https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย 2025-02-23T10:05:36+07:00 ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร.เตชภณ ทองเติม spsc_journal@sskru.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย (Journal of Sports Science and Health Innovation, Rajabhat University Group of Thailand: SHIRT) เป็นวารสารทางวิชาการของ เครือข่ายสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการและบทความวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา การออกกำลังกาย พลศึกษา สุขศึกษา นันทนาการ และการบูรณาการศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้หลักวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพสู่ชุมชนและท้องถิ่น <strong>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ท่าน </strong>โดยมีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 4 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1 (มกราคม - มีนาคม) ฉบับที่ 2 (เมษายน - มิถุนายน) ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม - กันยายน) และ ฉบับที่ 4 (ตุลาคม - ธันวาคม)</p> <p><strong>ISSN : 2821-9511 (Online)</strong></p> https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/3783 วิศวกรรมและเทคโนโลยีการกีฬาในประเทศไทย: สถานการณ์ปัจจุบัน โอกาส และความท้าทายในยุคดิจิทัล 2025-01-20T09:32:33+07:00 เตชภณ ทองเติม spsc_network@hotmail.com <p>วิศวกรรมและเทคโนโลยีการกีฬาเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับมาตรฐานวงการกีฬาไทยสู่ระดับสากล โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบฝึกซ้อม การแข่งขัน และการจัดการกีฬา ประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีกีฬาผ่านการสนับสนุนนโยบายภาครัฐ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมงานวิจัยและนวัตกรรม เช่น ระบบวิเคราะห์สมรรถภาพนักกีฬาแบบเรียลไทม์ และแพลตฟอร์มการแข่งขันกีฬาอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญยังคงอยู่ที่การขาดแคลนบุคลากรเฉพาะทาง งบประมาณที่จำกัด และการบูรณาการเทคโนโลยีในระบบกีฬาที่ยังไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้มุ่งศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันของวิศวกรรมและเทคโนโลยีการกีฬาในประเทศไทย วิเคราะห์โอกาสและอุปสรรค พร้อมนำเสนอแนวทางการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในระดับภูมิภาคและสากล ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมการกีฬา การพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีกีฬา และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยลดข้อจำกัดและยกระดับวงการกีฬาไทย นอกจากนี้ การพัฒนาบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการกีฬาและการส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ในระดับอุดมศึกษา จะช่วยเติมเต็มช่องว่างด้านทรัพยากรบุคคล และสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีกีฬาไทยในระยะยาวได้</p> 2025-02-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/3826 เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กับการยกระดับมาตรฐานการตัดสินกีฬาวอลเลย์บอล 2025-01-28T13:36:33+07:00 พรชัย ทาธิสา auy.pornchai1986@gmail.com ลักษมี ฉิมวงษ์ auy.pornchai1986@gmail.com นภัสวรรณ เจริญชัยภินันท์ auy.pornchai1986@gmail.com <p>การบูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และกฎการชาเลนจ์ในการตัดสินกีฬาวอลเลย์บอลเป็นตัวอย่างของการยกระดับมาตรฐานการแข่งขันในบริบทของกีฬาสมัยใหม่ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) วิเคราะห์ประสิทธิภาพและข้อจำกัดของกฎการชาเลนจ์ในด้านความแม่นยำ ความโปร่งใส และผลกระทบต่อความยุติธรรม รวมถึงข้อจำกัด เช่น ความล่าช้าในการตัดสินและความท้าทายทางเทคนิค 2) ศึกษาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อพัฒนากระบวนการตัดสิน โดยเน้นการใช้หลักการการเรียนรู้ของเครื่อง (ML) ในการตรวจจับการสัมผัสบอล การละเมิดกติกา และการลดข้อผิดพลาดของมนุษย์ และ 3) ประเมินผลกระทบของเทคโนโลยีต่อผู้ชม นักกีฬา และความเหมาะสมของกฎกติกาในบริบทการแข่งขันสมัยใหม่ ผลการศึกษาพบว่า เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยเพิ่มความแม่นยำและความโปร่งใสในกระบวนการตัดสิน ส่งผลให้ผู้ชมมีความพึงพอใจและนักกีฬามีความมั่นใจในระบบการแข่งขันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ในด้านข้อจำกัดของทรัพยากร การพัฒนาบุคลากร และการยอมรับจากผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทยที่ยังมีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานและงบประมาณ นอกจกนี้บทความนี้ยังได้ชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการพัฒนาผ่านการสนับสนุนจากภาครัฐ เอกชน และความร่วมมือระดับนานาชาติ ตลอดจนการริเริ่มโครงการนำร่องในระดับชุมชน เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการยกระดับมาตรฐานการตัดสินกีฬาวอลเลย์บอลไทยให้เทียบเท่าระดับสากลอย่างยั่งยืน</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/3876 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับโมเดลเลิฟเพื่อส่งเสริมความสามารถ ในการใช้ทักษะชีวิตของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2025-02-23T10:05:36+07:00 สุดารัตน์ โพธิสาขา sudarat.pg66@ubru.ac.th ไชยวัฒน์ นามบุญลือ chaiyawat.n@ubru.ac.th ปริญา ปริพุฒ pariya.p@ubru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นแบบกึ่งทดลองโดยใช้กลุ่มตัวอย่างหนึ่งกลุ่มทดสอบก่อนและหลังทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับโมเดลเลิฟ 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน 3. ศึกษาระดับความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และ 4. ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเลิงนกทา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 40 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผน เวลา 12 ชั่วโมง แบ่งเป็น 3 หน่วยการเรียนรู้ หน่วยละ 4 ชั่วโมง วัดผลหลังเรียนในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ 2. แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3. แบบประเมินความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และ 4. แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1. กิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับโมเดลเลิฟ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) T: Touch เผชิญปัญหา 2) A: Active ทำความเข้าใจ วิเคราะห์ 3) C: Cooperate ศึกษาค้นคว้า แก้ปัญหา 4) H: How to เห็นคุณค่า นำไปใช้ โดยผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าดัชนีความสอดคล้องขององค์ประกอบแผนการจัดการเรียนรู้ 0.97 2. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. นักเรียนมีความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตในภาพรวมร้อยละ 89.41 อยู่ในระดับดีเยี่ยม 4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้ คะแนนเฉลี่ยรวม 4.79 คะแนน อยู่ในระดับมากที่สุด<span class="Apple-converted-space"> </span></p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/3882 ผลของการฝึกการกระโดดขึ้นลงจากกล่องที่มีต่อพลังกล้ามเนื้อขา ของนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2025-02-13T23:24:45+07:00 สิริญากร ขาดรัมย์ potisan_jukdao@hotmail.com อมรรัตน์ ทองน้อย potisan_jukdao@hotmail.com สาคเรศ กุลวงศ์ potisan_jukdao@hotmail.com ธนวรรณพร ศรีเมือง potisan_jukdao@hotmail.com ไตรมิตร โพธิแสน potisan_jukdao@hotmail.com จักรดาว โพธิแสน potisan_jukdao@hotmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการฝึกกระโดดขึ้นลงจากกล่องที่มีต่อพลังกล้ามเนื้อขาของนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิง โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิง จำนวน 12 คน อายุระหว่าง 18–22 ปี เข้าร่วมโปรแกรมการฝึกเป็นเวลา 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ โปรแกรมการฝึกกระโดดขึ้นลงจากกล่องที่คณะผู้วิจัยสร้างขึ้น ทำการวิเคราะห์ข้อมูลก่อนและหลังการฝึก ประเมินพลังกล้ามเนื้อขาด้วยแบบทดสอบการยืนกระโดดไกลและการกระโดดสูง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการฝึก ค่าการกระโดดไกลและค่าการกระโดดสูงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) สรุปได้ว่า โปรแกรมโปรแกรมการฝึกกระโดดขึ้นลงจากกล่องสามารถพัฒนาพลังกล้ามเนื้อขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรถูกนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนานักกีฬาวอลเลย์บอลในระดับมหาวิทยาลัยและระดับแข่งขัน</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/3802 การเปรียบเทียบการยืดเหยียดกล้ามเนื้อและการนวดผ่อนคลายในการบรรเทา อาการปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย: การศึกษานำร่อง 2025-01-26T00:22:26+07:00 สุรธัส เกิดแก้ว manratree@hotmail.com ชนกันต์ สุทธิประภา manratree@hotmail.com พนิดา ชูเวช manratree@hotmail.com กฤษธิชัย สารกุล manratree@hotmail.com ปริวัตร ปาโส manratree@hotmail.com <p>การศึกษานี้เป็นการศึกษานำร่องที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของ การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และ การนวดผ่อนคลายต่อการบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย กลุ่มตัวอย่างจำนวน 10 คน ถูกสุ่มแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งได้รับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และกลุ่มที่สองได้รับการนวดผ่อนคลาย หลังการออกกำลังกายที่กำหนดความหนัก 85% ของ 1RM เก็บข้อมูลด้วยการวัดระดับความปวดกล้ามเนื้อในสามช่วงเวลา ได้แก่ ทันทีหลังออกกำลังกาย หลัง 24 ชั่วโมง และหลัง 48 ชั่วโมง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t และการวิเคราะห์ความแปรปรวนชนิดวัดซ้ำหากพบความแตกต่าง จะใช้การทดสอบรายคู่ด้วยวิธีของบอนเฟอโรนิ โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p &lt; .05 ผลการวิจัยพบว่า การนวดผ่อนคลายสามารถลดระดับความปวดกล้ามเนื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ ในระยะสั้นและระยะกลาง (p &lt; .05) โดยเฉพาะในช่วง 24 และ 48 ชั่วโมงหลังการออกกำลังกาย เมื่อเปรียบเทียบกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ขณะที่การยืดเหยียดกล้ามเนื้อมีแนวโน้มให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การเลือกวิธีการฟื้นตัวควรคำนึงถึงความเหมาะสมและข้อจำกัดของผู้ใช้ การศึกษานี้สนับสนุนให้ ใช้การนวดผ่อนคลาย เป็นแนวทางหลักในการลดอาการปวดกล้ามเนื้อในระยะเวลาสั้น และแนะนำให้ การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เป็นกลยุทธ์เสริมในระยะยาว เพื่อส่งเสริม การฟื้นตัวของกล้ามเนื้อและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/2668 ผลของการฝึกความแข็งแรงที่มีต่อกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวของนักกีฬา รักบี้ฟุตบอลหญิง มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2024-05-24T15:21:34+07:00 ศุภกร คลังบุญวาสน์ t.potisan@gmail.com วรากร โทไข่ษร t.potisan@gmail.com วัชรินทร์ มีชัยธร t.potisan@gmail.com นนทกร คงดี t.potisan@gmail.com ธนวรรณพร ศรีเมือง ouye_131@hotmail.com ไตรมิตร โพธิแสน t.potisan@gmail.com <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการฝึกความแข็งแรงที่มีต่อกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวของนักกีฬารักบี้ฟุตบอลหญิง มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และเปรียบเทียบผลของการฝึกความแข็งแรงที่มีต่อกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวของนักกีฬารักบี้ฟุตบอลหญิง มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็นนักกีฬารักบี้ฟุตบอลหญิง 10 คน อายุระหว่าง 19-23 ปี ที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น โปรแกรมฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ทำการฝึกเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ๆ ละ 3 วัน ๆ 60 นาที สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติค่าที ผลการวิจัยพบว่า หลังการฝึก 4 สัปดาห์ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวของนักกีฬารักบี้ฟุตบอลหญิง มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามดีกว่าก่อนการฝึกอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p> 2025-03-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/2665 ผลของการฝึกทักษะการเสิร์ฟเซปักตะกร้อร่วมกับการฝึกความอ่อนตัว ที่มีต่อประสิทธิภาพและความแม่นยำในการเสิร์ฟ 2024-05-24T13:59:46+07:00 พงศกร แย้มเอิบสิน fairydell999@gmail.com ศิริพร สัตยานุรักษ์ fairydell999@gmail.com ธาวุฒิ ปลื้มสำราญ fairydell999@gmail.com <p>การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของโปรแกรมการฝึกทักษะการเสิร์ฟเซปักตะกร้อร่วมกับการฝึกความอ่อนตัวที่มีต่อประสิทธิภาพและความแม่นยำในการเสิร์ฟ กลุ่มตัวอย่างเป็น นักศึกษา ที่ผ่านการเรียนในรายวิชา ทักษะกีฬาเซปักตะกร้อ และมีความสนใจที่จะเข้าร่วมการฝึกทักษะการเสิร์ฟเซปักตะกร้อร่วมกับการฝึกความอ่อนตัวที่มีต่อประสิทธิภาพและความแม่นยำในการเสิร์ฟ จำนวน 30 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 15 คน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ และใช้แบบทดสอบความแม่นยำในการเสิร์ฟเซปักตะกร้อ โดบประยุกต์ใช้ของ วิทเวช วงศ์เพม ก่อนการฝึก และหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และ 8 นำผลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัย พบว่า หลังการฝึกทักษะการเสิร์ฟเซปักตะกร้อร่วมกับการฝึกความอ่อนตัวที่มีต่อประสิทธิภาพและความแม่นยำในการเสิร์ฟ สัปดาห์ที่ 4 และ 8 กลุ่มทดลองมีความแม่นยำในการเสิร์ฟเซปักตะกร้อดีขึ้นกว่าก่อนการฝึก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และเมื่อเปรียบเทียบความแม่นยำในการเสิร์ฟเซปักตะกร้อของนักศึกษา มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตลำปาง ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่า ภายหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และ 8 กลุ่มทดลอง มีความแม่นยำในการเสิร์ฟเซปักตะกร้อดีขึ้นกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01<span class="Apple-converted-space"> </span></p> 2025-03-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/2872 ผลของโปรแกรมการฝึกแบบสถานีที่มีต่อความคล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาฟุตบอลชาย โครงการห้องเรียนกีฬาโรงเรียนสารคามพิทยาคม จังหวัดมหาสารคาม 2024-07-10T14:32:59+07:00 วัชรา ปะมาคะโม Chayakorn.ph@rmu.ac.th ภูริภัทร วิทักษบุตร Chayakorn.ph@rmu.ac.th พงษ์นรินทร์ ดาแก้ว Chayakorn.ph@rmu.ac.th ฤทธิเดช คำทุม Chayakorn.ph@rmu.ac.th ธนวรรณพร ศรีเมือง ouye_131@hotmail.com ชยกร พาลสิงห์ Chayakorn.ph@rmu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการฝึกแบบสถานีที่มีต่อความคล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาฟุตบอลชาย โครงการห้องเรียนกีฬาโรงเรียนสารคามพิทยาคม จังหวัดมหาสารคาม และเพื่อเปรียบเทียบผลของโปรแกรมการฝึกแบบสถานีที่มีต่อความคล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาฟุตบอลชาย โครงการห้องเรียนกีฬาโรงเรียนสารคามพิทยาคม จังหวัดมหาสารคาม ก่อนการฝึกและหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักกีฬาฟุตบอลโรงเรียนสารคามพิทยาคม อายุ 15 ปี จำนวน 15 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เป็นผู้ที่มีความคล่องแคล่วว่องไวต่ำกว่ามาตรฐาน ฝึกด้วยโปรแกรมแบบสถานี ระยะเวลาที่ใช้ในการทำวิจัย 8 สัปดาห์ ๆ ละ 3 วัน ในวันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี เวลา 16:30-17:00 น. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ โปรแกรมการฝึกแบบสถานี และแบบทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว Semo Agility Test สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที (pair sample t-test) ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยการทดสอบจับเวลาที่ดีที่สุด โดยใช้แบบทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว Semo Agility Test ภายในกลุ่มตัวอย่างก่อนการฝึกและหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 ผลของโปรแกรมการฝึกแบบสถานีที่มีต่อความคล่องแคล่วว่องไวของนักกีฬาฟุตบอลชาย โครงการห้องเรียนกีฬาโรงเรียนสารคามพิทยาคม จังหวัดมหาสารคาม ดีกว่าก่อนการฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05<span class="Apple-converted-space"> </span></p> 2025-03-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/3776 โปรแกรมนันทนาการที่มีผลต่อสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย 2025-02-06T07:23:04+07:00 ณัฐพล ศิริวัฒนธานี nattponsi63@nu.ac.th ทวีศักดิ์ สว่างเมฆ taweesaksa@nu.ac.th ขจรศักดิ์ รุ่นประพันธ์ Kajornsakr@nu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลการใช้โปรแกรมนันทนาการที่มีผลต่อสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมนันทนาการ และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลการใช้โปรแกรมนันทนาการที่มีผลต่อสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมนันทนาการ ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ประชากรคือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดท่ามะปราง) ปีการศึกษา 2566 จำนวน 3 ห้อง ซึ่งแบ่งเป็นตัวอย่างกลุ่มทดลอง จำนวน 36 คน และตัวอย่างกลุ่มควบคุม จำนวน 36 คน โดยทำการแบ่งกลุ่มแบบคละ ซึ่งใช้ผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพเป็นเกณฑ์การแบ่ง ได้แก่ ดี ปานกลาง และอ่อน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมนันทนาการที่มีผลต่อสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย ที่คณะผู้วิจัยพัฒนาขึ้น และ 2) แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ในกลุ่มทดลอง พบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายด้านความอ่อนตัว ความอดทนของระบบไหลเวียนเลือด ความอดทนของกล้ามเนื้อ และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อของกลุ่มทดลอง หลังการทดลองดีกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 2) พบความแตกต่างของผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพในด้านองค์ประกอบร่างกาย ความอ่อนตัว ความอดทนของระบบไหลเวียนเลือด ความอดทนของกล้ามเนื้อ และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อของกลุ่มทดลองดีกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/SPSC_Network/article/view/2326 การศึกษาและวิเคราะห์รูปแบบในการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอลหญิง 3x3 รอบชิงชนะเลิศ การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 2024-03-06T11:42:05+07:00 วารุณี กิจรักษา Warunee.kit@udru.ac.th ปรเมษฐ์ ชวนลคร Warunee.kit@udru.ac.th ธราดล จันทะแพน Warunee.kit@udru.ac.th พงศกร โยธพล Warunee.kit@udru.ac.th <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์รูปแบบในการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล 3x3 รอบชิงชนะเลิศ ในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 32 กลุ่มตัวอย่าง คือ ทีมบาสเกตบอล 3x3 ประเภททีมหญิง ทีมชาติเวียดนามและทีมชาติฟิลิปปินส์ โดยมีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ตัวแปรที่ทำการศึกษา คือ 1) ระยะเวลาการแข่งขัน 2) ทักษะการเคลื่อนไหว 3) รูปแบบการกระโดด และ 4) การได้คะแนน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลในครั้งนี้ คือ วิดีโอการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ นำมาบันทึกผลลงในตารางบันทึกผลที่คณะผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยผลการวิจัยที่สำคัญพบว่า 1) ทักษะเฉพาะในกีฬาบาสเกตบอล 3x3 ที่พบมากที่สุด คือ การกระโดด การวิ่งเปลี่ยนทิศทางเป็นรูปแบบที่พบมากเป็นอันดับที่สอง และการวิ่งเดินหน้าถอยหลังเป็นรูปแบบที่พบมากเป็นอันดับที่สาม ส่วนรูปแบบที่พบน้อยที่สุด คือ รูปแบบการวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 2) รูปแบบการทำคะแนนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด คือ รูปแบบการทำคะแนน 2 คะแนน และ 3) อัตราส่วนการเล่นต่อการพัก พบว่าทั้ง 2 ทีม มีอัตราส่วนการเล่นเฉลี่ย 23:12 วินาที อัตราส่วนการเล่น:การพักมากที่สุด 65:26 วินาที อัตราส่วนการเล่น:การพักน้อยที่สุด 3:7 วินาที<span class="Apple-converted-space"> </span></p> 2025-03-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและนวัตกรรมสุขภาพ กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย