https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข วชิระภูเก็ต 2025-06-27T00:00:00+07:00 นายแพทย์สมิทธิ์ สร้อยมาดี journal.vchpk@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข วชิระภูเก็ต</strong></p> <p><strong>Old ISSN: 2773-8671 (Online)</strong></p> <p><strong>New ISSN: 3057-1960 (Online)</strong></p> <p> </p> <p><strong>นโยบายการเผยแพร่ - จุดมุ่งหมายและขอบเขต</strong></p> <p>เพื่อเผยแพร่วิทยาการความก้าวหน้าและผลงานทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ การพยาบาล วิทยาศาสตร์ประยุกต์ พฤติกรรมสุขภาพ อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม พิษวิทยา สาธารณสุขชุมชน ทันตสาธารณสุข เภสัชสาธารณสุข และสังคมศาสตร์ทางการแพทย์ทั้งของบุคลากรในโรงพยาบาล อาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป</p> https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/4278 AI-Powered Personalized Nutrition Plans for the Elderly in Thailand: A Systematic Literature Review on Implementation Strategies and Feasibility 2025-05-23T15:27:40+07:00 Kanruthay Ruktaengam kanruthayrn@gmail.com <p><strong>Introduction</strong>: The global aging population is rapidly increasing, bringing growing concerns about nutrition-related challenges among the elderly. AI-driven personalized nutrition plans have brought an innovative solution, especially tailored-made approaches relating to individual health information for improving dietary adherence, controlling chronic conditions, and enhancing the quality of life and wellbeing of the elderly.</p> <p><strong> Objective</strong>: This study aims to (1) identify strategies for implementing AI-powered personalized nutrition plans for older adults in Thailand, (2) assess their feasibility, and (3) evaluate their impact on the health and well-being of elderly individuals in Thailand.</p> <p><strong> Method:</strong> This study employs a systematic literature review (SLR) approach to analyze existing research on the implementation and feasibility of AI-powered personalized nutrition plans for the elderly in Thailand.</p> <p><strong>Result:</strong> This systematic review discusses contemporary applications, effectiveness, and challenges of artificial intelligence-based nutrition systems among the elderly. Cutting-edge technologies (e.g., real-time data analytics, machine learning) have made precision nutrition more dynamic, integrating additional data sources (e.g., genomics, microbiomes). These capabilities hold enormous promise for combating obesity, diabetes, and malnourishment and for facilitating healthy aging.</p> <p><strong>Conclusion:</strong> The review emphasizes the importance of cross-disciplinary collaboration among healthcare providers, policymakers, and technologists to integrate AI-powered personalized nutrition into public health systems. Addressing ethical concerns, accessibility, and equity is essential, and future research should focus on improving algorithms, scalability, and long-term impact to promote global health equity.</p> 2025-06-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข วชิระภูเก็ต https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/4300 การบริหารจัดการความเสี่ยงในระบบซักฟอกและอบฆ่าเชื้อผ้า : แนวทางพัฒนา เพื่อยกระดับความปลอดภัยในโรงพยาบาลระดับจังหวัด 2025-05-23T15:23:56+07:00 คฑาวุธ คุณวันดี saowaluk.see@neuu.ac.th เสาวลักษณ์ ศรีดาเกษ saowaluk.see@neu.ac.th นิรุวรรณ เทิร์นโบล์ saowaluk.see@neuu.ac.th <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>การควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบคุณภาพบริการสุขภาพ <br />โดยกระบวนการซักฟอกและอบฆ่าเชื้อผ้ามีบทบาทสำคัญในฐานะกลไกสนับสนุนที่ส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากร</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์ระบบบริหารจัดการความเสี่ยงในกระบวนการซักฟอกและอบฆ่าเชื้อผ้าในโรงพยาบาลระดับจังหวัด</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การวิเคราะห์เชิงเอกสารจากแหล่งข้อมูลทั้งในระดับประเทศและระดับสากล</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>แบ่งประเด็นออกเป็น 5 หัวข้อหลัก ได้แก่ 1) บทบาทและความสำคัญของกระบวนการซักฟอก 2) ประเภทของความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง 3) ปัญหาเชิงระบบ 4) ทฤษฎีและแนวทางปฏิบัติในการจัดการความเสี่ยง และ 5) แนวทางการพัฒนาระบบที่เน้นการจัดพื้นที่ การอบรมบุคลากร การใช้เทคโนโลยี การบันทึกข้อมูล และการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> บทความนี้นำเสนอแนวทางการพัฒนาระบบซักฟอกให้สอดคล้องกับแนวทางของ WHO และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยในระบบบริการสุขภาพอย่างยั่งยืน</p> 2025-06-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข วชิระภูเก็ต https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/4276 การบริหารสาธารณสุขชุมชนอย่างยั่งยืนตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2025-05-26T14:55:11+07:00 พะกาสิทธิ์ สุขผดุง saowaluk.see@neuu.ac.th เสาวลักษณ์ ศรีดาเกษ saowaluk.see@neu.ac.th อรรถวิทย์ สิงห์ศาลาแสง saowaluk.see@neuu.ac.th <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การบริหารจัดการสาธารณสุขระดับชุมชนมีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน<br />อย่างยั่งยืน โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของชุมชนและการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ชุมชน<br />ในประเทศไทย ยังคงประสบปัญหาด้านทรัพยากร การสื่อสารด้านสุขภาพและความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ซึ่งจำเป็นต้องมีแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น เช่น การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในงานสาธารณสุข</p> <p><strong> วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> (1) อธิบายบทบาทของการบริหารจัดการสาธารณสุขระดับชุมชนในการเสริมสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืน (2)วิเคราะห์การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในแผนงานและพัฒนาสุขภาพชุมชน (3) เสนอแนวทางนโยบายการพัฒนาสุขภาพชุมชนผ่านการมีส่วนร่วมและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า</p> <p><strong> วิธีการการศึกษา</strong><strong>:</strong> บทความนี้ ใช้การทบทวนวรรณกรรมและการวิเคราะห์เชิงประยุกต์ โดยใช้กรอบแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง แนวคิดการมีส่วนร่วมของชุมชน และแบบจำลอง PRECEDE–PROCEED ในการวิเคราะห์แนวทางการบริหารจัดการสาธารณสุขชุมชนและใช้กรณีศึกษาของ “ตำบลสุขภาพดี” เป็นตัวอย่างแนวทางที่สอดคล้องกับแนวคิดเหล่านี้</p> <p><strong> ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> การบริหารจัดการสาธารณสุขตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงช่วยเสริมสร้างความยั่งยืน<br />ของระบบสาธารณสุข โดยเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างพอประมาณ มีเหตุผลและสร้างภูมิคุ้มกันในระบบสาธารณสุข ชุมชนที่นำแนวคิดนี้ไปใช้ เช่น ตำบลสุขภาพดี สามารถลดปัญหาสุขภาพเรื้อรังได้ และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม</p> <p><strong> </strong><strong>สรุปผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> การผนวกหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับการบริหารจัดการสาธารณสุขระดับชุมชนเป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการสร้างระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืน มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น การส่งเสริมการมีส่วนร่วม การใช้เทคโนโลยีควบคู่กับภูมิปัญญาท้องถิ่น และการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ควรได้รับการสนับสนุนในนโยบายสาธารณสุขในอนาคต</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข วชิระภูเก็ต https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/4450 ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการบริหารงานของโรงพยาบาลฉลอง จังหวัดภูเก็ต 2025-06-23T11:22:29+07:00 ระวิเพ็ญ กิ่งแก้ว rawipen@gmail.com <p><strong>ภูมิหลังและวัตถุประสงค์</strong>: ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี และการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบสาธารณสุข ทำให้โรงพยาบาล<br />ทุกระดับต้องมีการปรับตัวเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ <br />1) ศึกษาปัจจัยภายในองค์กร ปัจจัยภายนอกองค์กร และความสำเร็จในการบริหารงาน 2) ศึกษาปัจจัยภายในองค์กรที่มีผลต่อความสำเร็จในการบริหารงาน 3) ศึกษาปัจจัยภายนอกองค์กรที่มีผลต่อความสำเร็จในการบริหารงาน และ 4) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของโรงพยาบาลฉลอง จังหวัดภูเก็ต</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรโรงพยาบาลฉลอง จังหวัดภูเก็ต จำนวน 140 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการสัมภาษณ์เชิงลึก คือ ผู้บริหาร และหัวหน้ากลุ่มงาน จำนวน 5 คน โดยวิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: พบว่า 1) ปัจจัยภายในองค์กร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยให้ความสำคัญมากที่สุดด้านทักษะ ปัจจัยภายนอกองค์กร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยให้ความสำคัญมากที่สุดด้านสังคม และความสำเร็จในการบริหารงานของโรงพยาบาลฉลอง จังหวัดภูเก็ต ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยให้ความสำคัญมากที่สุดด้าน Service Excellence บริการเป็นเลิศ 2) ปัจจัยภายในองค์กรที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารงานของโรงพยาบาลฉลอง ได้แก่ ด้านโครงสร้างองค์กร ด้านค่านิยมร่วม และด้านบุคลากร โดยสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของความสำเร็จในการบริหารงาน ได้ร้อยละ 68.10 3) ปัจจัยภายนอกองค์กรที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารงานของโรงพยาบาลฉลอง ได้แก่ ด้านสังคม ด้านเทคโนโลยี และ ด้านการเมืองและกฎหมาย โดยสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของความสำเร็จในการบริหารงาน ได้ร้อยละ 73.00</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>การบริหารงานโรงพยาบาลฉลองให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องพิจารณาทั้งปัจจัยภายในและภายนอก โดยการบูรณาการทรัพยากรเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการอย่างยั่งยืน</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข วชิระภูเก็ต https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/4354 การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจในระยะวิกฤตที่เกิดภาวะแทรกซ้อน ในระบบทางเดินหายใจ 2025-06-09T11:36:33+07:00 มะลิวัล อาจหาญ fadeladonis56@gmail.com <p> <strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Bypass Graft: CABG) เป็นการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะภาวะแทรกซ้อนในระบบทางเดินหายใจในระยะวิกฤตหลังผ่าตัด ซึ่งอาจส่งผลต่อระยะเวลาการพักรักษาในโรงพยาบาลและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการเฝ้าระวัง ประเมิน วางแผน และให้การพยาบาลอย่างครอบคลุมและต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและลดภาวะแทรกซ้อน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหลังรับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจในระยะวิกฤตจำนวน 2 ราย ที่มีภาวะแทรกซ้อนในระบบทางเดินหายใจจากสาเหตุและปัจจัยที่ต่างกัน</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบกรณีศึกษาเปรียบเทียบผู้ป่วย 2 รายที่ได้รับการผ่าตัด CABG และเกิดภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจจากปัจจัยและพยาธิสภาพที่แตกต่างกัน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> กรณีศึกษาที่ 1 เป็นชายอายุ 56 ปี มีภาวะช็อกจากหัวใจล้มเหลวและติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจต้องใส่ท่อช่วยหายใจนาน 5 วัน ส่วนกรณีที่ 2 เป็นหญิงอายุ 71 ปี มีโรคร่วมหลายโรคและเกิดภาวะหายใจล้มเหลวจากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังต้องใส่ท่อช่วยหายใจและภายหลังต้องเจาะคอ ทั้งสองรายมีจำนวนหลอดเลือดที่ตีบเท่ากัน แต่แตกต่างกันในด้านอายุ โรคประจำตัว และความสามารถในการหย่าเครื่องช่วยหายใจ</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการวางแผนการพยาบาลเฉพาะรายอย่างเป็นองค์รวม เพื่อป้องกันและจัดการภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น อันเป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพพยาบาลและคุณภาพการดูแลผู้ป่วย CABG ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข วชิระภูเก็ต