วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข วชิระภูเก็ต https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK <p>วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข วชิระภูเก็ต</p> <p><a title="ISSNU" href="https://portal.issn.org/resource/ISSN/2773-8671" target="_blank" rel="noopener"><strong><span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none"><img src="https://he03.tci-thaijo.org/public/site/images/wutthichaic/mceclip1-d70eb4a79cf664a8924049c608bebf85.png" alt="" width="373" height="135" /></span></strong></a></p> <p>นโยบายการเผยแพร่ - จุดมุ่งหมายและขอบเขต</p> <p>เพื่อเผยแพร่วิทยาการความก้าวหน้าและผลงานทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ การพยาบาล วิทยาศาสตร์ประยุกต์ พฤติกรรมสุขภาพ อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม พิษวิทยา สาธารณสุขชุมชน ทันตสาธารณสุข เภสัชสาธารณสุข และสังคมศาสตร์ทางการแพทย์ทั้งของบุคลากรในโรงพยาบาล อาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป</p> th-TH journal.vchpk@gmail.com (นายแพทย์สมิทธิ์ สร้อยมาดี) netnuanyai@gmail.com (ดร.เรืองสิทธิ์ เนตรนวลใย) Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจผ่าตัดลดอ้วนของผู้ป่วยโรคอ้วน โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3949 <p><strong>ภูมิหลัง</strong><strong>:</strong> ปัจจุบันมีวิธีการลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนหลากหลายวิธี การรักษาโดยวิธีการผ่าตัดโรคอ้วน เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดที่สามารถควบคุมน้ำหนักตัวเป็นเวลานาน และลดโอกาสเกิดโรคร่วมได้ดี</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาลักษณะส่วนบุคคลของผู้ป่วยโรคอ้วนที่ตัดสินใจผ่าตัดลดอ้วน โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจผ่าตัดลดอ้วน ของผู้ป่วยโรคอ้วน โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษานี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Study) มีกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคอ้วนที่เข้ามารับการรักษาในคลินิกโรคอ้วนด้วยการผ่าตัดลดอ้วน ตั้งแต่เดือนเมษายน – มิถุนายน 2567 จำนวน 93 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสัมภาษณ์ โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วน แบบสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามข้อมูลด้านปัจจัยนำ ด้านปัจจัยเอื้อ และด้านปัจจัยเสริม วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาแสดงจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยโรคอ้วนที่ตัดสินใจผ่าตัดลดอ้วนส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 21-30 ปี มีระดับการศึกษาปริญญาตรี หรือเทียบเท่า สถานภาพโสด ประกอบอาชีพรับจ้าง เงินเดือนระหว่าง 15,001 - 20,000 บาทต่อเดือน และไม่มีโรคประจำตัว ปัจจัยนำด้านความรู้ ทัศนคติ และความเชื่อ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 78.5 , 83.9 และ 62.4 ตามลำดับ ส่วนระดับปัจจัยเอื้อและปัจจัยเสริม อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 97.8 และ 94.6 ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ควรมีการออกแบบโปรแกรมการให้ข้อมูลผู้ป่วยโรคอ้วน เพื่อประกอบการตัดสินใจยินยอมในการผ่าตัดลดอ้วน และเป็นการให้ข้อมูลเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัด และหลังผ่าตัด เพื่อให้ผู้ป่วยมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ลดความวิตกกังวล ลดภาวะแทรกซ้อน และเพื่อให้การรักษาโรคอ้วนโดยการผ่าตัดเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นต่อไป</p> สิริกาญจน์ คัลลาห์นะ Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3949 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 อุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิต ภายใน 24 ชั่วโมงของการผ่าตัดในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับการระงับความรู้สึกเพื่อเข้ารับการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3951 <p><strong>ภูมิหลัง:</strong> การติดตามภาวะแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิตจากการผ่าตัดในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ต้องรับการดมยาสลบเพื่อผ่าตัดหัวใจแบบเปิดถือเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงความปลอดภัยและผลลัพธ์ของผู้ป่วย การประเมินก่อนผ่าตัด การจัดการการดมยาสลบ และการดูแลหลังผ่าตัดที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงและส่งเสริมการฟื้นตัว</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาอุบัติการณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิต ภายใน 24 ชั่วโมงของการผ่าตัด ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับการระงับความรู้สึก เข้ารับการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง Retrospective study โดยเก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลังจากฐานข้อมูลอิเลกทรอนิกส์ ประวัติผู้ป่วยในงานเวชระเบียนและงานบริหารความเสี่ยงของกลุ่มงานการพยาบาลวิสัญญี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เลือกแบบเจาะจงจากผู้ป่วยผู้ใหญ่อายุเท่ากับหรือมากกว่า 18 ปี ที่เข้ารับการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด จำนวน 290 ราย เก็บข้อมูลระหว่าง 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564 - 30 กันยายน พ.ศ. 2565 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบบันทึกข้อมูลทั่วไปประกอบด้วย ปัจจัยภายในบุคคล และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผ่าตัด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบความสัมพันธ์โดยใช้ Chi-square</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>อุบัติการณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนภายใน 24 ชั่วโมงของการผ่าตัด 60.3% และอุบัติการเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมงของการผ่าตัดมีจำนวน 2 ราย (0.7%) โดยพบภาวะแทรกซ้อน 3 อันดับแรก ได้แก่ ระบบหัวใจและหลอดเลือด (43.4%) ระบบหายใจ (19.7%) ระบบประสาท (10%) ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนและเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง พบว่า ปัจจัยเสี่ยงภายในบุคคลคือ ความเร่งด่วนของการผ่าตัดมีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมงของการผ่าตัดอย่างมีนัยสำคัญ (p-value=0.038, odd ratio 2.616, 95% CI 1.025-6.652) ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผ่าตัดไม่มีความสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> นำผลการศึกษานี้ ไปวิเคราะห์เชิงลึกหาปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดหัวใจ พัฒนาแนวทางการเยี่ยมผู้ป่วยก่อน-หลังผ่าตัด พัฒนาระบบการเยี่ยมประเมินผู้ป่วยที่รับการผ่าตัดฉุกเฉิน และพัฒนา Anesthetic record</p> กรวีณา สุขแก้ว Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3951 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้สูงอายุที่มารับบริการในคลินิกโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน (ARI) โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3952 <p><strong>ภูมิหลัง</strong><strong>:</strong> ผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงหากเกิดติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีโอกาสสูงที่จะมีอาการติดเชื้อรุนแรงและเสียชีวิตเมื่อเทียบกับกลุ่มวัยอื่นๆ เนื่องจากมีระดับภูมิต้านทานต่ำ การมีพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จึงเป็นเรื่องสำคัญ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้เกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้สูงอายุ ที่มารับบริการในคลินิกโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน (ARI) โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงพรรณนาเพื่อหาความสัมพันธ์ครั้งนี้ เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่าย โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60-75 ปี ที่มารับบริการในคลินิกโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน (ARI) โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จำนวน 107 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามการรับรู้เกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับดี เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า การรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้ประโยชน์ในการป้องกันโรค และสิ่งชักนำการสนับสนุนทางสังคมด้านข่าวสารการป้องกันโรค ทั้งหมดอยู่ในระดับสูง แต่การรับรู้อุปสรรค อยู่ในระดับต่ำ ส่วนพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับดี และการรับรู้เกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง (r=0.672) กับพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> ควรส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีการรับรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อการมีพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ดี</p> ดวงใจ ยะสารี Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3952 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 A Case Report: The Undiagnosed Leprosy Presents with Chronic Ulcers https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3953 <p><strong>Background</strong>: Leprosy is a rare infectious disease caused by <em>Mycobacterium leprae</em>, with an incubation period of 3–5 years. In its early stages, patients typically develop white or red patches on the skin, often accompanied by numbness in the affected areas. If the disease is not diagnosed and treated promptly, it can progress, leading to complications and potential disabilities.</p> <p><strong>Objective</strong>: To study the symptoms, complications, and diagnostic process of leprosy.</p> <p><strong>Methodology</strong>: A review of leprosy case reports from patients treated at La-ngu Hospital was conducted. The collected data were analyzed and interpreted.</p> <p><strong>Results</strong>: This case study presents a 65-year-old female patient with no underlying conditions who sought treatment for chronic wounds on her hands and feet, persisting for over three years since April 2020. She received antibiotic treatment and wound care, but some wounds did not improve. As a result, the patient underwent amputation of her right little finger to prevent the risk of bloodstream infection. In March 2023, she was diagnosed with <em>Lepromatous leprosy (LL)</em>. After receiving leprosy treatment, her chronic wounds gradually improved.</p> <p><strong>Conclusion</strong>: This case demonstrates how a patient with chronic wounds was diagnosed with lepromatous leprosy (LL) later than expected, which resulted in needless complications, including amputation. Early detection and effective treatment of LL greatly accelerated wound healing and stopped the disease's progression.</p> Chatpisut Pichchayanuphong Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3953 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 การรักษาคลองรากฟันกรามน้อยซี่ที่สอง และฟันกรามใหญ่ซี่ที่หนึ่ง: รายงานผู้ป่วย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3954 <p><strong>ภูมิหลัง</strong><strong>:</strong> การวินิจฉัยโรคของเนื้อเยื่อใน (Pulp tissue) และเนื้อเยื่อรอบปลายราก (Periapical Tissue) เป็นวิทยาศาสตร์และศิลปะในการตรวจจับและแยกแยะความหลายหลายทางธรรมชาติ วัตถุประสงค์ของการวินิจฉัยคือ เพื่อให้คำจำกัดความถึงปัญหาที่ผู้ป่วยมี และหาสาเหตุของปัญหานั้น เพื่อนำไปสู่การรักษา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาการรักษาคลองรากฟัน ในการรักษาการอักเสบของเนื้อเยื่อในและเนื้อเยื่อรอบปลายราก โดยการกำจัดเชื้อโรคในคลองรากฟันด้วยวิธีการขยายคลองรากฟันร่วมกับน้ำยาล้างคลองรากฟันที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ และป้องกันการติดเชื้อซ้ำด้วยการอุดคลองรากฟัน การจำแนกโรคของเนื้อเยื่อใน (Pulp tissue) และโรคของเนื้อเยื่อรอบปลายราก (Periapical Tissue)</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> ศึกษาจากรายงานผู้ป่วย โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการซักประวัติผู้ป่วย และการตรวจในคลินิก และนำข้อมูลที่ได้มารวบรวม ตีความ และประมวลผล นำมาซึ่งการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องแม่นยำ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> รายงานผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 32 ปี เข้ารับการตรวจรักษาเนื่องจากคลินิกเอกชนแนะนำให้มารักษาคลองรากฟัน ผู้ป่วยไม่มีอาการใดๆ จากการตรวจภายในช่องปากและภาพถ่ายรังสี จึงได้รับการวินิจฉัยว่า 25, 26 Pulp necrosis with asymptomatic apical periodontitis ได้รับการรักษาคลองรากฟันโดยไม่ทำศัลยกรรม (Non-surgical root canal treatment) ที่กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลฉลอง โดยนำเสนอการตรวจ การวินิจฉัย ขั้นตอนในการรักษาคลองรากฟันกรามน้อยซี่ที่สอง และฟันกรามใหญ่ซี่ที่หนึ่ง ตลอดจนการติดตามผลการรักษาหลังการรักษาคลองรากฟัน 3 เดือน และ 6 เดือน พบว่าพบว่าผู้ป่วยใช้งานได้อย่างปกติ ภาพรังสีพบการหายของเนื้อเยื่อรอบปลายรากฟัน</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจวินิจฉัยโรคของเนื้อเยื่อใน (Pulp tissue) และเนื้อเยื่อรอบปลายราก (Periapical Tissue) การให้การรักษาคลองรากฟัน ส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถเก็บรักษาฟันเพื่อการใช้งานในช่องปากได้ต่อไป</p> บุณยนุช เสมอมิตร Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3954 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดโดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวคลินิกเคมีบำบัด แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3955 <p><strong>ภูมิหลัง</strong><strong>:</strong> การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดเป็นการรักษาหลักที่แพทย์เลือกใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งผู้ป่วยและผู้ดูแลต้องเผชิญกับอาการไม่พึงประสงค์จากยาเคมีบำบัดเป็นระยะเวลานานและต่อเนื่อง ผู้ดูแลผู้ป่วยจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดโดยการมีส่วนร่วมของครอบครัว ระหว่างกลุ่มทดลองหลังได้รับโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดโดยการมีส่วนร่วมของครอบครัว และกลุ่มควบคุมหลังได้รับการพยาบาลในรูปแบบปกติ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) สองกลุ่มมีการวัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดแบบผู้ป่วยนอกที่เข้ารับการรักษาในคลินิกเคมีบำบัด แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จำนวน 40 คน และสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดที่เข้ารับการรักษาในคลินิกเคมีบำบัด แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2567 จำนวน 40 คน คัดเลือกแบบเจาะจง ตามเกณฑ์คุณสมบัติที่กำหนด เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความเชื่อมั่นจากผู้ทรงคุณวุฒิ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติทดสอบค่าที Independent t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>การมีส่วนร่วมของครอบครัวผ่านโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดช่วยเพิ่มความรู้และพฤติกรรมการดูแลของสมาชิกในครอบครัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้และพฤติกรรมการดูแลสูงกว่ากลุ่มควบคุมหลังการทดลอง (P &lt; .001) ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพของโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> หน่วยงานควรพัฒนาและเผยแพร่โปรแกรมนี้ไปยังครอบครัวของผู้ป่วยมะเร็งในโรงพยาบาลอื่น ๆ เพื่อเพิ่มทักษะและความรู้ของผู้ดูแลในครอบครัวให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ควรมีการติดตามผลระยะยาวเพื่อประเมินผลลัพธ์ที่ยั่งยืนของโปรแกรม</p> จุฑารัตน์ ต่อฑีฆะ Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3955 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ความชุกของภาวะรู้คิดบกพร่อง และความสัมพันธ์ระหว่างการใช้อินเทอร์เน็ตกับภาวะความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยของผู้สูงอายุในชุมชนเมืองจังหวัดภูเก็ต https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3956 <p><strong>ภูมิหลัง</strong><strong>:</strong> ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรผู้สูงอายุซึ่งมาพร้อมปัญหาสุขภาพต่างๆ หนึ่งในนั้นคือภาวะสมองเสื่อม ซึ่งโรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ที่พบได้มากที่สุด</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษา (1) ความชุกของภาวะความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยในผู้สูงอายุในชุมชนเมืองจังหวัดภูเก็ต (2) ความสัมพันธ์ของการใช้อินเตอร์เน็ตกับภาวะความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยของผู้สูงอายุในชุมชนเมืองจังหวัดภูเก็ต (3) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อยของผู้สูงอายุในชุมชนเมืองจังหวัดภูเก็ต</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาวิจัยเชิงพรรณนาแบบตัดขวาง ในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปและเป็นกลุ่มติดสังคม ณ พื้นที่รพสต.ในจังหวัดภูเก็ต 3 แห่ง ในช่วงเดือนสิงหาคม 2566 จำนวน 190 คน โดยใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมสุขภาพ แบบสอบถามการใช้อินเตอร์เน็ต แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า 2Q, 8Q, 9Q แบบคัดกรองภาวะรู้คิดบกพร่อง Mini-Cog แบบคัดกรองภาวะรู้คิดบกพร่อง MoCA โดยเปรียบเทียบปัจจัยระหว่างผู้สูงอายุ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปกติ และกลุ่ม MCI วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปรโดยใช้ Chi-square test และ multiple logistic regression ที่ p-value &lt; 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ความชุกของภาวะรู้คิดบกพร่องของผู้สูงอายุในชุมชนเมืองจังหวัดภูเก็ต ร้อยละ 55.79 ในกลุ่มอายุ 60-69 ปีและ 70-79 ปี มีความชุกที่ใกล้เคียงกัน และเพิ่มมากขึ้น ในกลุ่มอายุมากกว่า 80 ปีขึ้นไป ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อภาวะรู้คิดบกพร่องอย่างมีนัยสำคัญเมื่อวิเคราะห์ปัจจัยรายคู่ ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ รายได้ และ ระดับการศึกษา การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง และการใช้อินเตอร์เน็ต เมื่อวิเคราะห์แบบหลายตัวแปร (Multiple regression analysis) พบว่า มีเพียงปัจจัยเพศ และ อาชีพข้าราชการ ที่เป็นปัจจัยป้องกันการเกิดภาวะรู้คิดบกพร่อง โดยเพศหญิงเป็นปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2.482 (P=0.032, 95%CI =1.082-5.650) อาชีพข้าราชการเป็นปัจจัยป้องกัน (P=0.034, 95%CI =0.036-0.880 )</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> ความชุกของผู้มีภาวะรู้คิดบกพร่องของผู้สูงอายุในชุมชนเมืองในจังหวัดภูเก็ต มีความชุกใกล้เคียงการศึกษาอื่นในพื้นที่เขตเมือง โดยมักพบภาวะรู้คิดบกพร่องในเพศหญิง และพบภาวะรู้คิดบกพร่องน้อยในกลุ่มอาชีพราชการ เป็นปัจจัยทำนายการเกิดภาวะรู้คิดบกพร่อง ในจังหวัดภูเก็ตยังพบผู้สูงอายุที่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสัดส่วนที่สูง ทั้งนี้การใช้อินเตอร์เน็ตยังไม่สามารถทำนายการเกิดภาวะรุ้คิดบกพร่องในผู้สูงอายุได้</p> จิรัชยา บุญมีประกอบ, วรกานต์ ตัณฑุลมาศ Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3956 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 พฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้ป่วยเบาหวานที่มารับบริการคลินิกเบาหวาน 360 องศา โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3957 <p><strong>ภูมิหลัง</strong><strong>: </strong>โรคเบาหวานเป็นโรคที่มีความซับซ้อน การดูแลรักษาจึงไม่เพียงเฉพาะแต่ในเรื่องของการใช้ยาในการควบคุมอาการของโรค แต่ยังต้องมีการให้ความรู้ในการปรับพฤติกรรมการดูแลตนเองในด้านการควบคุมการบริโภคอาหาร และการดูแลตนเองด้านอื่นๆ จากบุคลากรสหสาขาวิชาชีพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้ป่วยเบาหวานที่เข้ารับบริการในคลินิกเบาหวาน 360 องศา โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (cross-sectional descriptive study) กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 125 ราย โดยคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) เพื่อเป็นการศึกษาแบบนำร่อง (pilot study) เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>พฤติกรรมการบริโภคอาหารหวานของผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความเสี่ยงระดับสูง (ร้อยละ 56.0) การบริโภคอาหารไขมันสูงมีความเสี่ยงระดับสูง (ร้อยละ 68.0) และการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูงมีความเสี่ยงระดับปานกลาง (ร้อยละ 72.0) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างปัจจัยด้านข้อมูลประชากร เช่น เพศ อายุ ช่วง Generation และดัชนีมวลกาย (BMI) กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> ควรมีการให้ความรู้และสร้างแนวทางสนับสนุนพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพแก่ผู้ป่วยเบาหวานที่เข้ารับบริการในคลินิกเบาหวาน 360 องศา เพื่อช่วยให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้</p> อังสนา สุวรรณรัฐภูมิ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/VCHPK/article/view/3957 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700