https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/issue/feed
วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
2025-12-12T12:28:00+07:00
รองศาสตรจารย์ ดร.เตชภณ ทองเติม
spsc_journal@sskru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย (Journal of Sports Science and Health Innovation, Rajabhat University Group of Thailand: SHIRT) เป็นวารสารทางวิชาการของ เครือข่ายสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการและบทความวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา การออกกำลังกาย พลศึกษา สุขศึกษา นันทนาการ และการบูรณาการศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้หลักวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพสู่ชุมชนและท้องถิ่น <strong>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ท่าน </strong>โดยมีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 4 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม) ฉบับที่ 2 (เมษายน - มิถุนายน) ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม - กันยายน) และ ฉบับที่ 4 (ตุลาคม - ธันวาคม)</p> <p><strong>ISSN : 2821-9511 (Online)</strong></p>
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4652
ต้นแบบผ้าห่มเย็นควบคุมอุณหภูมิเพื่อฟื้นสภาพนักกีฬา
2025-08-26T12:42:36+07:00
พิชชาภา คนธสิงห์
phitchapa.kon@mfu.ac.th
ธีรศักดิ์ บุญวัง
theerasak.boo@mfu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาต้นแบบผ้าห่มเย็นควบคุมอุณหภูมิสำหรับฟื้นสภาพนักกีฬา 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างต่อการใช้งานต้นแบบผ้าห่มเย็นควบคุมอุณหภูมิเพื่อฟื้นสภาพนักกีฬา การดำเนินการวิจัยเป็นลักษณะวิจัยและพัฒนา (R&D) แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การพัฒนาต้นแบบผ้าห่มเย็นควบคุมอุณหภูมิ และระยะที่ 2 การทดสอบประสิทธิภาพต้นแบบผ้าห่มเย็นควบคุมอุณหภูมิ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักกีฬาสังกัดจังหวัดเชียงราย เพศหญิง จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบประเมินประสิทธิภาพของต้นแบบผ้าห่มฯ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อต้นแบบผ้าห่มฯ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ได้ต้นแบบผ้าห่มฯ ที่มีคุณลักษณะเหมาะสมแก่การฟื้นสภาพด้วยความเย็น 2) ประสิทธิภาพของต้นแบบผ้าห่มเย็นควบคุมอุณหภูมิเพื่อฟื้นสภาพนักกีฬา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 4.66±0.17) คะแนนเฉลี่ยของความพึงพอใจโดยรวมอยู่ระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน 4.70±0.05) ผลการวิจัยชี้ว่าต้นแบบผ้าห่มเย็นควบคุมอุณหภูมิเพื่อฟื้นสภาพนักกีฬาสามารถเป็นนวัตกรรมที่ใช้ได้จริงในการฟื้นสภาพนักกีฬา ช่วยลดผลข้างเคียงที่เกิดจากความเย็นที่มีผลต่อผิวหนัง ส่งผลให้การฟื้นสภาพทางการกีฬามีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น</p>
2025-12-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4997
ผลของกิจกรรมพลศึกษาสร้างสรรค์ตามแนวคิด PTRU Model ต่อสมรรถภาพทางกาย ทักษะสังคม ความรับผิดชอบ และเจตคติสุขภาพของนักเรียนระดับประถมศึกษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
2025-11-20T23:43:37+07:00
พงศกร สังข์เงิน
Pongsakorn.san@uru.ac.th
สุรศักดิ์ เขตชัยภูมิ
Pongsakorn.san@uru.ac.th
เบญจมาศ เกิดมาลัย
Pongsakorn.san@uru.ac.th
อิษฎ์เทพ เลียวฤวรรณ
Pongsakorn.san@uru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของกิจกรรมพลศึกษาสร้างสรรค์ตามแนวคิด PTRU Model ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบด้านกิจกรรมทางกาย การทำงานเป็นทีม ความรับผิดชอบ และความเข้าใจ ที่มีต่อสมรรถภาพทางกาย ทักษะสังคม ความรับผิดชอบ และเจตคติสุขภาพของนักเรียนระดับประถมศึกษา การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงกึ่งทดลอง แบบ One Group Pretest–Posttest Design กลุ่มตัวอย่างจำนวน 60 คน ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม จากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ เข้าร่วมกิจกรรมเป็นเวลา 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที รวมทั้งสิ้น 12 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แบบทดสอบสมรรถภาพทางกาย 2) แบบประเมินทักษะสังคมและความรับผิดชอบ และ 3) แบบสอบถามเจตคติสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานโดยใช้การทดสอบค่าทีแบบกลุ่มสัมพันธ์ (Paired Sample t-test) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการทดลอง ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีสมรรถภาพทางกาย ทักษะสังคม ความรับผิดชอบ และเจตคติสุขภาพสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่ากิจกรรมพลศึกษาสร้างสรรค์ตามแนวคิด PTRU Model เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมพัฒนาการผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมอย่างรอบด้าน</p>
2025-12-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4606
การพัฒนาธุรกิจที่พักโดยชุมชนชาติพันธุ์สี่เผ่าไทศรีสะเกษด้วยนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาวะ และเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน
2025-08-27T09:37:31+07:00
พรหมลิขิต อุรา
promlikit@sskru.ac.th
พิชญาพร ศรีบุญเรือง
promlikit@sskru.ac.th
ลินจง โพขารี
promlikit@sskru.ac.th
ศราวุฒิ ตามบุญ
promlikit@sskru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ<strong>ศึกษาศักยภาพและบริบทของธุรกิจที่พักโดยชุมชนชาติพันธุ์ในจังหวัดศรีสะเกษ</strong> เพื่อศึกษาความต้องการที่พักของนักท่องเที่ยวชาวไทยในจังหวัดศรีสะเกษ และสร้างต้นแบบธุรกิจที่พักโดยชุมชนวิถีใหม่ด้วยนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนของชาติพันธุ์สี่เผ่าไทศรีสะเกษภายใต้กรอบ BCG โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน <strong>29 </strong><strong>คน</strong> ได้แก่ ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการโฮมสเตย์ และหน่วยงานด้านการท่องเที่ยว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้<strong>การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา </strong>และการทำ<strong>แผนภาพเครือข่าย </strong>ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณดำเนินการเก็บข้อมูล จากนักท่องเที่ยวจำนวน <strong>400 </strong><strong>คน</strong> ด้วยการสุ่มแบบเจาะจงและการสุ่มแบบบังเอิญ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนมีทุนทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย มีศักยภาพในการพัฒนาที่พักโดยชุมชนที่ส่งเสริมสุขภาวะ และสามารถเชื่อมโยงกับแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย การบูรณาการอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ การออกแบบกิจกรรมที่เน้นสุขภาวะ และการจัดการที่สร้างคุณค่าเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทั้งนี้รูปแบบดังกล่าวได้ผ่านการตรวจสอบความเหมาะสมโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน <strong>3 </strong><strong>คน</strong> และสามารถประยุกต์ใช้กับชุมชนการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์อื่นได้อย่างเหมาะสม</p>
2025-12-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4675
การพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานตามแนวคิดรางวัลคุณภาพแห่งชาติ และการขับเคลื่อนสู่กีฬาอาชีพ
2025-08-27T09:33:24+07:00
เติมเพชร สุขคณาภิบาล
termpetch.s@arts.kmutnb.ac.th
ศุภกร บัวหยู่
supakorn.b@arts.kmutnb.ac.th
<p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ 1) วิเคราะห์บริบทของสมาคมกีฬาไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่กีฬาอาชีพ 2) พัฒนาเกณฑ์มาตรฐานการบริหารจัดการโดยประยุกต์กรอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติร่วมกับมาตรฐานสากล และ 3) จัดทำแนวทางการนำเกณฑ์ไปใช้เพื่อยกระดับประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และความยั่งยืนของระบบกีฬา ระเบียบวิธีเป็นแบบวิจัยและพัฒนา เก็บข้อมูลจากผู้บริหารสมาคมกีฬา ผู้แทนการกีฬาแห่งประเทศไทย และผู้ทรงคุณวุฒิ ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกจำนวนยี่สิบสี่คน การสนทนากลุ่มหกกลุ่มรวมห้าสิบคน เวทีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากกว่าแปดสิบคน และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา พร้อมตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างผู้วิเคราะห์ และตรวจความตรงเชิงเนื้อหาแบบดัชนีไอโอซี ผลการวิจัยได้กรอบเกณฑ์ไทยแลนด์สปอร์ตส์ควอลิตีอะวอร์ด หรือทีเอสคิวเอ ประกอบด้วยสี่หมวดสิบหกหัวข้อย่อย ครอบคลุมด้านยุทธศาสตร์ การพัฒนานักกีฬาและบุคลากร การจัดการทรัพยากร และความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ควบคู่แผนที่ยุทธศาสตร์ที่เชื่อมจากการเรียนรู้และพัฒนาสู่กระบวนการภายใน ความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผลลัพธ์เชิงความยั่งยืน กรอบเกณฑ์กำหนดตัวชี้วัดและหลักฐานเชิงประจักษ์สำหรับทุกหัวข้อย่อย องค์ความรู้ใหม่อยู่ที่การบูรณาการมิติจำเพาะของกิจกรรมกีฬาเข้าสู่กรอบคุณภาพอย่างเป็นระบบ ได้แก่ การพัฒนานักกีฬาแบบปลายทางถึงปลายทางที่เชื่อมสโมสร ลีก และสมาคม การจัดความสอดคล้องระหว่างปฏิทินแข่งขันกับภาระฝึกซ้อมเพื่อบริหารความเสี่ยงการบาดเจ็บ มาตรการด้านความซื่อสัตย์และความปลอดภัยในกีฬา และกลไกความโปร่งใสสำหรับผู้สนับสนุนและสาธารณะ ผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าเกณฑ์มีความเหมาะสม ครอบคลุม และสามารถใช้งานได้จริง ทั้งการประเมินตนเองและการรับรองภายนอก กลุ่มผู้ใช้เป้าหมายได้แก่สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาจังหวัด สมาคมกีฬาอาชีพ และการกีฬาแห่งประเทศไทย ข้อเสนอเชิงนโยบายคือการจัดตั้งแพลตฟอร์มกลางของภาครัฐสำหรับการประเมินตนเองและการเรียนรู้ร่วม การจัดทำคู่มือเชิงปฏิบัติที่กระชับพร้อมระดับความพร้อมเป็นขั้น และการเชื่อมระดับคะแนนขั้นต่ำของทีเอสคิวเอกับสิทธิการรับเงินสนับสนุน ควบคู่คะแนนส่งเสริมด้านธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และความปลอดภัยในกีฬา เพื่อขับเคลื่อนการยกระดับทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง</p>
2025-12-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4632
ผลของการฝึกด้วยลูกบอล BOSU ต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาหูหนานซานอี้ มณฑลหูหนาน
2025-09-08T19:24:44+07:00
เซียนเชิ่ง เจิ้ง
ekasak.he@udru.ac.th
เอกศักดิ์ เฮงสุโข
ekasak.he@udru.ac.th
กรีฑา พรหมเทพ
ekasak.he@udru.ac.th
อรสุดา เวียงธงสารัตน์
ekasak.he@udru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการฝึกด้วยลูกบอล BOSU ต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวในกลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาและเทคนิคหูนานซานอี้ มณฑลหูหนาน ประเทศจีน โดยใช้ระเบียบวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวน 60 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มโดยใช้โปรแกรม G*Power เพื่อคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่าง และแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลอง (n = 30) ที่ได้รับการฝึกด้วยลูกบอล BOSU และกลุ่มควบคุม (n = 30) ที่ได้รับการฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางตามรูปแบบปกติของการจัดการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาสถานศึกษา ทั้งสองกลุ่มได้รับการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้แบบทดสอบการยกขาข้างเดียวภายใน 1 นาที และการลุกนั่งภายใน 1 นาที เพื่อประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ก่อนและหลังเข้าร่วมการฝึกเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) หลังจากการฝึก เมื่อเปรียบเทียบกับคะแนนก่อนการทดลอง นอกจากนี้ การเปรียบเทียบผลหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมพบว่า การฝึกด้วยลูกบอล BOSU มีประสิทธิภาพเหนือกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในการพัฒนาสมรรถภาพทางกาย โดยเฉพาะความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ผลการวิจัยในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการ บูรณาการการฝึกด้วยลูกบอล BOSU เข้ากับการฝึกการออกกำลังกายประจำของนักศึกษาสามารถเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสมรรถภาพของกล้ามเนื้อแกนกลาง และอาจมีประโยชน์ต่อสมรรถภาพทางกายโดยรวม รวมถึงการป้องกันการบาดเจ็บในกลุ่มนักศึกษาอาชีวศึกษา</p>
2025-12-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4703
การวิเคราะห์วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่อง 'เกมเมอร์ เกมแม่' เพื่อสะท้อนมุมมองสังคมไทยต่อการเล่นเกม การแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต และระบบนิเวศอีสปอร์ตในประเทศไทย
2025-09-24T16:12:00+07:00
ขจรศักดิ์ กั้นใช้
khajonsak@webmail.npru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และวิจารณ์ภาพยนตร์ เกมเมอร์ เกมแม่ ในฐานะกรณีศึกษาเชิงสังคมศาสตร์ที่สะท้อนมุมมองของสังคมไทยต่อการเล่นเกม กีฬาอีสปอร์ต และระบบนิเวศอีสปอร์ต โดยดำเนินการภายใต้กรอบวิชาการและเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการสนับสนุนเชิงพาณิชย์ และการอ้างอิงถึงภาพยนตร์อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การใช้ข้อมูลเพื่อการวิจัยและการวิพากษ์โดยสุจริต และใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงภาพยนตร์และสัญญะ ร่วมกับบทสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้เกี่ยวข้องกับการผลิตภาพยนตร์หลัก และนักวิชาการใน 4 สาขาวิชา ได้แก่ ภาพยนตร์และสื่อสารมวลชน วิทยาศาสตร์การกีฬา เทคโนโลยีการศึกษา และธุรกิจบันเทิง ผลการวิจัยพบว่าภาพยนตร์สะท้อนทั้งมุมมองเชิงสนับสนุนและเชิงโต้แย้ง การเล่นเกมไม่เพียงถูกมองว่าเป็นความบันเทิง แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจและเส้นทางสู่อาชีพดิจิทัล ขณะเดียวกันก็สะท้อนความกังวลด้านการเรียน สุขภาพ และอคติของผู้ใหญ่ที่มองเกมในแง่ลบ อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์ยังชี้ว่าเกมสามารถพัฒนาทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์ การแก้ปัญหา และการทำงานเป็นทีม ในมิติการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต ภาพยนตร์นำเสนอความจริงของการฝึกซ้อมที่เข้มงวด โอกาสจากรายได้และชื่อเสียง ควบคู่ไปกับแรงกดดันจากครอบครัวและสังคม ตลอดจนความไม่มั่นคงของอาชีพและปัญหาสุขภาพจิต ส่วนในมิติระบบนิเวศ ภาพยนตร์สะท้อนการขยายตัวของลีก สโมสร สปอนเซอร์ และสื่อดิจิทัลที่ช่วยยกระดับอีสปอร์ต แต่ยังมีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน นโยบายการศึกษา และการสนับสนุนจากรัฐ ข้อค้นพบจากการสัมภาษณ์ชี้ว่าการนำเสนออีสปอร์ตอย่างสมจริงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย และสะท้อนการเปลี่ยนผ่านของสังคมไทยจากการมองเกมเชิงลบไปสู่การยอมรับอีสปอร์ตในฐานะกีฬาและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และมีข้อเสนอแนะว่าเพื่อพัฒนาอีสปอร์ตไทยอย่างยั่งยืน ควรดำเนินการ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับสังคม ควรสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและลดอคติ ระดับครอบครัว ควรมีกลไกสื่อสารเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเรียนและการเล่น และระดับนโยบาย ภาครัฐควรจัดทำมาตรการและกฎหมายรองรับ เพื่อให้อีสปอร์ตไทยเติบโตเป็นทั้งกีฬาอาชีพและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม</p>
2025-12-13T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4995
ผลของการฝึกด้วยโปรแกรมพิลาทิสบนเสื่อที่มีผลต่อความสามารถในการเคลื่อนไหวพื้นฐานในชีวิตประจำวันของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
2025-11-17T23:29:26+07:00
ฐิติพร เหล่าวิริยะวงศ์
Thitibell_27@icloud.com
วรเมธ ประจงใจ
p.vorramate@gmail.com
ธเนษฐ์พงษ์ สุขวงศ์
thanatpong.s@chandra.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ (1) เพื่อศึกษาผลของการฝึกพิลาทิสบนเสื่อ (Mat Pilates) ที่มีผลต่อความสามารถในการเคลื่อนไหวพื้นฐานของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม และ (2) เพื่อเปรียบเทียบผลของการฝึกพิลาทิสบนเสื่อก่อนและหลังการฝึกในสัปดาห์ที่ 8 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research Design) กลุ่มตัวอย่าง คือบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ จำนวน 32 คน ได้จากการคำนวณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยมีค่า Effect Size 0.69 และ Power of Test 0.95 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ โปรแกรมการฝึกพิลาทิสบนเสื่อที่ออกแบบโดยผู้วิจัย และแบบประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหวพื้นฐานในชีวิตประจำวัน ระยะเวลาฝึก 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 40 นาที ผลการวิจัยพบว่า คะแนนความสามารถในการเคลื่อนไหวพื้นฐานในชีวิตประจำวัน หลังการฝึกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) โดยคะแนนเฉลี่ยก่อนการฝึกเท่ากับ 12.87 ± 1.36 คะแนน และหลังการฝึกเท่ากับ 14.21 ± 1.12 คะแนน คิดเป็นความแตกต่างเฉลี่ย 1.34 คะแนน (เพิ่มขึ้น 10.4%) ผู้เข้าร่วม 71.9% มีคะแนนเพิ่มขึ้น และไม่มีผู้เข้าร่วมรายใดที่มีคะแนนลดลง ขนาดอิทธิพล (Cohen’s d = 1.074) อยู่ในระดับสูง จากข้อค้นพบของการวิจัยในครั้งนี้ สรุปว่า การฝึกพิลาทิสบนเสื่อเป็นเวลา 8 สัปดาห์ สามารถพัฒนาความสามารถในการเคลื่อนไหวพื้นฐานในชีวิตประจำวันของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในด้านความยืดหยุ่น ความมั่นคงของลำตัว และความสมดุลของร่างกาย</p>
2025-12-13T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4756
ผลของรูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรในจังหวัดศรีสะเกษ
2025-09-30T13:28:58+07:00
ชัยยะ เผ่าผา
phaophachaiya@gmail.com
ปิยนุช พันธ์ศิริ
phaophachaiya@gmail.com
อุมาพร สังขฤกษ์
phaophachaiya@gmail.com
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของของรูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร จังหวัดศรีสะเกษ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และมัธยมศึกษาปีที่ 1-2 ของโรงเรียนเทศบาลในเขตอำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 1 โรงเรียน เป็นกลุ่มทดลอง และโรงเรียนเทศบาลในเขตต่างอำเภอ จำนวน 1 โรงเรียน เป็นกลุ่มควบคุม คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ได้ขนาดกลุ่มละ 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ รูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร จังหวัดศรีสะเกษ ระยะเวลา 12 สัปดาห์ ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง สิงหาคม 2568 และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และ Independent t-test ที่ระดับ p-value <0.05 ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลองกลุ่มทดลอง มีค่าเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร โดยด้าน 1) ความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร อยู่ในระดับสูง ( = 6.88, S.D.=0.95, p=0.008) 2) การเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร อยู่ในระดับสูง ( = 19.53, S.D.=2.98, p=0.022) 3) การสื่อสารเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญในการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร อยู่ในระดับปานกลาง ( = 17.84, S.D.=3.34, p=0.041) 4) การจัดการเงื่อนไขทางสุขภาพของตนเองเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร อยู่ในระดับปานกลาง ( = 16.51, S.D.=3.48, p=0.016) 5) การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร อยู่ในระดับสูง ( = 20.15, S.D.=5.77, p=0.022) 6) การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวยอันควร อยู่ในระดับปานกลาง ( = 14.58, S.D.=5.39, p=0.043) และพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรในวัยรุ่นหญิง อยู่ในระดับสูง ( = 58.69, S.D.=8.85, p=0.008) ซึ่งค่าเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มควบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value <0.05 ดังนั้นการออกแบบกิจกรรมแบบบูรณาการและต่อเนื่องตามทฤษฎีองค์ประกอบความรอบรู้ด้านสุขภาพที่เหมาะสมกับวัยรุ่นหญิง สามารถเพิ่มความรู้และพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่นหญิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-12-13T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4647
การขับเคลื่อนการท่องเที่ยวกีฬาทางน้ำเชิงสร้างสรรค์พื้นที่เมืองเก่าริมน้ำสองแคว-แม่กลอง จังหวัดกาญจนบุรี
2025-09-08T06:41:46+07:00
ธนาศิลป์ ทองสมจิตต์
Thanasin.educu@gmail.com
นุชษรา ติเยาว์
nan.nutsara@gmail.com
<p>การพัฒนาการท่องเที่ยวกีฬาทางน้ำเชิงสร้างสรรค์มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจท้องถิ่น และยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนริมแม่น้ำในจังหวัดกาญจนบุรี การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวกีฬาทางน้ำเชิงสร้างสรรค์และออกแบบแพ็กเกจการท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองเก่าริมน้ำ สองแคว–แม่กลอง จังหวัดกาญจนบุรี การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม คือ การประชุมหารือกำหนดแนวคิดวางแผนเส้นทางร่วมกับ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักประกอบด้วย บุคลากรภาครัฐ ผู้ประกอบการ และผู้นำชุมชน รวมจำนวนทั้งสิ้น 16 ราย การเก็บรวบรวมข้อมูล ดำเนินการโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่มควบคู่กับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณในประเด็นการประเมินความพึงพอใจต่อกิจกรรมจากนักท่องเที่ยว จำนวน 100 ราย โดยใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ข้อมูลที่ได้ถูกนำไปใช้ในการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวทางน้ำต้นแบบ “วิถีชีวิตริมสองแคว” และกิจกรรม “SUP Friday: เดินตลาดพาย SUP” ซึ่งผลการประเมินความพึงพอใจอยู่ในระดับดีมาก โดยเฉพาะด้านความน่าสนใจ ค่าเฉลี่ยระดับคะแนนที่ 4.61 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 0.52 ความปลอดภัย ค่าเฉลี่ยระดับคะแนนที่ 4.45 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 0.55 และการมีส่วนร่วมของชุมชน นอกจากนี้ยังได้ออกแบบโปรแกรมการท่องเที่ยวแบบ 1 วัน ที่สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ ทั้งในด้านประสบการณ์ ความคุ้มค่า และการถ่ายทอดอัตลักษณ์ท้องถิ่นอย่างสร้างสรรค์ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการบูรณาการกีฬา วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สามารถยกระดับพื้นที่ชุมชนริมแม่น้ำสองแคว–แม่กลองให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพและยั่งยืนได้ กิจกรรมและแพ็กเกจที่พัฒนาขึ้นมีลักษณะเป็นโมดูลปรับได้ซึ่งช่วยส่งเสริมความเป็นเจ้าของของชุมชน เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมสุขภาวะของผู้เข้าร่วม ผลการทดลองเชิงพื้นที่และการประเมินยืนยันศักยภาพในการนำไปใช้จริงและการปรับขยายเป็นต้นแบบสำหรับบริบทพื้นที่อื่น ๆ โดยคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม</p>
2025-12-13T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/4805
การศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ตาม 3อ.2ส. ของพนักงานออฟฟิต ในเขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร
2025-10-18T14:10:49+07:00
ฐิตินันท์ ยศชู
biggajoo2627@gmail.com
วรเมธ ประจงใจ
p.vorramate@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบตัวแปรที่มีผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. ของพนักงานออฟฟิตในเขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร จำแนกตามตัวแปร เพศ อายุ สถานภาพ และระดับการศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็น พนักงานออฟฟิตในเขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นแบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ตาม 3อ.2ส.ของประชาชน ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป (ฉบับปรับปรุงปี 2561) โดยมีสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยจากการวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ระหว่างกลุ่ม (ทีเทศและเอฟเทส) ในกรณีที่พบว่ามีความแตกต่างกัน จึงทำการทดสอบเป็นรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ โดยกำหนดระดับความมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า 1) ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. ของกลุ่มตัวอย่าง โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 67.08 และ 2) ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. จำแนกตามตัวแปร ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ และระดับการศึกษานั้น แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากข้อค้นพบของการวิจัยในครั้งนี้ สรุปว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ตาม 3อ.2ส. ของพนักงานพนักงานออฟฟิตในเขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร อยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรส่งเสริมให้ประชาชนได้เล็งเห็นความสำคัญของการออกกำลังกายที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น</p>
2025-12-13T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย