่มผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในโรงพยาบาลศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4218
<p> การติดเชื้อ Hepatitis C Virus (HCV) เปนสาเหตุหนึ่งของการเกิดภาวะแทรกซอนที่ตับ ภาวะพังผืดที่ตับ ตับแข็ง และนําไปสู มะเร็งตับ การตัดชิ้นเนื้อตับ เปนวิธีการมาตรฐานสําหรับการประเมินภาวะแทรกซอนที่ตับ อยางไรก็ตาม เปนวิธีที่รุกราน มีความเสี่ยง การประเมินแบบไมรุกราน รวมถึงการใชดัชนีทางชีวเคมี เชน FIB-4 Index และ APRI ตลอดจนเทคนิคการสรางภาพ เชน Ultrasound FIB-4 Index และ APRI เปนดัชนีที่คํานวณได งายจากผลการตรวจทางหองปฏิบัติการทั่วไป วัตถุประสงคเพื่อศึกษาความสัมพันธระหวางคา FIB-4 Index และ APRI กับผลการตรวจ Ultrasound ตับของผูปวยไวรัสตับอักเสบซี ในโรงพยาบาลศรีสะเกษ เปนการศึกษาแบบ ยอนหลัง คือผูที่ไดรับการตรวจ Anti HCV แลวใหผลบวกมีผลตรวจ ทางชีวเคมี Aspartate aminotransferase (AST) Alanine aminotransferase(ALT) Platelet count ผล ultrasound ตับ และเขารับการรักษาที่ โรงพยาบาลศรีสะเกษในชวง วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 30 กันยายน 2567</p> <p> ผลการศึกษาพบวาผูปวยชายมีจํานวนมากกวาผูปวยหญิงในทุกกลุม ผูปวยที่มีอายุ 56-65 ป มีสัดสวนของ ผูปวย ตับแข็ง และ มะเร็งตับ สูงที่สุด ความสัมพันธคาระหวาง FIB-4 Index กับผลการตรวจ Ultrasound มี ความสัมพันธกัน (p<0.05)</p> <p> สรุปผลค่า APRI และ FIB-4 Index ที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ APRI และ FIB-4 มีความไวและความจำเพาะอยู่ในระดับปานกลาง ควรใช้ APRI และ FIB-4 Index ร่วมกับข้อมูลทางคลินิกอื่น ๆ และการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อความแม่นยำในการประเมินภาวะแทรกซ้อนที่ตับ</p>
รัชศักดิ์ พลับพลึง, วท.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
4 1
340
347
-
Pattern of Uveitis in Sisaket Hospital ,Thailand
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4079
<p>This retrospective descriptive study was aimed at studying the pattern of uveitis in Sisaket Hospital, Thailand. This study was to review patient information from the medical records of 120 uveitis patients who visited Sisaket Hospital between June 2022 and July 2023. Data analyzed by a descriptive statistic for the variable was performed.</p> <p> The result of this study, uveitis in 200 patients, includes 100 male cases (50%) and 100 female cases (50%); the mean average age was 54 years old. Anterior , intermediate, posterior, and panuveitis accounted for 150 (79%), 4 (2%), 4 (2%), and 34 (17%) of cases retrospectively. Idiopathic was the most frequent etiology, followed by non-infection and infection. The diagnosis of all patients was shown in the table. The most specific diagnoses were Vogt-Koyanagi-Harada (7%), HLA-B27-associated anterior uveitis (5%), herpes-associated anterior uveitis (3%), and Behcet disease (1%). Ocular complications were found in patients. Glaucoma was 27% (32), cataract 4% (5), band keratopathy 2% (2), corneal decompensation 2% (2), and epimacular membrane 1% (1).</p> <p> Conclusion: The pattern of uveitis was the most idiopathic, VKH, and HLA-B27-associated anterior uveitis.</p>
Waraporn Chuenchaem, M.D.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-28
2025-03-28
4 1
348
352
-
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด: กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/3772
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้กระบวนการพยาบาลในการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากติดเชื้อในกระแสเลือด โดยใช้แนวคิดแบบแผนสุขภาพของกอร์ดอนมาเป็นแนวทางในการประเมินสภาพผู้ป่วย และนำเครื่องมือประเมินผู้ป่วย Sepsis ชื่อ NEW score มาใช้เพื่อคัดกรองและค้นหาผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด โดยทำการศึกษาอาการและอาการแสดงของภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมัญจาคีรี โดยทำการปรียบเทียบกรณีศึกษาทั้ง 2 ราย ตามแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วย Sepsis ผลที่ได้จากการศึกษาพบว่า กรณีศึกษาทั้ง 2 ราย มีภาวะช็อก การพยาบาลที่สำคัญได้แก่ การดูแลระบบไหลเวียนโลหิต การดูแลระบบทางเดินหายใจ การเฝ้าระวังภาวะไม่สมดุลของอิเลคโตรไลท์ การให้สารน้ำและโภชนาการ การดูแลด้านจิตใจ และการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นกรณีศึกษา ทั้ง 2 รายได้วางแผนการจำหน่ายตามหลัก D-M-E-T-H-O-D เมื่อติดตามผลลัพธ์ทางการพยาบาลพบว่า กรณีศึกษาทั้ง 2รายมีอาการดีขึ้นตั้งแต่ช่วงแรก ดังนั้นการปฏิบัติการพยาบาลที่มีแนวปฏิบัติที่ดีในการเฝ้าระวังและติดตามอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดและทันต่อการเปลี่ยนแปลง จะช่วยลดความเสี่ยงลดภาวะแทรกซ้อน รวมถึงลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้</p>
จุไลพร ดีสุข, พย.บ.
สุธิดา หล้าเลิศ พย.ม.
สุคนธ์ทิพย์ อรุณกมลพัฒน์.ปร.ด.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-09
2025-02-09
4 1
353
367
-
การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน : กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4059
<p> การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉินกรณีศึกษาในผู้ป่วย 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอุทุมพรพิสัยในช่วงระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2567 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 การใช้กระบวนการพยาบาล 5 ขั้นตอน และทฤษฎีทางการพยาบาลที่เกี่ยวข้องผลจากกรณีศึกษาเปรียบเทียบทั้ง 2 ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยรายที่ 1 เป็นชายไทย อายุ 77 ปี มีอาการซึม พูดไม่ชัด และอ่อนแรงซีกซ้ายภายใน 1 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ ได้รับยาละลายลิ่มเลือด ภายใน 3 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ ผู้ป่วยรายที่ 2 เป็นชายไทย อายุ 77 ปี มีอาการเวียนศีรษะและอ่อนแรงซีกซ้ายแบบค่อยเป็นค่อยไป ถูกส่งตัวมารักษาหลังเกิดอาการ 4 ชั่วโมง ได้รับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง และการประเมินเพื่อส่งตัวไปโรงพยาบาลศรีสะเกษและให้ยา ทั้ง 2 ราย แนวทางการพยาบาลมุ่งเน้นการเฝ้าระวังระบบประสาท ติดตามสัญญาณชีพ ควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาล ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และให้คำแนะนำแก่ญาติ หลังการรักษาพบว่า ผู้ป่วยรายที่ 1 ฟื้นตัวได้เร็วกว่ารายที่ 2 เนื่องจากได้รับการรักษาเร็วกว่า ดังนั้น พยาบาลควรให้ความสำคัญกับการประเมินที่รวดเร็วและให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและญาติในการควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อลดโอกาสเกิดโรคซ้ำ</p>
ธิติยา เนตรสุวรรณ, พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-26
2025-03-26
4 1
368
379
-
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อคจากการติดเชื้อในกระแสเลือด : กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4067
<p>ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) เป็นภาวะวิกฤตที่คุกคามต่อชีวิต เกิดจากระบวนการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกายอย่างรุนแรงและต่อเนื่องจนทำให้เกิดภาวะช็อค (Septic shock) ซึ่งนําไปสู่ภาวะที่มีอวัยวะล้มเหลวหลายระบบ ส่งผลให้เนื้อเยื่อหรือเซลล์ถูกทำลายและได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็วเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูงถึง 1 ใน 4 ของผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อทั้งหมด ถึงแม้ว่าปัจจุบันได้เริ่มมีการนำแนวทางการรักษา EGDT(early goal-directed therapy) มาประยุกต์ใช้ในการรักษาซึ่งถือได้ว่าเป็นฐานความรู้ใหม่ ที่ต้องทำความรู้จัก และคุ้นเคยในการนำมาประยุกต์ใช้การดูแลรักษาผู้ป่วย sepsis ตาม EGDT ต้องอาศัยความเหมาะสม ถูกต้อง รวดเร็ว โดยเน้น การคัดกรอง การรักษา การพยาบาล และการป้องกันภาวะแทรกซ้อน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต พิการ และเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา และไม่เพียงส่งผลกระทบต่อตัวผู้ป่วยเองแต่หากส่งผลกระทบต่อครอบครัว ชุมชน และสังคมด้วย การได้รับการวินิจฉัยและการรักษาพยาบาลที่ถูกต้องทันท่วงทีและมีแนวทางการป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อคจากการติดเชื้อในกระแสเลือดจะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตและพิการของผู้ป่วยลงได้ เพื่อลดอันตรายที่จะเกิดเพิ่มขึ้น ลดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ และกลับสู่สภาวะปกติหรือระยะที่ปลอดภัยโดยเร็ว ซึ่งพยาบาลห้องอุบัติเหตุฉุกเฉินมีบทบาทสำคัญในการคัดกรอง ประเมิน ดูแล เฝ้าระวังต่อเนื่อง ไม่ให้เข้าสู่ภาวะวิกฤต ที่ต้องมีทั้งความรู้ ทักษะและความชำนาญในการดูแล</p>
อุทิศ สุชาติ, พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-26
2025-03-26
4 1
380
395
-
การพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ได้รับยาเคมีบำบัด : กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/3784
<p>การพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ได้รับยาเคมีบำบัด เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความเข้าใจในการให้การพยาบาลและความร่วมมือระหว่างทีมสหสาขาวิชาชีพ การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดส่งผลข้างเคียงต่อผู้ป่วยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ พยาบาลจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดผลข้างเคียงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย กรณีศึกษาครั้งนี้ได้นำเสนอเกี่ยวกับการพยาบาลโดยใช้ทฤษฎีการปรับตัวของรอยมาเป็นกรอบแนวคิดในกระบวนการพยาบาล เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวให้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลง เลือกวิธีการปรับตัวที่เหมาะสมต่อการเผชิญหรือแก้ปัญหาที่ประสบจากการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และเป็นคู่มือสำหรับบุคลากรพยาบาลเพื่อให้การปฏิบัติการพยาบาลมีประสิทธิภาพ</p>
กนกพรรณ พนมแก่น, พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-28
2025-03-28
4 1
396
410
-
การพยาบาลผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรังที่มีภาวะปอดติดเชื้อร่วมกับมีภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4054
<p>การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรังที่มีภาวะปอดติดเชื้อร่วมกับมีภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลันจำนวน 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยในโรงพยาบาลศิลาลาด ในช่วงเวลาระหว่างสิงหาคม 2567 –กันยายน 2567 ศึกษาด้วยการประเมินภาวะสุขภาพตามแบบแผนของกอร์ดอน การใช้กระบวนการพยาบาล 5 ขั้นตอน และทฤษฎี ทางการพยาบาลที่เกี่ยวข้อง ผลจากกรณีศึกษาเปรียบเทียบทั้ง 2 รายราย กรณีศึกษารายที่ 1 ชายไทย อายุ 48 ปี มาด้วยอาการชักเกร็งตาค้าง คลื่นไส้อาเจียน หลังหยุดดื่มสุรา 3 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล ประวัติดื่มสุราทุกวัน ปฏิเสธโรคประจำตัว กรณีศึกษารายที่ 2 ชายไทย อายุ 71 ปี มาด้วยอาการ ไข้สูง สับสน ปัสสาวะราด หลังหยุดดื่มสุรามา 3 วัน ประวัติดื่มสุราทุกวัน ปฏิเสธโรคประจำตัว โดยกรณีศึกษาทั้ง 2 ราย พบว่ามีภาวะติดสุราและมีอาการมีภาวะถอนพิษสุรารุนแรง (alcohol withdrawal) มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (sepsis)ร่วมกับมีภาวะปอดอักเสบจากการสูดสำลัก(Aspiration Pneumonia) และมีระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลันผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาพยาบาลอาการถอนพิษสุราตามมาตรฐานการพยาบาล ประกอบด้วย การประเมินปัญหาและความต้องการ (ระยะแรกรับ/ระยะวิกฤต ระยะต่อเนื่อง ระยะวางแผนจำหน่าย) การวินิจฉัยทางการพยาบาล การวางแผนการพยาบาล การประเมินผลการปฏิบัติการพยาบาลการวางแผนจำหน่ายและการดูแลต่อเนื่อง และวางแผนการดูแลร่วมกันในทุกระยะของอาการเจ็บป่วย ได้รับการช่วยชีวิตโดยการใส่ท่อช่วยหายใจ ส่งไปรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ ความแตกต่างในเรื่อง อายุ และภาวะสุขภาพ ภาวะแทรกซ้อนของโรคทำให้ระดับความรุนแรงของโรคแตกต่างกัน โดยกรณีรายที่ 1 ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีสะเกษและจำหน่ายกลับบ้านมีแนวโน้มเป็นผู้ป่วยติดเตียง ส่วนกรณีศึกษารายที่ 2 ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีสะเกษจำหน่ายโดยผู้ป่วยเสียชีวิตในโรงพยาบาล ผู้ศึกษาได้มีการติดตามผู้ป่วยหลังจำหน่ายจากโรงพยาบาลศิลาลาดประสานทีมสหวิชาชีพในการให้คำแนะนำและให้กำลังใจครอบครัวของหลังจำหน่าย</p>
สุนิสา มุขขันธ์, พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-28
2025-03-28
4 1
411
425
-
การพยาบาลมารดาและทารกที่มีผลเลือด VDRL เป็นบวก : กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4230
<p>การศึกษานี้นำเสนอกรณีศึกษาเปรียบเทียบหญิงตั้งครรภ์ 2 รายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซิฟิลิสระหว่างการฝากครรภ์ ทั้งสองรายมีความแตกต่างกันในแง่ของอายุครรภ์ขณะวินิจฉัย การรักษา และภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด โดยรายแรกเป็นหญิงอายุ 18 ปี ครรภ์แรก ได้รับการวินิจฉัยในไตรมาสที่ 2 และได้รับการรักษาครบถ้วน ส่วนรายที่สองเป็นหญิงอายุ 24 ปี ครรภ์ที่สอง วินิจฉัยในไตรมาสที่ 3 และได้รับการรักษาครบถ้วน แต่มีค่า VDRL ที่ต่ำกว่าและมีภาวะแทรกซ้อนหลังคลอดที่แตกต่างกัน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรอง การวินิจฉัยที่รวดเร็ว และการรักษาที่ครบถ้วนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารก</p>
บุญญลักษณ์ น้อยแสง, พย.บ.
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-31
2025-03-31
4 1
426
434