วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลการศึกษาวิจัยทางด้านการพัฒนาคุณภาพงานสาธารณสุข และคุณภาพชีวิตของผู้ปฏิบัติงาน บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข</li> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านการแพทย์และด้านสาธารณสุขของบุคลากรสาธารณสุขทั้งใน และนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข</li> <li>เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านสุขภาพของนักวิจัย อาจารย์ นิสิต นักศึกษา</li> <li>เป็นแหล่งวิชาการสำหรับบุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงประชาชนทั่วไปในประเทศและนานาชาติได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และพัฒนาคุณภาพวิชาการให้เข้าสู่มาตรฐานตามหลักสากล</li> </ol> th-TH <p>เนื้อหาและข้อมูล (เขียนข้อกำหนด)</p> quality.phssk@gmail.com (กลุ่มงานพัฒนาคุณภาพและรูปแบบบริการ) srisantisang@gmail.com (นางสาวเนาวรัตน์ ศรีสันติแสง (Miss Naovarat Srisantisang)) Wed, 08 Oct 2025 09:41:18 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลของโปรแกรมพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนตำบลหนองค้า อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4807 <p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนตำบลหนองค้า อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ดูแลหลักในครอบครัวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านหนองค้า ตำบลหนองค้า และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสำโรง ตำบลพรหมสวัสดิ์ ทั้งสองกลุ่มอาศัยอยู่ในอำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยการเลือกแบบเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 33 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับการดูแลสุขภาพตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการในช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2568 รวมเป็นระยะเวลาเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ โดยใช้แบบสัมภาษณ์ และการประเมินความรู้ ทักษะการดูแล สมรรถนะของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ภาระการดูแลผู้สูงอายุ คุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้สูงอายุ การมีส่วนร่วมของครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุ (ADL) ความพึงพอใจต่อการได้รับดูแลของผู้สูงอายุ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และมัธยฐาน และวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยภายในและระหว่างกลุ่มด้วย Paired t-test และ Independent t-test กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยด้านประเมินความรู้ ทักษะการดูแล สมรรถนะของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ภาระการดูแลผู้สูงอายุ คุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้สูงอายุ การมีส่วนร่วมของครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุ(ADL) ความพึงพอใจต่อการได้รับดูแลของผู้สูงอายุสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) และคะแนนเฉลี่ยด้านภาระการดูแลผู้สูงอายุต่ำกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) สรุปได้ว่า โปรแกรมพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนตำบลหนองค้า อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ สามารถเพิ่มศักยภาพของผู้ดูแลผู้สูงอายุในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้มีสุขภาพดีขึ้นและเกิดความพึงพอใจในการได้รับการดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> สุคนธ์ทิพย์ อรุณกมลพัฒน์, ธัญาณิช คำพอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4807 Tue, 14 Oct 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านศรีอุดม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4673 <p>การวิจัยกึ่งทดลอง(Quasi-Experimental Design) ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านศรีอุดม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยใช้รูปแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง (Two group pretest- posttest design) กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มควบคุม 30 คน รวมทั้งสิ้น 60 คน ได้จากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มทดลองได้รับรูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ส่วนกลุ่มความคุมการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแบบปกติ ระยะเวลาดำเนินการ 8 สัปดาห์ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน(ADL) และแบบประเมินคุณภาพชีวิต(QOL) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Paired t-test เพื่อเปรียบเทียบผลภายในกลุ่ม และ Independent t-test เพื่อเปรียบเทียบผลระหว่างกลุ่ม</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า หลังการทดลองนำรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแบบมีส่วนร่วมของชุมชน กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวัน(ADL) และคะแนนเฉลี่ยคุณภาพชีวิต(QOL) ของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 (p = 0.018 และ p &lt; 0.001 ตามลำดับ) จากผลการทดลอง รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแบบมีส่วนร่วมของชุมชนที่พัฒนาขึ้นสามารถเพิ่มศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้สอดคล้องกับบริบทในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านศรีอุดม ส่งผลดีกับคุณภาพชีวิตและสุขภาพของผู้สูงอายุ ตอบสนองต่อการวางแผนเตรียมรับสถานการณ์ การเป็นสังคมผู้สูงอายุในระยะยาวและนำไปใช้ในพื้นที่อื่นๆ ได้อย่างต่อเนื่องทุกระยะของความเจ็บป่วย ส่งเสริมความฟื้นหาย ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน ลดการกลับมารักษาซ้ำในโรงพยาบาล ลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา รวมทั้งเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง</p> นพรัตน์ แดงทน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4673 Fri, 24 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลการผ่าตัดต้อกระจกในโรงพยาบาลอุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4800 <p>ต้อกระจกเป็นสาเหตุของการตาบอดทั่วโลกในผู้สูงอายุ การผ่าตัดเป็นวิธีรักษาหลักที่ช่วยฟื้นฟูการมองเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีเทคนิคที่ใช้ทั่วไปคือ phacoemulsification และ extracapsular cataract extraction (ECCE) ซึ่งให้ผลลัพธ์และความซับซ้อนแตกต่างกัน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบผลการมองเห็นและภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดต้อกระจกระหว่างวิธี phacoemulsification และ ECCE ในโรงพยาบาลอุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ระหว่างปีงบประมาณ 2564–2566 โดยเป็นการศึกษาแบบย้อนหลังเชิงวิเคราะห์ (retrospective analytic study) โดยเก็บข้อมูลเวชระเบียนผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกจำนวน 224 ราย วิเคราะห์การมองเห็นด้วยค่า logMAR ก่อนผ่าตัด หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์ และ 1 เดือน เปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม ECCE และ phacoemulsification ใช้สถิติ Friedman test, Mann–Whitney U test และ Chi-square test โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p &lt; 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่าค่าการมองเห็น (logMAR) ของผู้ป่วยดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากค่ามัธยฐาน 1.60 (IQR 1.0–1.9) ก่อนผ่าตัด เปลี่ยนเป็น 0.33 (IQR 0.16–0.54) ที่ 1 เดือนหลังผ่าตัด (Z = 12.789, p &lt; 0.001, r = 0.855) กลุ่มที่ผ่าตัดด้วยวิธี phacoemulsification มีการมองเห็นดีกว่ากลุ่ม ECCE อย่างมีนัยสำคัญทั้งที่ 1 สัปดาห์ และ 1 เดือนหลังผ่าตัด(p &lt; 0.001) ภาวะแทรกซ้อนที่พบ ได้แก่ กระจกตาบวม (3.1%) และถุงหุ้มเลนส์ฉีกขาด (1.8%) โดยไม่พบภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การติดเชื้อในลูกตา</p> <p>การผ่าตัดต้อกระจกทั้งสองวิธีสามารถฟื้นฟูการมองเห็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธี phacoemulsification ให้ผลลัพธ์ดีกว่า ECCE อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการศึกษาเป็นแบบย้อนหลังและไม่ได้ปรับ Confounder factor ผลลัพธ์จึงควรตีความด้วยความระมัดระวัง และควรมีการศึกษาติดตามในระยะยาวเพื่อยืนยันผล</p> ธมนวรรณ โสระเวช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4800 Tue, 28 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินสำหรับผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินแบบบูรณาการ ในพื้นที่อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4752 <p>ภาวะจิตเวชฉุกเฉินในพื้นที่ชนบทห่างไกลเป็นความท้าทายที่สำคัญของระบบสาธารณสุขไทย เนื่องจากข้อจำกัดด้านทรัพยากร การเข้าถึงบริการ และการขาดกลไกประสานงานที่มีประสิทธิภาพ การวิจัยนี้จึงมุ่งพัฒนารูปแบบการแพทย์ฉุกเฉินแบบบูรณาการโดยมีชุมชนเป็นฐาน เพื่อแก้ไขช่องว่างดังกล่าว วัตถุประสงค์: เพื่อ 1) วิเคราะห์สถานการณ์และความต้องการจำเป็นในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉิน 2) พัฒนารูปแบบการแพทย์ฉุกเฉินแบบบูรณาการ และ 3) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ระเบียบวิธีวิจัย: เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ดำเนินการ 4 ระยะในพื้นที่อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 15 คนในระยะพัฒนารูปแบบ และผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวช 60 คนในระยะประเมินผล เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC = 0.80-1.00) และความเที่ยง (Cronbach’s Alpha = 0.82) และแนวคำถามสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน (Paired t-test, Chi-square) และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย: ระยะที่ 1 พบว่าระบบเดิมขาดการประสานงาน ผู้ดูแลขาดความรู้เรื่องสัญญาณเตือน และพึ่งพิงเครือข่ายไม่เป็นทางการ ระยะที่ 2 ได้ “รูปแบบการดูแลฉุกเฉินจิตเวชแบบบูรณาการฉบับโนนคูณ” ซึ่งประกอบด้วย 1) ระบบการคัดแยก ณ จุดเกิดเหตุ 2) คู่มือปฏิบัติการสำหรับทีมสหวิชาชีพ และ 3) เครือข่ายเฝ้าระวังโดยชุมชน ภายหลังการนำรูปแบบไปใช้ 10 สัปดาห์ พบว่าผู้ดูแลมีความรู้เรื่องสัญญาณเตือนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p &lt;.001) การแจ้งเหตุผ่านระบบการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS) เพิ่มขึ้นจาก 46.1% เป็น 90.0% (p &lt;.001) การเข้าถึงบริการเพิ่มขึ้น 84.3% และอุบัติการณ์ความรุนแรงในชุมชนลดลง 90.4% สรุป: รูปแบบการแพทย์ฉุกเฉินแบบบูรณาการที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิผลในการเพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดความรุนแรง และเสริมสร้างขีดความสามารถของชุมชนในการจัดการภาวะจิตเวชฉุกเฉิน จึงควรได้รับการพิจารณาเพื่อขยายผลในพื้นที่ชนบทอื่น ๆ ต่อไป</p> พนิดา สารกอง, สิริมาบังอร หลาวทอง, พรชัย คำจันทร์ลา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ววารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4752 Thu, 13 Nov 2025 00:00:00 +0700 การจัดการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพและบริการสุขภาพที่ผิดกฎหมายในยุคดิจิตอล จังหวัดศรีสะเกษ โดยใช้ Application https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4561 <p>งานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคด้านสาธารณสุขมีภารกิจเฝ้าระวัง/ ตรวจสอบ/ ควบคุมกำกับด้านการโฆษณาผลิตภัณฑ์ และบริการสุขภาพตลอดจนพัฒนาระบบการจัดการความเสี่ยงด้านสื่อภายในจังหวัดศรีสะเกษ ประกอบกับมีนโยบายส่งเสริม/ป้องกันและการคุ้มครองผู้บริโภค ประชาชนได้รับการคุ้มครองการบริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพและบริการสุขภาพ มีความปลอดภัยช่องทางการโฆษณาจากสื่อ การโฆษณาโอ้อวดเกินจริง ที่อ้างสรรพคุณเกินจริงหลอกลวงทำให้เข้าใจผิดส่งผลกระทบให้ผู้บริโภคสูญเสียเงินและได้รับอันตรายต่อสุขภาพ ได้รับผลิตภัณฑ์สุขภาพและบริการสุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่เหมาะสม วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสถานการณ์การโฆษณาผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ/พัฒนากลยุทธ์การเฝ้าระวังและจัดการโฆษณาที่ผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในจังหวัดศรีสะเกษ ระเบียบวิจัย Action research ระยะเวลาการดำเนินการ มิถุนายน 2566 – 1 กรกฎาคม 2567 ประชากรที่ศึกษา สถานีวิทยุกระจายเสียง 80 แห่ง,สถานบริการสุขภาพเอกชน 401 แห่ง,แพลตฟอร์มออนไลน์ 8 แพลตฟอร์ม สถิติที่ใช้ จำนวน/ร้อยละ การดำเนินงาน ศึกษาปัญหา สืบค้นข้อมูล ทบทวนวรรณกรรม วางแผน สร้างเครือข่ายในการจัดการโฆษณา, สร้างเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล/รายงานโฆษณาที่ผิดกฎหมายภายในจังหวัด สื่อสารนโยบายให้ผู้รับผิดชอบงานและเครือข่ายใช้เครื่องมือที่พัฒนา มีการพัฒนา ขยายผลเครื่องมือต่อยอด Dashboard ในการวิเคราะห์จำแนก แจกแจง ความถี่ สถิติในการเกิด event งานโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพและบริการสุขภาพภายในจังห วัด นำไปสู่การกำกับ ติดตาม และจัดการปัญหาการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพและบริการสุขภาพในพื้นที่</p> <p>ผลการศึกษา ความครอบคลุมในการเฝ้าระวังงานโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพทางสื่อวิทยุกระจายเสียงและการบริการสุขภาพที่ผิดกฎหมายทางสื่อ 100% การปิดกั้นสื่อและกด Report ในสื่อออนไลน์ 8 แฟลตฟอร์ม (Facebook, Line, twitter, Instagram, YouTube, Shopee, Lazada, TikTok) สื่อวิทยุกระจายเสียง,ป้าย,สื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหมด 684 ชิ้นงาน ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เสี่ยงผิดกฎหมาย 376 ชิ้นงาน (ร้อยละ 54.97) และบริการสุขภาพที่เสี่ยงผิดกฎหมาย 308 ชิ้นงาน (ร้อยละ 45.03) ปี 2565 ส่งดำเนินคดี 8 ชิ้น, สั่งระงับโฆษณา 5 ชิ้น (ทางสื่อวิทยุ) ปี 2566 ส่งดำเนินคดี 6 ชิ้น/ สั่งระงับโฆษณา 1 (ทางสื่อวิทยุ) ปี 2567 ส่งดำเนินคดี 2 ชิ้น, สั่งระงับโฆษณา (กำลังดำเนินการ) และสั่งระงับการโฆษณาสถานบริการสุขภาพ 12 แห่ง และกำลังดำเนินคดี 7 แห่ง การจัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพทางสื่อวิทยุกระจายเสียงที่ผิดกฎหมายโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพกลุ่มเสี่ยงที่ผิดกฎหมายลดลง ปี 2566 ลดลง ร้อยละ 70 และ ปี 2567 ลดลง ร้อยละ 66.7 สรุปและข้อเสนอแนะ การจัดการโฆษณาที่ผิดกฎหมายต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง นโยบาย ผู้บริหาร เครือข่าย เครื่องมือ แนวทางการปฏิบัติงาน และการบังคับใช้กฎหมายหน่วยงานกำกับดูแลควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ตรวจสอบโฆษณาอย่างสม่ำเสมอ ดำเนินการกับ ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย สื่อสารประชาสัมพันธ์ การรู้เท่าทันโฆษณาและความร่วมมือของผู้ประกอบการควรมีการกำกับดูแลตนเอง โฆษณาอย่างถูกต้อง ไม่โอ้อวดเกินจริง ไม่โฆษณาที่ไม่เหมาะสม</p> <p><strong> </strong></p> สิรินญา ปาทาน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4561 Thu, 27 Nov 2025 00:00:00 +0700 การสังเคราะห์บทบาทพยาบาลในการพัฒนาระบบบริการคลินิกโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลชุมชน : การทบทวนตามกรอบ Service Plan COPD https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4830 <p>โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทย ที่มีแนวโน้มอัตราป่วยและเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและภาระค่าใช้จ่ายของระบบสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้กำหนด Service Plan COPD เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายหลัก 5 ประการคือ ลดอัตราการเสียชีวิต ลดการนอนโรงพยาบาลซ้ำ เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย พัฒนาเครือข่ายบริการสุขภาพ และพัฒนาศักยภาพบุคลากร บทความฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนและสังเคราะห์บทบาทของพยาบาลในการพัฒนาระบบบริการคลินิกโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังในโรงพยาบาลชุมชน โดยใช้กรอบแนวคิด 3P ได้แก่ Purpose, Process, Performance เป็นแนวทางวิเคราะห์ ผลการทบทวนพบว่าบทบาทของพยาบาลในกระบวนการดูแลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงานคลินิก โดยประกอบด้วย การประเมินและคัดกรองผู้ป่วยด้วยเครื่องมือมาตรฐานเพื่อจำแนกระดับความรุนแรงของโรค การวางแผนการดูแลและติดตามต่อเนื่องโดยประยุกต์แนวคิดการจัดการรายกรณีและการเยี่ยมบ้าน การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดและส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการหายใจ การประสานงานเครือข่ายบริการสุขภาพระหว่างโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และชุมชนเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการดูแล และการพัฒนาระบบบริการ รวมทั้งศักยภาพบุคลากรผ่านการอบรม การจัดทำแนวทางปฏิบัติทางคลินิก และการประเมินคุณภาพบริการทางการพยาบาล กระบวนการดังกล่าวเชื่อมโยงโดยตรงกับผลลัพธ์ของ Service Plan COPD คือ ลดการเสียชีวิต ลดการกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำ และเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากการทบทวนชี้ให้เห็นความจำเป็นในการสนับสนุนทรัพยากร เครื่องมือ ระบบข้อมูล และการพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลให้มีความเชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายใจ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานคลินิกโรคปอดอุดกินเรื้อรัง ในโรงพยาบาลชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาระบบบริการสุขภาพของประเทศไทย</p> บุญทิต อสิพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาสุขภาพศรีสะเกษ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SJRH/article/view/4830 Wed, 26 Nov 2025 00:00:00 +0700