https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/issue/feed
วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
2025-07-04T09:17:15+07:00
รองศาสตรจารย์ ดร.เตชภณ ทองเติม
spsc_journal@sskru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย (Journal of Sports Science and Health Innovation, Rajabhat University Group of Thailand: SHIRT) เป็นวารสารทางวิชาการของ เครือข่ายสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการและบทความวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา การออกกำลังกาย พลศึกษา สุขศึกษา นันทนาการ และการบูรณาการศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้หลักวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพสู่ชุมชนและท้องถิ่น <strong>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ท่าน </strong>โดยมีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 4 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม) ฉบับที่ 2 (เมษายน - มิถุนายน) ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม - กันยายน) และ ฉบับที่ 4 (ตุลาคม - ธันวาคม)</p> <p><strong>ISSN : 2821-9511 (Online)</strong></p>
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4085
การวิเคราะห์ทางคิเนเมติกส์ของการยิงประตูในนักกีฬาบาสเกตบอลทีมชาย มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตศรีสะเกษ
2025-04-23T07:52:54+07:00
พิชชานันท์ ไชโย
pitchanunt.chaiyo@gmail.com
<p class="p1">งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์คิเนเมติกส์ของการยิงประตูบาสเกตบอลได้แก่ ระยะในการยิงประตู แนวการยิงประตู มุมขณะหลุดมือของลูกบาสเกตบอลขณะยิงประตู ความเร็วต้นในแนวระดับ และความเร็วต้นของลูกบาสเกตบอล กลุ่มตัวอย่างคือ นักกีฬาบาสเกตบอลทีมชายจำนวน<span class="s1"> 12 </span>คน อายุระหว่าง<span class="s1"> 19-21 </span>ปี การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการโดยใช้โปรแกรมคิโนเวีย เวอร์ชัน<span class="s1"> 0.9.5 (Kinovea 0.9.5) </span>และวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร โดยใช้สถิติสหสัมพันธ์เพียร์สัน<span class="s1"> </span>การวิจัยครั้งนี้ได้กำหนดระยะในการยิงประตูเป็น<span class="s1"> 3 </span>ระยะ คือ<span class="s1"> 2.5 4.5 </span>และ<span class="s1"> 6.5 </span>เมตร และมีแนวการยิงคือ<span class="s1"> 30 45 60 90 120 135 150 </span>องศา โดยมีทั้งหมด<span class="s1"> 21 </span>ตำแหน่ง ผลการวิจัย พบว่า ระยะที่ยิงประตูเป็นผล โดยมีคะแนนและความถี่ของการยิงประตูเป็นผลมากที่สุดคือ ระยะ<span class="s1"> 2.5 </span>เมตร ซึ่งเป็นระยะที่มีความแม่นยำในการยิงประตูมากที่สุด ผลการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรของคะแนนกับความถี่ของการยิงประตูเป็นผล ความเร็วต้นในแนวระดับ และความเร็วต้นของลูกบาสเกตบอล พบว่า มีความสัมพันธ์กับระยะในการยิงประตูของนักกีฬาบาสเกตบอล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<span class="s1"> 0.01 </span>และผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของมุมขณะหลุดมือของการยิงประตู พบว่า มีความสัมพันธ์กับระยะในการยิงประตูของนักกีฬาบาสเกตบอลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<span class="s1"> 0.05 </span>แต่อย่างไรก็ตาม ผลการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรของคะแนนกับความถี่ของการยิงประตูเป็นผล ความเร็วต้นในแนวระดับ และความเร็วต้นของลูกบาสเกตบอล พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กับแนวการยิงประตูของนักกีฬาบาสเกตบอล ในขณะที่ผลการวิเคราะห์มุมขณะหลุดมือของลูกบาสเกตบอลขณะยิงประตู พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กับแนวการยิงประตูของนักบาสเกตบอล ดังนั้น ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นว่า ระยะการยิงมีผลต่อประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ มุมปล่อยลูกและความเร็วลูกมีบทบาทสำคัญต่อความแม่นยำ และตัวแปรคิเนเมติกส์มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการยิงประตูในลักษณะที่สามารถนำไปใช้พัฒนาเทคนิคการฝึกซ้อมได้อย่างเป็นระบบ</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4124
ผลของการเดินเร็วแบบกำหนดความหนักร่วมกับการบริโภคแตงกวาต่อดัชนีมวลกาย และเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน
2025-04-18T13:21:50+07:00
อรัทยา ถนอมเมฆ
kok.sarakul@gmail.com
ปริวัตร ปาโส
kok.sarakul@gmail.com
พนิดา ชูเวช
kok.sarakul@gmail.com
กฤติยา ชูรัตน์
kok.sarakul@gmail.com
รวิพร อภิเนตร
kok.sarakul@gmail.com
กฤษธชัย สารกุล
kok.sarakul@gmail.com
<p class="p1">การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเดินเร็วแบบกำหนดความหนักร่วมกับการบริโภคแตงกวาต่อดัชนีมวลกายและเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายของผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน กลุ่มตัวอย่างเป็นอาสาสมัครเพศหญิงจำนวน<span class="s1"> 50 </span>คน แบ่งเป็น<span class="s1"> 2 </span>กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลองจำนวน<span class="s1"> 25 </span>คน เข้าร่วมโปรแกรมเดินเร็วแบบกำหนดความหนัก สัปดาห์ละ<span class="s1"> 3 </span>วัน วันละ<span class="s1"> 40 </span>นาที ร่วมกับการบริโภคแตงกวา<span class="s1"> 200 </span>กรัมต่อวัน และกลุ่มควบคุมจำนวน<span class="s1"> 25 </span>คน เข้าร่วมโปรแกรมเดินเร็วในรูปแบบเดียวกันเพียงอย่างเดียว ระยะเวลา<span class="s1"> 8 </span>สัปดาห์ เก็บข้อมูลโดยการวัดน้ำหนักและส่วนสูง และใช้เครื่องวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกายในการวัดเปอร์เซ็นต์ไขมัน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ<span class="s1"> t-test </span>ที่ระดับนัยสำคัญ<span class="s1"> .05 </span>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีค่าดัชนีมวลกายลดลงจาก<span class="s1"> 31.28 ± 8.37 </span>เป็น<span class="s1"> 28.62 ± 5.86 </span>กก<span class="s1">./</span>ตร<span class="s1">.</span>ม<span class="s1">. </span>และเปอร์เซ็นต์ไขมันลดลงจาก<span class="s1"> 32.36 ± 10.90% </span>เป็น<span class="s1"> 27.88 ± 5.36% </span>อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<span class="s1"> (p = .001) </span>โดยมีค่าขนาดอิทธิพล เท่ากับ<span class="s1"> 0.37 </span>และ<span class="s1"> 0.52 </span>ตามลำดับ ซึ่งแสดงถึงผลในระดับเล็กถึงปานกลาง และระดับปานกลางตามลำดับ ขณะที่กลุ่มควบคุมมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยมีค่าขนาดอิทธิพล เท่ากับ<span class="s1"> 0.04 </span>ถือว่ามีผลในระดับต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่า<span class="s1"> </span>ดัชนีมวลกายและเปอร์เซ็นต์ไขมันลดลงมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<span class="s1"> (p = .004 </span>และ<span class="s1"> .002 </span>ตามลำดับ<span class="s1">) </span>สรุปได้ว่า การเดินเร็วแบบกำหนดความหนักร่วมกับการบริโภคแตงกวาอย่างสม่ำเสมอ เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักและไขมันในร่างกายของผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน และสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืน</p>
2025-06-07T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4235
ผลของการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ที่มีต่อทักษะทางสังคมของนักศึกษาปริญญาตรี
2025-05-16T16:17:10+07:00
ศักดา สวัสดิ์วร
Kittipong.aum43@gmail.com
ดิศพล บุปผาชาติ
Kittipong.aum43@gmail.com
ธนาวรรณ นุ่นจันทร์
Kittipong.aum43@gmail.com
กรกนก แสนโคตร
Kittipong.aum43@gmail.com
กิตติพงศ์ มาตสาร
Kittipong.aum43@gmail.com
<p class="p1">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์<span class="s1"> 1) </span>เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสังคมก่อนและหลังการทดลองของนักศึกษากลุ่มทดลองที่เข้าร่วมการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ<span class="s1"> 2) </span>เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสังคมหลังการทดลองระหว่างนักศึกษากลุ่มทดลองที่เข้าร่วมการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือกับนักศึกษากลุ่มควบคุมที่เข้าร่วมการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบปกติ และ<span class="s1"> 3) </span>เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนจากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือดังกล่าว โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาปริญญาตรี สาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา<span class="s1"> 1093205 </span>วอลเลย์บอล จำนวน<span class="s1"> 56 </span>คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่<span class="s1"> 1) </span>แผนจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ<span class="s1"> 2) </span>มาตรวัดทักษะทางสังคม และ<span class="s1"> 3) </span>แบบประเมินความ<span class="s1"> </span>พึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า<span class="s1"> 1) </span>ค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะทางสังคมหลังการทดลองของนักศึกษากลุ่มทดลองที่เข้าร่วมการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<span class="s1"> .05 2) </span>ค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะทางสังคม หลังการทดลองระหว่างนักศึกษากลุ่มทดลองที่เข้าร่วมการเรียนรู้แบบร่วมมือสูงกว่านักศึกษากลุ่มควบคุมที่เข้าร่วมการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<span class="s1"> .05 </span>และ<span class="s1"> 3) </span>ค่าเฉลี่ยของคะแนนความพึงพอใจของผู้เรียนจากการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวอยู่ในระดับมาก</p>
2025-06-07T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4440
ความเต็มใจจ่ายของนักท่องเที่ยวเจนเนอเรชั่น Z เพื่อเข้าร่วม กิจกรรมนันทนาการท่องเที่ยวเชิงอาสาสมัคร
2025-07-01T20:01:07+07:00
คมสิทธิ์ เกียนวัฒนา
komsit@g.swu.ac.th
กฤติกา สายณะรัตร์ชัย
komsit@g.swu.ac.th
ศรัญญา ศรีทอง
komsit@g.swu.ac.th
อุษณีย์ วัชรไพศาลกุล
komsit@g.swu.ac.th
ทัศตะวัน ด่วนตระกูลศิลป์
komsit@g.swu.ac.th
<p class="p1">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเต็มใจจ่าย<span class="s1"> (Willingness to Pay: WTP) </span>ของนักท่องเที่ยวเจเนอเรชั่น<span class="s1"> Z </span>ชาวไทยที่มีประสบการณ์ในการเข้าร่วมกิจกรรมอาสาสมัครแบบระยะสั้น ซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบของนันทนาการการท่องเที่ยว และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจจ่ายเงินเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว โดยการวิจัยใช้รูปแบบวิธีเชิงปริมาณ เก็บข้อมูล<span class="s1"> </span>จากกลุ่มตัวอย่าง<span class="s1"> 385 </span>คน ด้วยการใช้แบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ใช้เทคนิค<span class="s1"> Bidding Game </span>และการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ร้อยละ<span class="s1"> 41.77 </span>ยินดีจ่ายในราคาสูงสุดที่<span class="s1"> 175 </span>บาท โดยมีค่าเฉลี่ย<span class="s1"> WTP </span>อยู่ที่<span class="s1"> 146.92 </span>บาท สะท้อนชัดว่าตัวแปรเพศและรายได้สุทธิมีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเพศชายมีแนวโน้มการจ่ายมากกว่า และรายได้ที่สูงกลับสัมพันธ์กับ<span class="s1"> WTP </span>ที่ต่ำกว่า ทั้งนี้สามารถอธิบายความแปรปรวนได้เพียงร้อยละ<span class="s1"> 1.8 </span>แสดงให้เห็นว่าปัจจัยด้านจิตใจ ค่านิยม หรือประสบการณ์ส่วนตัวนั้น อาจมีอิทธิพลมากกว่า<span class="s1"><span class="Apple-converted-space"> </span></span></p> <p class="p1">งานวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการออกแบบกิจกรรมและกำหนดราคาที่เหมาะสม เพื่อจูงใจกลุ่มนักท่องเที่ยว<span class="s1"> </span>เจเนอเรชั่น<span class="s1"> Z </span>ให้เข้าร่วมกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอาสาสมัคร ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของประเทศในระยะยาว</p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4044
การจัดการความเครียดและความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรคของนักกีฬา ในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 49
2025-03-11T07:59:22+07:00
กัลพฤกษ์ พลศร
Kanlapruk.p@ku.th
ณัฐชนนท์ ซังพุก
Kanlapruk.p@ku.th
<p class="p1">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบการเผชิญ การจัดการความเครียด และความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรคของนักกีฬาในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่<span class="s1"> 49 </span>ประชากรเป็นนักกีฬาทุกประเภทกีฬาซึ่งเป็นตัวแทนจากมหาวิทยาลัยในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม<span class="s1"> </span>ที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยครั้งที่<span class="s1"> 49 </span>รอบมหกรรม และกลุ่มตัวอย่างจำนวน<span class="s1"> 900 </span>คน ที่ตอบแบบประเมินความเครียดและการจัดการความเครียดของนักกีฬา ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอนได้แก่ การสุ่มชนิดกีฬาใช้สุ่มแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน<span class="s1"> 18 </span>ชนิดกีฬาจาก<span class="s1"> 36 </span>ชนิดกีฬาที่มีการแข่งขันและ การสุ่มนักกีฬาที่ผ่านรอบคัดเลือก<span class="s1"> (</span>รอบ<span class="s1"> 8 </span>คน<span class="s1">/</span>ทีมสุดท้าย<span class="s1">) </span>ใช้วิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ จำนวน<span class="s1"> 18 </span>คน ดำเนินการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินความเครียด การจัดการความเครียดและความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรคของนักกีฬา และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลใช้ความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สเปียร์แมนแรงค์ และการสรุปผลการสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า การเผชิญความเครียดของนักกีฬา โดยรวมอยู่ในระดับมาก<span class="s1"> ( = 3.74) </span>ส่วนใหญ่มีทักษะการจัดการความเครียดทางการกีฬาได้บ่อย มีความสามารถในการเผชิญและฝ่าอุปสรรคโดยรวมอยู่ในระดับมาก<span class="s1"> ( = 3.87) </span>เมื่อเปรียบเทียบนักกีฬาที่มีเพศต่างกันและนักกีฬาที่มีประสบการณ์การเข้าร่วมการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยที่ต่างกัน มีความสามารถเผชิญความเครียดได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<span class="s1"> 0.05 </span>และเมื่อเปรียบเทียบนักกีฬาที่มีเพศต่างกันและนักกีฬาที่มีประสบการณ์การเข้าร่วมการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยที่ต่างกัน มีความสามารถในการเผชิญและฝ่าอุปสรรคได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<span class="s1"> 0.05<span class="Apple-converted-space"> </span></span></p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4413
การเปรียบเทียบผลของการฝึกแบบวงจรสถานีและแอโรบิกระดับความเข้มข้นปานกลาง ต่อองค์ประกอบของร่างกายในอาสาสมัครเพศชายที่มีสุขภาพดี
2025-07-04T09:17:15+07:00
กฤษธชัย สารกุล
arattha105@gmail.com
ปริวัตร ปาโส
arattha105@gmail.com
พนิดา ชูเวช
arattha105@gmail.com
อรัทยา ถนอมเมฆ
arattha105@gmail.com
<p class="p1">การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของการฝึกแบบวงจรสถานีและการฝึกแอโรบิกที่มีต่อองค์ประกอบของร่างกายในกลุ่มอาสาสมัครเพศชายที่มีสุขภาพดี อายุระหว่าง<span class="s1"> 18-25 </span>ปี โดยใช้โปรแกรม<span class="s1"> G*Power </span>คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างจำนวน<span class="s1"> 60 </span>คน และสุ่มแบ่งกลุ่มเป็น<span class="s1"> 2 </span>กลุ่ม กลุ่มที่<span class="s1"> 1 </span>ฝึกแบบวงจรสถานี และกลุ่มที่<span class="s1"> 2 </span>ฝึกแอโรบิก ทั้งสองกลุ่มฝึกวันละ<span class="s1"> 50 </span>นาที<span class="s1"> 3 </span>วันต่อสัปดาห์ ระยะเวลา<span class="s1"> 8 </span>สัปดาห์ โดยเก็บข้อมูลก่อนและหลังการฝึกเกี่ยวกับค่าดัชนีมวลกาย มวลกล้ามเนื้อ มวลไขมัน เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย และมวลกระดูก การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การทดสอบค่า<span class="s1"> t </span>และคำนวณขนาดของผล<span class="s1"> (Cohen’s d) </span>เพื่อประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังการฝึก พร้อมทั้งคำนวณช่วงความเชื่อมั่นที่ร้อยละ<span class="s1"> 95 </span>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มฝึกแบบวงจรสถานีมีมวลกล้ามเนื้อและมวลกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<span class="s1"> (p < 0.05) </span>โดยมีค่า<span class="s1"> Effect Size (Cohen’s d) </span>เท่ากับ<span class="s1"> 1.29 </span>และ<span class="s1"> 0.59 </span>ตามลำดับ ในขณะที่กลุ่มฝึกแอโรบิกมีมวลไขมันและเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<span class="s1"> (p < 0.05) </span>โดยมีค่า<span class="s1"> Effect Size (Cohen’s d) </span>เท่ากับ<span class="s1"> -1.14 </span>และ<span class="s1"> -1.29 </span>ตามลำดับ ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า การฝึกแบบวงจรสถานีมีผลดีต่อการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและมวลกระดูก ส่วนการฝึกแอโรบิกมีผลดีต่อการลดมวลไขมันและเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในการเลือกโปรแกรมการฝึกที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์ในการพัฒนาสมรรถภาพทางกาย</p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4069
การประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้บริการห้องออกกำลังกายในสถาบันการศึกษา: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยบูรพา
2025-03-30T15:43:46+07:00
วนิษา ศรีรอบรู้
wanisa@go.buu.ac.th
อัตถสิทธิ์ ไชยณรงค์
austasit@go.buu.ac.th
อรวรีย์ อิงคเตชะ
onwaree@go.buu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการห้องออกกำลังกาย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยนิสิต บุคลากร และบุคคลทั่วไป จำนวน 384 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือหลักในการเก็บข้อมูล ซึ่งครอบคลุมข้อมูลด้านปัจจัยส่วนบุคคล พฤติกรรมการใช้บริการ และความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการแจกแจงความถี่ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ใช้บริการร้อยละ 93.23 เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา โดยมีพฤติกรรมการใช้บริการห้องออกกำลังกาย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ (ร้อยละ 61.46) สาเหตุหลักที่เลือกใช้บริการ ได้แก่ ความสะดวกในการเดินทาง ค่าบริการที่เหมาะสม และความหลากหลายของอุปกรณ์และโปรแกรมการออกกำลังกาย ผู้ใช้บริการมีเป้าหมายหลักในการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมัน และดูแลสุขภาพโดยรวม ระดับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.38) โดยมีความพึงพอใจสูงสุดในด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ ( = 4.45) รองลงมาคือด้านอาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก ( = 4.40) และด้านกระบวนการให้บริการ (ค่าเฉลี่ย 4.30) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจ ได้แก่ ความเป็นมิตรและความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่ ความสะอาดและความปลอดภัยของสถานที่ ตลอดจนความสะดวกในการใช้อุปกรณ์และบริการต่าง ๆ สรุปผลการวิจัย ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ใช้บริการเลือกมา ออกกำลังกายคือความสะดวกในการเข้าถึง ความพึงพอใจต่อการให้บริการห้องออกกำลังกายด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ ด้านกระบวนการการให้บริการ และด้านอาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกในภาพรวม อยู่ในระดับมาก</p>
2025-08-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4319
โมเดลอิทธิพลเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อคุณลักษณะของ นักศึกษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาในศตวรรษที่ 21
2025-05-16T15:05:55+07:00
ธนวรรณพร ศรีเมือง
ouye_131@hotmail.com
จักรดาว โพธิแสน
ouye_131@hotmail.com
ไตรมิตร โพธิแสน
ouye_131@hotmail.com
วิกรม สวาทพงษ์
ouye_131@hotmail.com
ธิดารัตน์ อัฐกิจ
ouye_131@hotmail.com
<p class="p1">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมของปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณลักษณะของนักศึกษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาในศตวรรษที่<span class="s1"> 21 </span>ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา ชั้นปีที่<span class="s1"> 1-4 </span>เป็นเพศชายและเพศหญิง จำนวนทั้งหมด<span class="s1"> 500 </span>คน ที่ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่<span class="s1"> 2 </span>ปีการศึกษา<span class="s1"> 2567 </span>โดยเลือกแบบเจาะจง<span class="s1"> (Purposive Sampling) </span>เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามโมเดลอิทธิพลเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อคุณลักษณะของนักศึกษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาในศตวรรษที่<span class="s1"> 21 </span>แบ่งเป็น<span class="s1"> 4 </span>ด้าน คือ ด้านการพัฒนาตนเอง ด้านภูมิหลังของนักศึกษา ด้านการยอมรับหลักสูตร และด้านคุณลักษณะของนักวิทยาศาสตร์การกีฬา สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า โมเดลอิทธิพลเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อคุณลักษณะของนักศึกษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาในศตวรรษที่<span class="s1"> 21 </span>ในการวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษาอิทธิพลเชิงสาเหตุ<span class="s1"> 4 </span>ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ยกเว้นด้านการยอมรับหลักสูตรอยู่ในระดับมากที่สุด และโมเดลอิทธิพลเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อคุณลักษณะของนักศึกษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาในศตวรรษที่<span class="s1"> 21 </span>ที่สร้างขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าไค<span class="s1">-</span>สแควร์<span class="s1"> (χ<sup>2</sup>) </span>เท่ากับ<span class="s1"> 70.46 </span>ค่าไค<span class="s1">-</span>สแควร์สัมพัทธ์<span class="s1"> (χ<sup>2</sup>/df) </span>เท่ากับ<span class="s1"> 0.95 </span>ค่าความน่าจะเป็น<span class="s1"> (p-value) </span>เท่ากับ<span class="s1"> 0.011 </span>ค่าประมาณความคลาดเคลื่อนของรากกำลังสองเฉลี่ย<span class="s1"> (RMSEA) </span>เท่ากับ<span class="s1"> 0.030 </span>ค่าดัชนีความกลมกลืน<span class="s1"> (GFI) </span>เท่ากับ<span class="s1"> 0.91 </span>ค่าดัชนีความกลมกลืนที่ปรับแก้แล้ว<span class="s1"> (AGFI) </span>เท่ากับ<span class="s1"> 0.91 </span>ค่าขนาดตัวอย่างวิกฤต<span class="s1"> (CN) </span>เท่ากับ<span class="s1"> 428.11 </span>ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องเปรียบเทียบ<span class="s1"> (CFI) </span>เท่ากับ<span class="s1"> 1.00 </span>ค่าดัชนีของรากกำลังสองเฉลี่ยของเศษ<span class="s1"> (RMR) </span>เท่ากับ<span class="s1"> 0.0086 </span>และสัมประสิทธิ์การพยากรณ์<span class="s1"> (R<sup>2</sup>) </span>เท่ากับ<span class="s1"> 0.85 </span>สรุปได้ว่า อิทธิพลทางตรงและทางอ้อมของปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณลักษณะของนักศึกษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา ในแต่ละด้านมีความสำคัญมากไม่แพ้กัน เพราะการที่นักศึกษาได้เลือกเรียนในสาขาวิชานี้ ได้เล็งเห็นความสำคัญที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในวิชาชีพต่อไป</p>
2025-08-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4285
เปรียบเทียบผลของโปรแกรมการฝึกแบบวงจรกับทาบาตะที่ส่งผลต่อสมรรถภาพแอนแอโรบิก แอโรบิก และแลคเตทในเลือดของนักกีฬาฟุตบอลชาย
2025-05-11T12:07:36+07:00
วรวรรธน์ บุษดี
Wattana_jp12@hotmail.com
วัฒนะ นุตทัศน์
wattanajae12@gmail.com
นัสพงษ์ กลิ่นจำปา
Wattana_jp12@hotmail.com
ภัทราวุธ ขาวสนิท
Wattana_jp12@hotmail.com
ธีร์ธานิศ พันธ์นิกุล
Wattana_jp12@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของโปรแกรมการฝึกแบบวงจรกับทาบาตะที่ส่งผลต่อสมรรถภาพแอนแอโรบิก แอโรบิก และแลคเตทในเลือดระหว่างก่อนการฝึก และหลังการฝึก ของนักกีฬาฟุตบอลชาย สโมสรหนองบัวพิชญเอฟซี กลุ่มตัวอย่างคือ นักกีฬาฟุตบอลเยาวชนชายสโมสรหนองบัวพิชญเอฟซี มีอายุระหว่าง 18-23 ปี จำนวน 24 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 12 คน ได้แก่ กลุ่มฝึกโปรแกรมแบบวงจร กลุ่มฝึกโปรแกรมแบบทาบาตะ ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง ทั้งสองกลุ่มได้รับการฝึก 3 ครั้ง/สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ เก็บข้อมูลตัวแปรด้าน สมรรถภาพความแข็งแรง สมรรถภาพแอนแอโรบิก แอโรบิก และแลคเตท ก่อนและหลังการฝึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าที นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของตัวแปรระหว่างก่อนและหลังการฝึกของแต่ละกลุ่ม โดยการทดสอบค่าทีแบบอิสระ และวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของตัวแปรระหว่างกลุ่มการฝึกแบบวงจรกับกลุ่มการฝึกแบบทาบาตะ โดยการทดสอบค่าทีแบบอิสระ ผลการศึกษาพบว่า ทั้งการฝึกแบบวงจรและทาบาตะช่วยพัฒนาสมรรถภาพการใช้พลังงานแบบแอโรบิกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< .05) เมื่อวัดด้วยแบบทดสอบความสามารถทางด้านแอโรบิก แต่ไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญในผลการทดสอบความสามารถด้านแอนแอโรบิก นอกจากนี้ยังพบว่าระดับแลคเตทในเลือดก่อนและหลังการฝึกของทั้งสองกลุ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ (p< .05) แสดงถึงการตอบสนองทางสรีรวิทยาต่อความเข้มข้นของการฝึกว่าการฝึกแบบหนักสลับเบาสามารถกระตุ้นการพัฒนาระบบพลังงานทั้งแอโรบิกและแอนแอโรบิกได้</p>
2025-08-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4253
ผลของการฝึกเสริมด้วยโปรแกรมการฝึกความอ่อนตัวและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่มีต่อความสามารถในการทุ่มลูกฟุตบอลของนักฟุตบอลชายทีมมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
2025-04-22T13:17:05+07:00
พิทักษ์ชัย ทางทอง
defcu24@gmail.com
กุลวุฒิ แสนศักดิ์
kiatcharernsiri2541@gmail.com
ธนวัฒน์ เกียรติเจริญศิริ
kiatcharernsiri2541@gmail.com
<p class="p1">การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกเสริมด้วยโปรแกรมการฝึกความอ่อนตัวและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่มีต่อความสามารถในการทุ่มลูกฟุตบอลของนักฟุตบอลชาย ทีมมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักกีฬาฟุตบอลชาย มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ จำนวน<span class="s1"> 30 </span>คน มีอายุระหว่าง<span class="s1"> 18 </span>ปี จำนวน<span class="s1"> 5 </span>คน อายุ<span class="s1"> 19 </span>ปี จำนวน<span class="s1"> 7 </span>คน อายุ<span class="s1"> 20 </span>ปี จำนวน<span class="s1"> 9 </span>คน อายุ<span class="s1"> 21 </span>ปี จำนวน<span class="s1"> 7 </span>คน และอายุ<span class="s1"> 22 </span>ปี จำนวน<span class="s1"> 2 </span>คน โดยวิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง<span class="s1"> (Purposive selection) </span>และทำการแบ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างออกเป็น<span class="s1"> 2 </span>กลุ่ม กลุ่มละ<span class="s1"> 15 </span>คน ด้วยวิธีการจับคู่<span class="s1"> (Matching) </span>โดยใช้ผลจากการทดสอบวัดความสามารถในการทุ่มลูกฟุตบอลก่อนการฝึกมาทำการแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย โปรแกรมการฝึกความอ่อนตัวจำนวน<span class="s1"> 7 </span>โปรแกรม โปรแกรมการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจำนวน<span class="s1"> 7 </span>โปรแกรม และแบบฝึกการทุ่มลูกฟุตบอลจำนวน<span class="s1"> 2 </span>แบบฝึก ซึ่งออกแบบเพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกายตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย โดยที่กลุ่มทดลองฝึกเสริมด้วยโปรแกรมการฝึกความอ่อนตัวและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กลุ่มควบคุมฝึกซ้อมด้วยโปรแกรมการฝึกซ้อมตามปกติ โดยทำการฝึก<span class="s1"> 8 </span>สัปดาห์ ๆ ละ<span class="s1"> 3 </span>วัน คือ วันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ มีการทดสอบความสามารถในการทุ่มลูกฟุตบอล ก่อนการฝึก หลังการฝึก<span class="s1"> 4 </span>สัปดาห์ และหลังการฝึก<span class="s1"> 8 </span>สัปดาห์ นำผลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยการหาค่าเฉลี่ย<span class="s1"> </span>ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่า<span class="s1"> “</span>ที<span class="s1">”</span>วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ<span class="s1"> (One-way analysis of variance with repeated measures) </span>ถ้าพบความแตกต่างจึงเปรียบเทียบความแตกต่างเป็นรายคู่ โดยวิธีการของแอล เอส ดี<span class="s1"> (LSD) </span>ทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<span class="s1"> .05</span>ผลการวิจัยพบว่า<span class="s1"><span class="Apple-converted-space"> </span></span></p> <p class="p1"><span class="s1">1) </span>หลังการฝึก<span class="s1"> 4 </span>สัปดาห์ และหลังการฝึก<span class="s1"> 8 </span>สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีความสามารถในการทุ่มลูกฟุตบอลดีกว่าก่อนการฝึก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<span class="s1"> .05<span class="Apple-converted-space"> </span></span></p> <p class="p1"><span class="s1">2) </span>หลังการฝึก<span class="s1"> 4 </span>สัปดาห์ และหลังการฝึก<span class="s1"> 8 </span>สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีความสามารถในการทุ่มลูกฟุตบอลดีกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<span class="s1"> .05</span></p>
2025-08-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4161
ผลของการฝึกแบบต่อเนื่อง การฝึกหนักสลับเบาความเข้มข้นสูงและความเข้มข้นสูงมาก การฝึกแบบเพิ่มความหนักของงาน ที่มีต่อร้อยละไขมัน การเผาผลาญไขมัน และค่าการใช้ออกซิเจนสูงสุดของร่างกาย
2025-04-04T14:05:21+07:00
อดิศร ธุระยศ
adisontua1997@gmail.com
มณินทร รักษ์บำรุง
adisontua1997@gmail.com
พิเชษฐ์ ชัยเลิศ
adisontua1997@gmail.com
กฤษดา ตามประดิษฐ์
adisontua1997@gmail.com
คมศักดิ์ พินธะ
adisontua1997@gmail.com
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกแบบต่อเนื่อง (MICE) การฝึกหนักสลับเบาความเข้มข้นสูง (HIIT) และความเข้มข้นสูงมาก (Supra-HIIT) และการฝึกแบบเพิ่มความหนักของงาน (ICE) ที่มีต่อร้อยละไขมัน การเผาผลาญไขมัน และค่าการใช้ออกซิเจนสูงสุดของร่างกาย กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายอายุ 18–30 ปี จำนวน 90 คน ทำการสุ่มเข้ากลุ่มทดลองจำนวน 4 กลุ่ม คือ MICE, HIIT, Supra-HIIT, ICE และกลุ่มควบคุม 1 กลุ่ม กลุ่มตัวอย่างทุกกลุ่มทำการฝึก 4 วัน/ สัปดาห์ เป็นเวลา 12 สัปดาห์โดยวัดค่า 1) ร้อยละไขมันในร่างกาย (%fat) 2) ค่าการเผาผลาญไขมันสูงสุด (maximal fat oxidation: MFO) และ 3) ค่าการใช้ออกซิเจนสูงสุด (VO<sub>2</sub>max) ก่อนและภายหลังการฝึก ใช้สถิติ Paired-Samples t-test เพื่อเปรียบเทียบผลของการฝึกภายในกลุ่มตัวอย่าง และเปรียบเทียบผลของการฝึกระหว่างกลุ่มตัวอย่างด้วยสถิติ Analysis of Covariance (ANCOVA) ทั้งนี้หากตัวแปรใดไม่ผ่านการทดสอบเงื่อนไขในการใช้สถิติ ANCOVA จะนำข้อมูลของตัวแปรนั้นมาแปลงค่าเป็นคะแนนความเปลี่ยนแปลง (change score: post-t-test – pre-t-test) แล้วนำไปวิเคราะห์ผลด้วยสถิติ One-way ANOVA ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการฝึก ร้อยละไขมันในร่างกายของแต่ละกลุ่มไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายในกลุ่มอย่างแต่ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ทุกกลุ่มการฝึกมีร้อยละไขมันในร่างกายลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>F</em> (4,76)=6.104, <em>p</em><0.001, <em>η</em><sup>2</sup> =0.243) โดยพบความแตกต่างระหว่างกลุ่มการฝึก เช่นเดียวกับค่า MFO ที่เพิ่มขึ้นภายหลังการฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติภายในทุกกลุ่มการฝึก และเพิ่มสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>F</em> (4,76)=7.098, p<0.001, <em>η</em><sup>2</sup> =0.272) โดยไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่มการฝึกเช่นกัน นอกจากนี้การฝึกทั้ง 4 รูปแบบยังส่งผลให้ค่า VO<sub>2</sub>max เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะกลุ่ม MICE และ ICE ที่มีการพัฒนา VO<sub>2</sub>max สูงกว่ากลุ่ม HIIT และ Supra-HIIT อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>F</em>(4, 76) = 13.96, <em>p</em> <0.001 <strong><em>η</em></strong><strong><em><sup>2</sup></em></strong><strong><em><sub>p</sub></em></strong> = .962) และทุกกลุ่มการฝึกมีค่า VO<sub>2</sub>max เพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2025-08-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4192
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
2025-04-18T22:46:40+07:00
กุศล ช่วงบุญศรี
kusol.cho@mail.pbru.ac.th
ภานุพันธ์ ลาภรัตนทอง
Kusol.cho@mail.pbru.ac.th
<p class="p1">การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี จำนวน<span class="s1"> 370 </span>คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลกับพฤติกรรมการออกกำลังกาย ใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า<span class="s1"> 1) </span>ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี พบว่า ปัจจัยนำด้านความรู้ และปัจจัยนำด้านประโยชน์เกี่ยวกับการออกกำลังกาย อยู่ในระดับ<span class="s1"> “</span>มีความรู้มาก<span class="s1">” </span>และ<span class="s1"> “</span>มีประโยชน์มาก<span class="s1">” (</span><span class="s2">𝑥̅</span><span class="s1">= 7.05), (</span><span class="s2">𝑥̅</span><span class="s1">= 7.33), </span>ปัจจัยนำด้านทัศนคติเกี่ยวกับการออกกำลังกาย อยู่ในระดับ<span class="s1"> “</span>ไม่แน่ใจ<span class="s1">” (</span><span class="s2">𝑥̅</span><span class="s1">= 3.28) </span>ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริมที่เกี่ยวกับการออกกำลังกาย อยู่ในระดับ<span class="s1"> “</span>ดีมาก<span class="s1">” (</span><span class="s2">𝑥̅</span><span class="s1">= 0.91) (</span><span class="s2">𝑥̅</span><span class="s1">= 0.88) </span>และพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี อยู่ในระดับ<span class="s1"> “</span>ออกกำลังกายปานกลาง<span class="s1">” (</span><span class="s2">𝑥̅</span><span class="s1">= 3.45) 2) </span>ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี พบว่า ปัจจัยนำด้านทัศนคติ และปัจจัยเสริม ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<span class="s1"> .05 </span>และตัวแปรทั้งหมดสามารถทำนายพฤติกรรมการออกกำลังกายของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ได้ร้อยละ<span class="s1"> 14.9<span class="Apple-converted-space"> </span></span></p>
2025-08-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4443
การเปรียบเทียบผลของการฝึกท่าสควอทด้วยมุมของเข่าแตกต่างกันที่มีต่อ ความสามารถในการเร่งความเร็วในนักวิ่งเยาวชน
2025-06-12T10:49:04+07:00
พัชรี วงษาสน
Phatchareebew@gmail.com
<p class="p1">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกท่าสควอทด้วยมุมของเข่าคงที่และมุมของเข่าแตกต่างกันที่มีต่อความสามารถในการเร่งความเร็วในนักวิ่งเยาวชน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักวิ่งเยาวชนหญิง อายุ<span class="s1"> 14-16 </span>ปี<span class="s1"> </span>การศึกษาที่<span class="s1"> 1 </span>เลือกแบบเจาะจง จำนวน<span class="s1"> 12 </span>คน ทำทั้ง<span class="s1"> 3 </span>เงื่อนไข โดยการสุ่มและจัดลำดับถ่วงดุล ทดสอบแต่ละเงื่อนไขห่างกัน<span class="s1"> 1 </span>สัปดาห์ ใช้สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทางสำหรับการวัดซ้ำ ผลวิจัยพบว่า มีค่าเวลาในการวิ่ง<span class="s1"> 30 </span>เมตร เงื่อนไขที่<span class="s1"> 2 </span>กับ เงื่อนไขที่<span class="s1"> 3 </span>ดีกว่าเงื่อนไขที่<span class="s1"> 1 </span>และเงื่อนไขที่<span class="s1"> 3 </span>ดีกว่า เงื่อนไขที่<span class="s1"> 2 </span>และความเร็วจากจุดเริ่มต้นถึงจุด<span class="s1"> 30 </span>เมตร เงื่อนไขที่<span class="s1"> 2 </span>กับ เงื่อนไขที่<span class="s1"> 3 </span>ดีกว่าเงื่อนไขที่<span class="s1"> 1 </span>และเงื่อนไขที่<span class="s1"> 3 </span>ดีกว่า เงื่อนไขที่<span class="s1"> 2 </span>อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<span class="s1"> .05 </span>การศึกษาที่<span class="s1"> 2 </span>กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง จำนวน<span class="s1"> 30 </span>คน แบ่งเป็น<span class="s1"> 2 </span>กลุ่ม กลุ่มทดลองที่<span class="s1"> 1 </span>ฝึกท่าสควอทด้วยมุมของเข่าคงที่ และกลุ่มทดลองที่<span class="s1"> 2 </span>ฝึกท่าสควอทด้วยมุมของเข่าที่แตกต่างกัน ระยะเวลาในการฝึก<span class="s1"> 6 </span>สัปดาห์ เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของผลการทดสอบโดยใช้ค่าที<span class="s1"> (t-test) </span>ผลวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองที่<span class="s1"> 2 </span>และกลุ่มทดลองที่<span class="s1"> 1 </span>มีค่าเวลาในการวิ่ง<span class="s1"> 10 </span>เมตร<span class="s1"> </span>ไม่แตกต่างกัน และกลุ่มทดลองที่<span class="s1"> 2 </span>มีค่าเวลาในการวิ่ง<span class="s1"> 20 </span>เมตร และ<span class="s1"> 30 </span>เมตร ดีกว่ากลุ่มทดลองที่<span class="s1"> 1 </span>และมีค่ามีความเร็วจากจุดเริ่มต้นถึงจุด<span class="s1"> 10 </span>เมตรไม่แตกต่างกัน และกลุ่มทดลองที่<span class="s1">2 </span>มีความเร็วจากจุดเริ่มต้นถึงจุด<span class="s1"> 20 </span>เมตร และความเร็วจากจุดเริ่มต้นถึงจุด<span class="s1"> 30 </span>เมตร ดีกว่ากลุ่มทดลองที่<span class="s1"> 1 </span>อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ<span class="s1"> .05 </span>จากผลการศึกษาจะเห็นได้ว่าการฝึกท่าสควอทมุมของเข่าที่แตกต่างกัน สามารถช่วยเพิ่มระดับความสามารถในการเร่งความเร็วของนักวิ่งเยาวชนได้ดีกว่ากลุ่มที่ฝึกท่าสควอทด้วยมุมเข่าแบบคงที่<span class="s1"><span class="Apple-converted-space"> </span></span></p>
2025-08-17T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4220
การฝึกซ้อมการวางลูกเปตองแบบเลียดของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
2025-04-17T09:55:32+07:00
ณัฐกานต์ ขันทอง
Nattakarnjaja6@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการศึกษาและพัฒนาการฝึกซ้อมการวางลูกเปตองแบบเลียดของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาพลศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 27 คน แบ่งเป็นเพศชาย 21 คน เพศหญิง 6 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยเป็นแบบทดสอบเกี่ยวกับการฝึกซ้อมการวางลูกเปตองแบบเลียด ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ผลการวิจัย 1) หลังการฝึกซ้อมการวางลูกเปตองแบบเลียด แบบที่ 1 วางลูกเปตองเข้าวงกลม อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.13 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.80 สูงกว่าก่อนฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) หลังการฝึกซ้อมการวางลูกเปตองแบบเลียด แบบที่ 2 วางลูกเปตองโดยมีสิ่งกีดขวางข้างหน้า อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.88 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.81 สูงกว่าก่อนฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) หลังการฝึกซ้อมการวางลูกเปตองแบบเลียด แบบที่ 3 วางลูกเปตองเข้ากรอบ 4 เหลี่ยม อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.94 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.85 สูงกว่าก่อนฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 <span class="Apple-converted-space"> </span></p>
2025-08-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/2271
ผลของการออกกำลังกายแบบสเต็ปแอโรบิกที่ส่งผลต่อความคล่องแคล่วว่องไว
2024-02-27T14:27:06+07:00
สุธิดา เฉื่อยกลาง
Kanokwan.r@nrru.ac.th
จิรพัฒน์ หมอยาดี
Kanokwan.r@nrru.ac.th
อรรถวุฒิ ปะลุวันรัมย์
Kanokwan.r@nrru.ac.th
ปุณณัฐ ศุภเมธานนท์
Kanokwan.r@nrru.ac.th
กนกวรรณ รัศมียูงทอง
Kanokwan.r@nrru.ac.th
<p class="p1">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการออกกำลังกายแบบสเต็ปแอโรบิกที่ส่งผลต่อความคล่องแคล่วว่องไว กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยสมาชิกฟิตเนสโรงแรมและพนักงานโรงแรม จำนวนกลุ่มละ<span class="s1"> 15 </span>คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงและสมัครใจเข้าร่วมการศึกษา กลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมโปรแกรมออกกำลังกายแบบสเต็ปแอโรบิก สัปดาห์ละ<span class="s1"> 3 </span>วัน เป็นเวลา<span class="s1"> 4 </span>สัปดาห์ และทำการทดสอบความคล่องแคล่วว่องไวด้วยการวิ่งซิกแซก<span class="s1"> 6 </span>กรวย ก่อนและหลังการฝึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและสถิติ<span class="s1"> Paired t-test </span>ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ<span class="s1"> .05 </span>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มสมาชิกฟิตเนสโรงแรมมีค่าคะแนนความคล่องแคล่วว่องไวเฉลี่ย ลดลงจาก<span class="s1"> 18.65±6.04 </span>วินาที เหลือ<span class="s1"> 15.10±5.10 </span>วินาที<span class="s1"> (t = 7.88, p < .05) </span>และกลุ่มพนักงานโรงแรม ลดลงจาก<span class="s1"> 19.30±4.84 </span>วินาที เหลือ<span class="s1"> 15.26±4.71 </span>วินาที<span class="s1"> (t = 9.59, p < .05) </span>แสดงให้เห็นว่าโปรแกรม<span class="s1"> </span>สเต็ป แอโรบิกช่วยพัฒนาความคล่องแคล่วว่องไวได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงเหมาะสมต่อการประยุกต์ใช้กับกลุ่มคนวัยทำงานที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวจากลักษณะงาน และสามารถส่งเสริมสุขภาพในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย