วารสารการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนครพนม
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/bcnnjournal
<p><span lang="TH">วารสารการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนครพนมเป็นวารสารทางวิชาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ</span> <span lang="TH">ตลอดจนเป็นเวทีแลกเปลี่ยนกระบวนเรียนรู้ของบุคลากรทางการพยาบาล บุคลากรทางการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ</span></p> <p><strong><span lang="TH" style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;">กระบวนการพิจารณาบทความ</span></strong><strong><span style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;"> :</span></strong> <span lang="TH">บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญภายนอกสถาบันอย่างน้อย </span>3 <span lang="TH">ท่าน โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อกันและกัน (</span>double-blind review)</p> <p><strong><span lang="TH" style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;">ประเภทของบทความที่รับเผยแพร่</span></strong><strong><span style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;"><br /></span></strong><span lang="TH"><strong>บทความวิจัย</strong> เป็นบทความเชิงวิชาการที่นำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยระเบียบวิธีวิจัยที่ชัดเจน มีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลตามหลักวิชาการ เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่หรือยืนยัน/โต้แย้งองค์ความรู้ที่มีอยู่เดิม<br /><br /></span><span lang="TH"><strong>บทความวิชาการ</strong> เป็นบทความที่นำเสนอเนื้อหาทางวิชาการโดยอาศัยการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่ออธิบายแนวคิด ทฤษฎี หรือประเด็นทางวิชาชีพ โดยไม่จำเป็นต้องมีการวิจัยเชิงประจักษ์ใหม่ แต่ต้องมีการใช้เหตุผลและหลักฐานทางวิชาการรองรับอย่างชัดเจน<br /><br /><strong>บทความกรณีศึกษา</strong> เป็นบทความเชิงวิชาการที่นำเสนอเหตุการณ์หรือสถานการณ์จริงที่เกี่ยวข้องกับผู้รับบริการสุขภาพ โดยมุ่งเน้นการอธิบายกระบวนการพยาบาลตั้งแต่การประเมิน การวางแผน การปฏิบัติการพยาบาล และการประเมินผล รวมถึงการสะท้อนคิดเชิงวิชาชีพที่เกิดขึ้นจากการดูแลผู้ป่วยรายบุคคลหรือกลุ่มผู้ป่วยเฉพาะกรณี</span></p> <p><strong><span lang="TH" style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;">ภาษาที่รับตีพิมพ์</span></strong><strong><span style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;"> : </span></strong><span lang="TH">ไทย<br /><br /><strong>ค่าใช้จ่าย <span style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;">: </span></strong>ไม่มีค่าใช้จ่ายการตีพิมพ์ในทุกขั้นตอน</span></p> <p><strong><span lang="TH" style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;">กำหนดออก</span></strong> <strong><span style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;">: 2</span></strong> <span lang="TH">ฉบับต่อปี ฉบับที่ </span>1 <span lang="TH">มกราคม – มิถุนายน</span>, <span lang="TH">ฉบับที่ </span>2 <span lang="TH">กรกฎาคม – ธันวาคม</span></p> <p><strong><span lang="TH" style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;">เจ้าของวารสาร</span></strong> <strong><span style="font-family: 'Tahoma',sans-serif;">: </span></strong><span lang="TH">วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครพนม มหาวิทยาลัยนครพนม</span></p>
Boromarajonani College of Nursing Nakhon Phanom, Nakhonphanom University
th-TH
วารสารการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนครพนม
2985-0908
-
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีการอักเสบติดเชื้อช่องคอส่วนลึก (Ludwig’s angina) ที่เป็นเบาหวานและคอพอกเป็นพิษ: การศึกษาเปรียบเทียบ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/bcnnjournal/article/view/2161
<p>กรณีศึกษาเปรียบเทียบนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์องค์ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการพยาบาลผู้ป่วยที่มีการอักเสบติดเชื้อช่องคอส่วนลึก กรณีศึกษาผู้ป่วยที่มีโรคร่วมจำนวน 2 ราย คือคอพอกเป็นพิษ และคอพอกเป็นพิษร่วมกับเบาหวาน โดยศึกษาข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กรณีศึกษาทั้ง 2 ราย ได้รับการรักษาพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับพยาธิสภาพการอักเสบติดเชื้อช่องคอส่วนลึก ได้แก่ การป้องกันการอุดกั้นทางเดินหายใจ เฝ้าระวังภาวะไทรอยด์เป็นพิษ การแก้ไขภาวะการติดเชื้อและเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนของการติดเชื้อ การบรรเทาอาการปวด และมีการรักษาพยาบาลที่ความแตกต่างกันได้แก่ การเฝ้าระวังความผิดปกติของระดับน้ำตาลในผู้ป่วยคอพอกเป็นพิษและเบาหวาน ภายใต้การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัว ผู้ป่วยปลอดภัยและจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลได้ทั้งสองราย</p> <p>ข้อเสนอแนะ การอักเสบติดเชื้อช่องคอส่วนลึก กรณีผู้ป่วยที่มีคอพอกเป็นพิษและเบาหวานเป็นโรคร่วมหากไม่ได้รับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสมจะส่งผลให้ผู้ป่วยเผชิญกับภาวะวิกฤติของทางเดินหายใจ การติดเชื้อที่รุนแรง ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ และความผิดปกติของระดับน้ำตาล พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการประเมินภาวะสุขภาพ<br />ที่ครอบคลุม การเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากพยาธิสภาพของโรคร่วม การกำหนดกิจกรรมการพยาบาลที่สอดคล้องกับสภาพปัญหา ตลอดจนการติดตามผลการรักษา การวางแผนการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ</p>
ปรียานาถ วงศ์กาฬสินธุ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนครพนม
2025-12-28
2025-12-28
3 2
e2161
e2161
-
การพยาบาลผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติชนิด AVNRT ที่ได้รับการระงับความรู้สึก ในการรักษาด้วยการจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยคลื่นความถี่วิทยุ : กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/bcnnjournal/article/view/2158
<p>ภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะเป็นภาวะฉุกเฉินที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต การรักษาด้วยการจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency ablation) ให้ผลดีแต่มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติชนิด AVNRT ที่ได้รับการระงับความรู้สึกในการรักษา<br />ด้วยการจี้ไฟฟ้าหัวใจ จำนวน 2 ราย </p> <p><strong> </strong><strong>รูปแบบการศึกษา</strong><strong>:</strong> ศึกษาเปรียบเทียบกรณีศึกษา 2 ราย แบบเฉพาะเจาะจง ณ โรงพยาบาลสกลนครระหว่างเดือนสิงหาคม–ตุลาคม 2566 เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลจากเวชระเบียน นำมาวิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการพยาบาลของโอเรม เพื่อวางแผนและประเมินผลลัพธ์ทางการพยาบาล</p> <p><strong> </strong><strong>ผลการศึกษา </strong>กรณีศึกษาทั้ง 2 รายมีความแตกต่างทั้งด้านอายุ และปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคที่แตกต่างกัน ได้รับการรักษาเบื้องต้นจนอาการคงที่ และได้รับการส่งต่อเพื่อรับการรักษาด้วยการจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยคลื่นความถี่วิทยุ</p> <p> กรณีศึกษาที่ 1 ไม่พบ ภาวะแทรกซ้อนขณะให้การรักษา</p> <p> กรณีศึกษาที่ 2 เกิดภาวะแทรกซ้อนขณะจี้ไฟฟ้าหัวใจคือหัวใจเต้นเร็วผิด จังหวะชนิด Atrial fibrillation ได้รับการแก้ไขภาวะแทรกซ้อนและทำหัตถการต่อจนสำเร็จตามแผนการรักษา ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยาระงับความรู้สึก ผู้ป่วยปลอดภัยได้รับการพยาบาลครอบคลุมตั้งแต่ ระยะก่อนทำหัตถการ ขณะทำหัตถการ และหลังทำหัตถการ ตลอดจนการการวางแผนจำหน่าย</p> <p><strong> </strong><strong>สรุป</strong> วิสัญญีพยาบาลมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้การระงับความรู้สึก เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนทั้งจากกการระงับความรู้สึกและจากการทำหัตถการ จึงต้องมีองค์ความรู้เกี่ยวกับโรคและแนวทางการรักษาและนำข้อมูลของผู้ป่วยมา วางแผนการพยาบาลได้อย่างครอบคลุมทุกระยะ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ</p>
ปุณณดา จิตรดาภา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนครพนม
2025-12-28
2025-12-28
3 2
e2158
e2158
-
ผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมต่อความรู้และความวิตกกังวล ของผู้ป่วยมะเร็งที่จะเข้ารับรังสีรักษา แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/bcnnjournal/article/view/4301
<p>การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความรู้และคะแนนความวิตกกังวลของผู้ป่วยมะเร็งที่จะเข้ารับรังสีรักษาก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการเตรียมความพร้อม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่จะเข้ารับรังสีรักษาแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จำนวน 43 ราย สุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) โปรแกรมการเตรียมความพร้อมประกอบด้วยการให้ข้อมูล การสร้างแรงจูงใจ และการสอนทักษะที่จำเป็น เป็นเวลา 4 สัปดาห์ 2) แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับรังสีรักษา 3) แบบประเมินความวิตกกังวลผ่านการหาความตรงเชิงเนื้อหาและการทดสอบความเชื่อมั่น โดยด้วยวิธีของคูเดอร์ริชาร์ทสัน 20 เท่ากับ .76 วิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยโดยใช้สถิติ Paired t-test พบว่า</p> <ol> <li> ผู้ป่วยมะเร็งมีคะแนนความรู้เฉลี่ยเกี่ยวกับรังสีรักษาเพิ่มขึ้นจากก่อนได้รับโปรแกรม ( = 13.79 SD.= 2.51) และหลังได้รับโปรแกรม ( = 18.98 SD.= .82) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 17.18 p<0.001</li> <li>ผู้ป่วยมะเร็งมีคะแนนความวิตกกังวลเฉลี่ยลดลงจากก่อนได้รับโปรแกรมคะแนนอยู่ในระดับมาก <br />( = 7.07 SD.= 1.26) และหลังได้รับโปรแกรมคะแนนอยู่ในระดับน้อย ( = 2.77 SD. = 1.19) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 36.51 p<0.001)</li> </ol> <p> ดังนั้นจึงควรสนับสนุนให้นำโปรแกรมการเตรียมความพร้อมไปใช้อย่างต่อเนื่องกับผู้ป่วยมะเร็งที่จะเข้ารับรังสีรักษาที่อยู่ในเขตความรับผิดชอบ เพื่อให้ผู้ป่วยมีความรู้ให้ความร่วมมือและลดความวิตกกังวล มีคุณภาพชีวิตที่ดีในระหว่างกระบวนการรับรังสีรักษา</p>
สุนีพร จตุรภุชาภรณ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนครพนม
2025-07-25
2025-07-25
3 2
e4301
e4301
-
การพัฒนารูปแบบการส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/bcnnjournal/article/view/4240
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ตามแนวคิดของ Kemmis & Mc Taggart ประกอบด้วย 1. การวางแผน (planning) 2. การลงมือทำ (Action) 3. การสังเกต (Observe) 4. การสะท้อนผลการปฏิบัติการดำเนินงาน (Reflect) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและเปรียบเทียบผลการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ก่อน-หลังการพัฒนารูปแบบ 2) ประเมินผลระดับความรู้และทักษะของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลและส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลคำชะอี จ. มุกดาหาร 3) ประเมินผลระดับความพึงพอใจของญาติผู้ป่วย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 32 ราย และผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จำนวน 40 ราย แบ่งเป็นระยะศึกษาสภาพปัญหา จำนวน 20 ราย และระยะหลังการใช้รูปแบบ จำนวน 20 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบรวบรวมข้อมูลการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจากเวชระเบียน 2) แบบประเมินความรู้และทักษะของพยาบาลในการดูแลและส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 3) แบบประเมินความพึงพอใจของญาติผู้ป่วยต่อการดูแลและส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง วิเคราะห์ข้อมูลโดย ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) วิเคราะห์ความแตกต่างก่อนหลังการพัฒนารูปแบบด้วย Independent t-test <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการส่งต่อโรคหลอดเลือดสมอง ประกอบด้วย การคัดกรองผู้ป่วย Stroke เพื่อประเมินความเร่งด่วน และการดูแลก่อนส่งต่อตามความเร่งด่วน หลังการพัฒนารูปการส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง พบว่ามี Stroke Fast Tract เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และระยะเวลาที่ใช้ดูแลผู้ป่วยก่อนส่งต่อลดลง ดังนี้ ก่อนพัฒนารูปแบบฯใช้เวลา 42.45 นาที หลังพัฒนารูปแบบฯใช้เวลา 27.75 นาที ซึ่งใช้เวลาลดลง 14.75 นาทีอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 2) ระดับความรู้และทักษะของพยาบาลโรงพยาบาลคำชะอี ในการดูแลและส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเท่ากับร้อยละ 82.87 อยู่ในระดับดีเยี่ยม 3) ระดับความพึงพอใจของญาติผู้ป่วยต่อการพยาบาลการดูแลและส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อยู่ในระดับดีมาก ข้อเสนอแนะจากการวิจัยคือ โรงพยาบาลควรเพิ่มความรู้และทักษะของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอย่างต่อเนื่อง</p>
บุษบา แสนสุข
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนครพนม
2025-08-04
2025-08-04
3 2
e4240
e4240
-
ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อระดับน้ำตาลในเลือดชนิด HbA1C ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ห้องตรวจเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/bcnnjournal/article/view/4548
<p>การวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังทำการทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (Hb A1C ) ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจ เนื่องจากมีผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 เพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลสกลนคร และมีค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (Hb A1C) เกินเกณฑ์ที่กำหนด ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและค่าใช้จ่ายในการรักษา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จำนวน 34 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) เครื่องมือทดลอง คือ โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจ 2) เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามข้อมูลค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1C) ผ่านการหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ .95 และการทดสอบความเชื่อมั่นด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .91 วิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยโดยใช้สถิติ Paired t-test พบว่า</p> <p> กลุ่มตัวอย่างมีค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1C) หลังการได้รับโปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t= 3.904, p<0.001) โดยมีค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1C) ก่อนได้รับโปรแกรม ( = 11.12 S.D.= 2.82) และมีค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1C) หลังได้รับโปรแกรม( = 9.94 S.D. = 2.28)</p> <p> โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจสามารถช่วยลดค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (Hb A1C ) ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ได้ ดังนั้นจึงควรสนับสนุนให้นำโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจ ไปใช้อย่างต่อเนื่องกับผู้ป่วยเบาหวานกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่ในเขตความรับผิดชอบ เพื่อเป็นการขยายผลการดำเนินการต่อไป</p>
พัฒน์สรณ์ การุญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนครพนม
2025-09-09
2025-09-09
3 2
e4548
e4548
-
ผลของโปรแกรมสร้างเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมผ่านไลน์แอปพลิเคชันต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก ที่ได้รับรังสีรักษาในสถาบันมะเร็งแห่งชาติ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/bcnnjournal/article/view/4511
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลของโปรแกรมเสริมสร้างการรับรู้สมรรถนะแห่งตนร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมผ่านแอปพลิเคชัน LINE ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกที่ได้รับรังสีรักษา ณ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ การวิจัยใช้รูปแบบกึ่งทดลอง กลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 2–3 จำนวน 34 คน ที่เข้ารับรังสีรักษาระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ถึง 30 สิงหาคม 2568 เครื่องมือประกอบด้วยโปรแกรมเสริมสร้างการรับรู้สมรรถนะแห่งตนและการสนับสนุนทางสังคมผ่าน LINE และแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC = 0.78) และความเชื่อมั่น (α = 0.73) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ Dependent t-test ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนการรับรู้สมรรถนะแห่งตนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) การได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมเพิ่มขึ้น (p < 0.005) และพฤติกรรมการดูแลตนเองดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.001) ผู้ป่วยมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมในระดับสูง โดยร้อยละ 92.5 พึงพอใจด้านเนื้อหาและการมีส่วนร่วม และร้อยละ 82.4 พึงพอใจต่อประโยชน์โดยรวม โปรแกรมนี้ จึงมีศักยภาพในการส่งเสริมการดูแลตนเอง ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน และยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วย เหมาะต่อการนำไปประยุกต์ใช้ในงานบริการรังสีรักษา และพิจารณาขยายผลในสถานบริการสุขภาพอื่น</p>
นัณธการณ์ สงวนแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนครพนม
2025-11-12
2025-11-12
3 2
e4511
e4511
-
การพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่มีภาวะคลื่นหัวใจเอสที่ยกสูงในงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลศรีสงคราม อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/bcnnjournal/article/view/4803
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลสำหรับดูแลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด ST-segment elevation myocardial infarction (STEMI) ในงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ก่อนการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลศูนย์สกลนครเพื่อทำหัตถการหลอดเลือดหัวใจ โดยใช้แนวคิด Iowa Model of Evidence-Based Practice เพื่อประยุกต์หลักฐานเชิงประจักษ์ พบว่าผู้ป่วย STEMI มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และแม้จะมีการใช้ระบบการปรึกษาการรักษาทางไกลแต่อัตราการเสียชีวิตยังสูง จึงจำเป็นต้องพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลที่เน้นความรวดเร็วและปลอดภัย แนวปฏิบัติถูกพัฒนาจากการสังเคราะห์หลักฐาน 16 เรื่อง โดยเน้นบทบาทสำคัญของพยาบาลในทุกระยะ ผลการทดลองใช้กับผู้ป่วย 10 ราย พบว่าทุกคนรอดชีวิต และสามารถส่งต่อเพื่อทำหัตการได้ภายในเวลาเฉลี่ย 90.2 นาที พยาบาลมีความพึงพอใจต่อแนวปฏิบัติสูงร้อยละ 82.1 และสามารถนำไปใช้จริง ซึ่งเป็นผลจากการตรวจ ECG ภายใน 10 นาที การให้ fibrinolysis และการประสานงานแบบ real-time มีส่วนช่วยลดระยะเวลาในการรักษาและเพิ่มโอกาสรอดชีวิต ข้อเสนอแนะ ได้แก่ การกำหนดแนวปฏิบัติเป็นนโยบาย การพัฒนาเครื่องมือช่วยปฏิบัติ การอบรมทักษะการตีความ ECG และการให้ fibrinolysis รวมถึงการติดตามดูแลผู้ป่วยต่อเนื่อง งานวิจัยนี้สะท้อนถึงความสำเร็จของการนำหลักฐานเชิงประจักษ์มาใช้พัฒนาคุณภาพการดูแลผู้ป่วย STEMI ในโรงพยาบาลชุมชน</p>
วรัชยา ธิปกะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนครพนม
2025-12-24
2025-12-24
3 2
e4803
e4803