วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech
<p><strong>Journal of Environmental and Community Health</strong><br /><strong>วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุ<wbr />ขภาพชุมชน</strong></p> <p><strong>Online ISSN: 6112-9248<br /></strong><strong>Print ISSN: 2672-9717<br /></strong></p>
สมาคมศิษย์เก่าอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์
th-TH
วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2672-9717
-
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับระดับเชาว์ปัญญาของนักเรียนประถมศึกษาชั้นปีที่ 1 ในเขตสุขภาพที่ 10
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3180
<p> การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับเชาว์ปัญญา (Intelligence Quotient [IQ]) และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับ IQ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เขตสุขภาพที่ 10 มีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนจำนวน 1,411 คน ได้มาจากการเลือกแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลด้วยแบบทดสอบ Standard Progressive Matrices, Parallel Version (SPM parallel version) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและวิธีถดถอยพหุลอจิสติก นำเสนอขนาดความสัมพันธ์ด้วยค่า ORadj ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05<br /> ผลการวิจัยพบว่านักเรียนจังหวัดมุกดาหารมีค่าเฉลี่ยระดับ IQ เท่ากับ 102.9 สูงกว่าค่ากลางมาตรฐานสากล (IQ = 100) ส่วนนักเรียนในจังหวัดศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี มีค่าเฉลี่ยระดับ IQ ต่ำกว่าค่ากลางมาตรฐานสากล และพบว่าเด็กสมาธิสั้นมีโอกาสเสี่ยงที่จะมี IQ ต่ำกว่าเด็กปกติ 1.66 เท่า เด็กที่มีปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อนมีโอกาสเสี่ยงที่จะมี IQ ต่ำกว่าเด็กปกติ 1.62 เท่า เด็กที่มีความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient [EQ]) ด้านสุขสูงกว่าเกณฑ์ปกติ มีโอกาสที่จะมีระดับ IQ สูงกว่าเด็กที่มี EQ ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ 1.62 เท่า เด็กที่มี EQ รวมทุกด้านสูงกว่าเกณฑ์ปกติ มีโอกาสที่จะมี IQ สูงกว่าเด็กที่มี EQ ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ 2.48 เท่า และเด็กออทิสติกมีโอกาสเสี่ยงที่จะมี IQ ต่ำกว่าเด็กปกติ 2.45 เท่า สรุปได้ว่าปัจจัยที่สัมพันธ์กับระดับ IQ ต่ำในนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้แก่ โรคสมาธิสั้น ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อน และโรคออทิสติก ในขณะที่ EQ ที่สูงสัมพันธ์กับระดับ IQ ที่สูงขึ้นจึงควรส่งเสริมการพัฒนา EQ และทักษะทางสังคมควบคู่กับการพัฒนาเชาวน์ปัญญา</p>
สุภาภรณ์ ศรีธัญรัตน์
จิรังกูร ณัฐรังสี
ปรางทิพย์ ทาเสนาะ เอลเทอร์
ทศา ชัยวรรณวรรต
วรวุฒิ ชมภูพาน
พัชรินทร์ วรรณุรักษ์
สกุลรัตน์ จารุสันติกุล
วรางคณา ชมภูพาน
มนพัทธ์ อารัมภ์วิโรจน์
พรทิพย์ ปุกหุต
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
1
9
-
การเปรียบเทียบกรณีศึกษา การพยาบาลทารกเกิดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อยที่มีภาวะหายใจลำบาก
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3337
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบการพยาบาลทารกเกิดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย ที่มีภาวะหายใจลำบาก โดยใช้แนวคิดการพยาบาลเน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลาง และเป็นแนวทางการพยาบาลทารกแรกเกิดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อยที่มีภาวะหายใจลำบาก ศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย<br /> ผลการศึกษา: กรณีศึกษาทั้งสองเป็นทารกเพศหญิงเกิดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย มารดามีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ กรณีศึกษาที่ 1 ทารก GA 30<sup>+3</sup> wks. By U/S BW 1,505 gm. Apgar score 9, 9, 9 แรกเกิดหายใจเร็ว อกบุ๋ม และได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ เนื่องจากภาวะหายใจลำบาก ร่วมกับติดเชื้อในกระแสเลือด จากมารดามีน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนดคลอด 49 ชั่วโมง ทารกมีภาวะแทรกซ้อนน้ำตาลในเลือดต่ำ อุณหภูมิกายต่ำ ตัวเหลือง แพทย์ให้การรักษาจนอาการดีขึ้นและอนุญาติให้กลับบ้านได้ น้ำหนัก 2,010 gm. จำนวนวันนอนโรงพยาบาล 47 วัน กรณีศึกษาที่ 2 GA 35 wks. By LMP BW 1,650 gm Apgar score 8, 9, 8 เมื่อคาดคะเนน้ำหนักทารกจากอายุครรภ์ควรมีน้ำหนัก 2,400 gm และ Ballard score 17 คะแนน เท่ากับอายุครรภ์ GA 30<sup>+</sup> สัปดาห์ แสดงถึงทารกน้ำหนักตัวน้อยไม่ได้สัดส่วนกับอายุครรภ์ (SGA) ทารกมีภาวะหายใจลำบาก หายใจเร็ว ปึกจมูกบาน อกบุ๋ม กลั้นหายใจ ปลายมือปลายเท้าเขียวคล้ำ และได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ มีภาวะแทรกซ้อนจากปอดเรื้อรัง (BPD) น้ำตาลในเลือดต่ำ อุณหภูมิกายต่ำ เลือดข้นหนืด เกล็ดเลือดต่ำ ตัวเหลือง แพทย์รักษาจนอาการดีขึ้นและอนุญาตให้กลับบ้านได้ น้ำหนัก 2,220 gm. จำนวนวันนอนโรงพยาบาล 31 วัน พยาบาลเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดูแลทารกโดยตรง เพื่อให้ทารกปลอดภัยโดยเน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลาง ต้องให้เกิดความร่วมมือในการดูแลสุขภาพทารกจากครอบครัว โดยการเสริมสร้างศักยภาพของครอบครัว กระตุ้นให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลทารก แสดงบทบาทในการดูแลปกป้องทารกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทารกอบอุ่น คุ้นเคยและรู้สึกมีความปลอดภัยขณะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล</p>
วรัชยา แสงสว่าง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
10
19
-
รูปแบบการค้นหาผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ในผู้สัมผัสร่วมบ้านและผู้ใกล้ชิด ผู้ป่วยวัณโรคปอดในพื้นที่อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น โดยใช้กลไก พชอ.
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3338
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนารูปแบบการค้นหารายป่วยวัณโรคในผู้สัมผัสร่วมบ้านและผู้สัมผัสใกล้ชิดฯ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย 1) คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ผู้รับผิดชอบงานวัณโรคของโรงพยาบาลชุมชนและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 40 คน 2) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) 150 คน 3) ผู้สัมผัสร่วมบ้านและผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรค 268 คน และ 4) ผู้เชี่ยวชาญ ด้านวัณโรค 11 คน เครื่องมือวิจัย มี 7 ฉบับ ได้แก่ 1) แบบบันทึกประเด็นการวิเคราะห์สภาพปัญหา 2) แบบสรุปทะเบียนฐานข้อมูลผู้สัมผัสร่วมบ้านและผู้สัมผัสใกล้ชิด 3) แบบคัดกรองวัณโรคด้วยวาจา 4) แบบทดสอบความรู้ของ อสม. 5) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อรูปแบบ 6) แบบสอบถามประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบ และ 7) แบบบันทึกผลการขึ้นทะเบียนและการรักษา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ Dependent t – test<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการพัฒนาศักยภาพ อสม. ก่อนการพัฒนาศักยภาพค่าคะแนนเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />) เท่ากับ 4.64 (S.D. = 2.13) และหลังการพัฒนาค่าคะแนนเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />) เท่ากับ 8.92 (S.D. = 0.82 ) พบค่าความแตกต่างของค่าคะแนนเฉลี่ย (Mean difference: <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{d}" alt="equation" />) เท่ากับ 4.28 (95%CI: 3.98 ถึง 4.59) โดยค่าความแตกต่างดังกล่าวมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value < 0.001) 2) ฐานข้อมูลผู้สัมผัสร่วมบ้านและผู้สัมผัสใกล้ชิด ในระหว่างปีพ.ศ. 2566 ได้รับการคัดกรองจาก อสม. จำนวน 2,872 ราย พบความเสี่ยง 32 ราย และปีพ.ศ. 2567 ได้รับการคัดกรองจาก อสม. ด้วยแอพิเคชั่น จำนวน 5,520 ราย พบความเสี่ยง 76 ราย 3) ผู้สัมผัสร่วมบ้านและผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรคระหว่างปีพ.ศ. 2564-2566 เทียบกับปีพ.ศ. 2567 จำนวน 87, 94, 157 และ 268 ราย ตามลำดับ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 4) ผู้สัมผัสร่วมบ้านและผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรคได้รับการรถเอกซเรย์ปอด (Chest X-ray) เคลื่อนที่ และตรวจเสมหะ จำนวน 360 ราย ผิดปกติ จำนวน 16 ราย และส่งตรวจเสมหะยืนยัน พบเป็นผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ 13 ราย 5) ความพึงพอใจของสัมผัสร่วมบ้านและผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรคต่อรูปแบบการค้นหารายป่วยวัณโรคในผู้สัมผัสร่วมบ้านและผู้สัมผัสใกล้ชิดฯ ภาพรวมค่าคะแนนเฉลี่ย อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.56, S.D. = 0.38) 6) ผลการประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบการค้นหารายป่วยวัณโรคในผู้สัมผัสร่วมบ้านและผู้สัมผัสใกล้ชิดฯ ภาพรวมค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.47, S.D. = 0.32)</p>
กมล ศรีล้อม
กรรณิการ์ ซารัมย์
ทรงธรรม แสนจำลา
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
20
31
-
ผลของโปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยที่รับยาวาร์ฟาริน โรงพยาบาลพระยืน จังหวัดขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3339
<p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของโปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยที่รับยาวาร์ฟาริน โรงพยาบาลพระยืน จังหวัดขอนแก่น ก่อนและหลังการจัดโปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรม ดำเนินการวิจัยในเดือนมิถุนายน 2567 ถึงกันยายน 2567 โดยใช้วิธีการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Research) แบบแผนการวิจัยกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง (The One-Group Pretest Posttest Design) กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจงคือผู้ป่วยที่รับยาวาร์ฟาริน ที่คลินิกวาร์ฟาริน โรงพยาบาลพระยืน ปีงบประมาณ 2567 จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมการจัดการตนเอง แบบทดสอบความรู้การใช้ยาวาร์ฟาริน แบบสอบถามพฤติกรรมการปฏิบัติตัวตามแผนการรักษาของแพทย์ และแบบบันทึกประวัติการได้รับยาวาร์ฟาริน ผลการเจาะเลือดผู้ป่วย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้การใช้ยาวาร์ฟาริน คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการปฏิบัติตัวตามแผนการรักษาของแพทย์ ก่อนและหลังการจัดโปรแกรม โดยใช้สถิติ t-test (Paired samples) และเปรียบเทียบสัดส่วนของผู้ป่วยที่รับยาวาร์ฟาริน ที่มีระดับค่าไอ เอ็น อาร์ อยู่ในช่วงตามเป้าหมายการรักษา ก่อนและหลังการจัดโปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมการจัดการตนเองโดยใช้สถิติ X<sup>2</sup>–test <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) หลังจัดโปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมการจัดการตนเอง พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับและคะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่องการใช้ยาวาร์ฟาริน และคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการปฏิบัติตัวตามแผนการรักษาของแพทย์ สูงกว่าก่อนการจัดโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.05) 2) หลังจัดโปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมการจัดการตนเอง พบว่า กลุ่มตัวอย่าง มีระดับค่าไอ เอ็น อาร์ (INR) 2.0 – 3.0 ตามเป้าหมายการรักษา ร้อยละ 88.89 เพิ่มขึ้นจากก่อนการจัดโปรแกรมร้อยละ 30.56 และมากกว่าก่อนจัดโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.05)</p>
อาทิตยา ศิริคะเณรัตน์
นิรชา สมยา
อนุสรา นามสง่า
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
32
41
-
การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โรงพยาบาลท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3340
<p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โรงพยาบาลท่าอุเทน จังหวัดนครพนม โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ระยะเวลาตั้งแต่เดือนมีนาคม - กันยายน 2567 คัดเลือกผู้เข้าร่วมการวิจัย โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ประกอบด้วย 1) กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาแนวปฏิบัติ ได้แก่ แพทย์ 1 คน เภสัชกร 1 คน นักเทคนิคการแพทย์ 1 คน และพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 15 คน และ 2) กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลท่าอุเทนด้วยภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แบบบันทึกติดตามผลการพยาบาล แบบประเมินสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แบบบันทึกการติดตามระดับน้ำตาลในเลือด แบบประเมินความพร้อมของผู้ป่วยก่อนจำหน่าย แบบสอบถามความคิดเห็นต่อการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นของพยาบาลเกี่ยวกับการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หลังการพัฒนาแนวปฏิบัติกับเกณฑ์ที่คาดหวัง 4.00 คะแนน (ร้อยละ 80) โดยใช้สถิติ t-test (One samples) และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis)<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ได้แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ประกอบด้วย (1) การประเมินสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (2) การติดตามระดับน้ำตาลในเลือด (3) การจัดการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และ (4) การเตรียมความพร้อมผู้ป่วยก่อนจำหน่ายและให้ความรู้ 2) หลังการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ พบว่า ไม่มีการกลับเข้ารับการรักษาซ้ำด้วยภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ร้อยละ 96.87 3) หลังการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ พบว่า พยาบาลมีคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพการนำแนวปฏิบัติไปใช้ อยู่ในระดับสูง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 2.78, S.D.= 0.21) ร้อยละ 93.33 และผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยประสิทธิภาพการนำไปใช้ สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.05)</p>
จินตนา อินทรักษา
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
42
51
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายต่อเนื่องที่บ้านแบบมีส่วนร่วม โรงพยาบาลภูเวียง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3341
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research-PAR) วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลการใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายต่อเนื่องที่บ้านแบบมีส่วนร่วม โรงพยาบาลภูเวียง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย แพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด แพทย์แผนไทย จนท.รพ.สต ผู้นำชุมชน อสม. ในการทำ Focus group และผู้ป่วยระยะสุดท้าย 218 คนในการศึกษาเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เครื่องมือเชิงคุณภาพ ได้แก่ แนวคำถามปลายเปิด Focus group เครื่องมือเชิงปริมาณ ได้แก่ แบบเก็บข้อมูลทั่วไป, แบบบันทึกการติดตามดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องที่บ้าน, แบบประเมินกิจวัตรประจำวัน (ADL), แบบประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเองของผู้ป่วย (PPS), แบบประเมินความรุนแรงของความปวด (ESAS) สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบก่อนหลังด้วยสถิติ Paired t test<br /> ผลการศึกษา พบว่า จากการวิเคราะห์ปัญหาพบว่า ผู้ป่วยระยะสุดท้าย จำนวน 218 คน ส่วนมากเป็นเพศชาย ร้อยละ 57.34 อายุอยู่ในช่วง 60-70 ปี อาชีพทำไร่ทำนา ร้อยละ 38.53 ประเภทผู้ป่วยระยะสุดท้ายส่วนมากเป็นโรคมะเร็งตับ ร้อยละ 32.57 การพัฒนารูปแบบประกอบด้วย 8 แนวทางสำคัญ ดังนี้ 1) การอบรมเพิ่มศักยภาพผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย 2) พัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยให้ชัดเจนทันสมัย 3) การจัดการสิ่งแวดล้อมบ้านผู้ป่วย 4) การให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลมีส่วนร่วมในการการวางแผนการรักษา 5) การสนับสนุนอุปกรณ์ช่วยเหลือที่บ้าน 6) การดูแลที่บ้านตามวิถีพุทธและธรรมเนียมอีสาน 7) การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายโดยทีมสหวิชาชีพ 8) การส่งเสริมการอบรมการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย การทดสอบความแตกต่างทางสถิติพบว่ามีค่าเฉลี่ยความรุนแรงของความปวดลดลงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ p <.05, t = 6.36</p>
อังคณา ศรีไสย
เพ็ญพักร์ ทองศรี
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
52
60
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลหนองหาน
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3257
<p> การศึกษาเชิงสำรวจ (Survey study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลหนองหาน จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 313 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม โดยวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ในการหาค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation), ค่าต่ำสุด (Minimum), ค่าสูงสุด (Maximum) และสถิติเชิงอนุมานใช้สถิติ Chi-square test และการหาขนาดของความสัมพันธ์ใช้ค่าของ Odd Ratio, 95%CI กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05<br /> ผลการศึกษา: ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้แก่ เพศหญิง, คนที่รายได้ (เดือน), ต่ำกว่า 2,000 บาท, คนที่มีครอบครัวเดี่ยว, คนที่ไม่มีโรคประจำตัว, คนที่มีรายได้เพียงพอ และคนที่มีระดับความเชื่อด้านสุขภาพอยู่ระดับสูง ล้วนมีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
ชนาธิป อำนวย
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
61
70
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจของผู้ปกครองเด็กที่ป่วยด้วยโรคธาลัสซีเมีย โรงพยาบาลบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3261
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมเสริมสร้างพลังอำนาจของผู้ปกครองเด็กที่ป่วยด้วยโรคธาลัสซีเมีย โรงพยาบาลบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น การวิจัยดำเนินการในรูปแบบกึ่งทดลอง โดยใช้กลุ่มตัวอย่างผู้ปกครองจำนวน 20 คน ซึ่งเป็นผู้ปกครองของเด็กอายุระหว่างแรกเกิดถึง 15 ปีที่ป่วยด้วยโรคธาลัสซีเมีย ข้อมูลถูกรวบรวมผ่านแบบสอบถามที่ได้รับการตรวจสอบความตรงและความเที่ยงจากผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า หลังการเข้าร่วมโปรแกรม ผู้ปกครองมีความรู้เกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 (p-value <0.001, 95% CI = 3.51 – 5.58) นอกจากนี้ การรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการดูแลเด็กของผู้ปกครองก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 (p-value <0.001, 95% CI = 1.18-1.50) และพฤติกรรมการดูแลเด็กที่ป่วยของผู้ปกครองดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเข้าร่วมโปรแกรม โดยพบว่าผู้ปกครองทุกคนมีพฤติกรรมการดูแลในระดับสูงหลังการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 (p-value <0.001, 95% CI = 1.66-1.86)</p>
วรกมล ก้อนคำ
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
71
79
-
รูปแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในแกนนำกลุ่มวัยเรียน ในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดอ่างทอง
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3275
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบศึกษากลุ่มเดียววัดสองครั้ง (The One-Group Pretest-Posttest Design) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ แกนนำกลุ่มวัยเรียน กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลอ่างทอง จำนวน 94 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ก่อนและหลังดำเนินการ โดยใช้สถิติ paired sample t–test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05<br /> ผลการศึกษา: กลุ่มตัวอย่างหลังดำเนินการมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนดำเนินการ นัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 จำนวน 4 ด้าน ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 ทักษะการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ, องค์ประกอบที่ 2 ด้านการเข้าใจข้อมูลสุขภาพ, องค์ประกอบที่ 3 ด้านการประเมินข้อมูลและบริการด้านสุขภาพ, องค์ประกอบที่ 4 การประยุกต์ใช้ข้อมูลและบริการสุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพของนักเรียนสำหรับโรงเรียนส่งเสริมสุขบัญญัติแห่งชาติ หลังดำเนินการ มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนดำเนินการ</p>
กนกนุช ตรีสุคนธ์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
80
90
-
การจัดกิจกรรมส่งเสริมความปลอดภัยต่อการเพิ่ม ความรู้ ทักษะและพฤติกรรมการจัดการความปลอดภัยจากอัคคีภัยในกลุ่มผู้ปฏิบัติงาน ของสถานศึกษาในตำบลป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3293
<p> การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ประเมินระดับความรู้ ทักษะและการจัดการความปลอดภัยจากอัคคีภัยในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานของสถานศึกษา (2) เปรียบเทียบความรู้ ทักษะและพฤติกรรมการจัดการความปลอดภัยจากอัคคีภัยในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานของสถานศึกษา ก่อน-หลัง การจัดกิจกรรมส่งเสริมความปลอดภัย กลุ่มตัวอย่างจำนวน 51 คน ทำการสำรวจและเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามดำเนินการก่อนและหลัง การจัดกิจกรรมส่งเสริมความปลอดภัย<br /> ผลการศึกษาทำให้ทราบระดับความรู้ ทักษะและการจัดการความปลอดภัยจากอัคคีภัยในกลุ่มบุคลากร โดยภาพรวมอยู่ในระดับดีและหลังจากจัดกิจกรรมอยู่ในระดับดีมาก ซึ่งเปรียบเทียบก่อนและหลังการจัดกิจกรรมส่งเสริม มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ประเด็นที่เห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจน ได้แก่ การจัดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในพื้นที่อาคารเรียน พื้นที่ทั่วไปในโรงเรียน การตรวจสอบสภาพความพร้อมใช้งานของถังดับเพลิงเบื้องต้น การแจ้งเหตุฉุกเฉิน การดับเพลิงที่ถูกต้อง การช่วยเหลือผู้ประสบภัยและการจัดทำแผนฉุกเฉิน</p>
ธิติมา ณ สงขลา
สุธีร์ อินทร์รักษา
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
91
99
-
การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนน อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3344
<p> การศึกษานี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการดำเนินงานป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนอำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบสวนการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และแบบสอบถามการดำเนินงานป้องกันการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนระดับอำเภอ ตำบล ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา นำเสนอด้วยค่าความถี่ ร้อยละ และ paired t-test<br /> ผลการวิจัยพบว่า สถานการณ์การบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น พบว่า ปี พ.ศ. 2562-2566 มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยผู้บาดเจ็บมากสุดเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี พาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากสุดคือ รถจักรยานยนต์ เมื่อสังเคราะห์ข้อมูลผู้เสียชีวิต ปี 2566 ตาม Haddon’s Matrix ปัจจัยสำคัญด้านบุคคล ได้แก่ เป็นผู้สูงอายุ ดื่มแอลกอฮอล์ มีโรคประจำตัว ไม่สวมหมวกนิรภัย ปัจจัยด้านพาหนะ ได้แก่ รถจักรยานยนต์ปรับแต่ง และจักรยานยนต์พ่วงข้าง ไม่มีทำ พ.ร.บ. ปัจจัยด้านถนนและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ แสงสว่าง สภาพชำรุด ทางโค้ง ลาดชัน เปียก หลังดำเนินการมีการดำเนินงานในด้านจัดทำแผนงานป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ<br />ทางถนน และดำเนินงานต่อเนื่อง จำนวนหน่วยงานที่เข้าร่วมดำเนินการ การรวบรวมข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตของตำบล การสำรวจจุดเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและเสียชีวิต การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ มาตรการชุมชน การสอบสวนการบาดเจ็บ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร กรณีเกิดเหตุการณ์ในพื้นที่ และการเฝ้าระวังอุบัติเหตุในชุมชนหน่วยงาน สูงกว่าก่อนดำเนินการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยจำนวนการบาดเจ็บเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลดลง</p>
บังอร แซ่อั้ง
ธวัชชัย คำป้อง
แววตา สุริยันต์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
100
108
-
รูปแบบการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3345
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ และคณะทำงานพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ รายหมวด ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน ในอำเภอโคกโพธิ์ไชย สุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามเกณฑ์ในการคัดเลือกตัวอย่าง จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามและแบบบันทึกการมีส่วนร่วม สนทนากลุ่ม การประชุมเชิงปฏิบัติการ และแบบประเมินตามเกณฑ์การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ดำเนินการเก็บข้อมูล ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน สถิติอนุมาน Paired t-test เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมก่อนและหลังการวิจัย และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการศึกษาพบว่า ก่อนการพัฒนาคุณภาพบริหารจัดการภาครัฐของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอโคกโพธิ์ไชย การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.05 (S.D.=0.50) หลังการร่วมการดำเนิน งานตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับสูง มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.90 (S.D.=0.45) ซึ่งหลังจากที่คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพการบริการจัดการภาครัฐเข้าร่วมและมีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพการบริการจัด การภาครัฐทำให้สำนักงานสาธารณสุขอำเภอโคกโพธิ์ไชย การมีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และผลการประเมินคะแนนตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอโคกโพธิ์ไชย โดยคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ พบว่า หมวด 6 การมุ่งเน้นระบบปฏิบัติการ ก่อนการพัฒนาคุณภาพบริหารจัดการภาครัฐ ได้คะแนนด้านกระบวนการทำงาน 2.4 คะแนน ด้านประสิทธิผลการ ปฏิบัติการ 2.5 คะแนน ภาพรวม 2.6 คะแนน หลังการพัฒนาคุณภาพบริหารจัดการภาครัฐ พบว่า ได้คะแนนด้าน กระบวนการทำงาน 4.5 คะแนน ประสิทธิผลการปฏิบัติการ 4.3 คะแนน ภาพรวม 4.4 คะแนน ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการดำเนินงานตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ คือ 1) นโยบาย โดยผู้บริหาร 2) การมีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกัน โดยผลการวิจัยในครั้งนี้ผู้บริหารสามารถนำไปการวางแผนปรับปรุงพัฒนาการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อให้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพให้การบริการประชาชนทันสมัย รวดเร็วและเข้าถึงในทุกระดับ</p>
ลักษณาพรรณ แก้วมูลมุข
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
109
116
-
ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะที่ 3 และ 4 ที่มีโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองและผลลัพธ์ทางคลินิก
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3350
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการจัดการตนเอง และผลลัพธ์ทางคลินิกของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 และ 4 ที่มีโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 และ 4 ที่เข้ารับการรักษาในคลินิกชะลอไตเสื่อม แผนกผู้ป่วยนอก จำนวน 30 คน ใช้การสุ่มอย่างง่ายเพื่อคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามคุณสมบัติของประชากรที่กำหนด เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1) แบบประเมินความรู้โรคไตเรื้อรัง และ 2) แบบประเมินการจัดการตนเอง ศึกษาในระหว่างเดือน ธันวาคม 2564 ถึง ธันวาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบโดยใช้สถิติเชิงอนุมานวิเคราะห์หาค่า t (t-test) ชนิด Independent t-test, Paired t-test<br /> ผลการวิจัย : พบว่า 1) ความรู้โรคไตเรื้อรังและ พฤติกรรมการจัดการตนเองของกลุ่มตัวอย่าง หลังการได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองของกลุ่มทดลองมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) 3) ผลลัพธ์ทางคลินิก พบว่า ระดับน้ำตาลในกระแสเลือด (HbA1C) และระดับความดันโลหิตซิสโตลิคของกลุ่มทดลองหลังการได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองดีกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) แต่ระดับความดันโลหิตไดแอสโตลิคระหว่างก่อนและหลังการทดลองไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p > .05) นอกจากนั้นหลังการได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในกระแสเลือด (HbA1C) ดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) แต่ค่าเฉลี่ยระดับความดันโลหิตซิสโตลิคและค่าเฉลี่ยระดับความดันโลหิตไดแอสโตลิคระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p > .05) 4) ครีอีตินินและอัตราการกรองของไตหลังการได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองของกลุ่มทดลองดีกว่าก่อนการทดลองและดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05)</p>
นงค์นุช คุณะโคตร
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
117
128
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีโรคร่วมกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) โรงพยาบาลหนองคาย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3351
<p> การวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบและศึกษาผลของการใช้รูปแบบการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีโรคร่วมกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยศึกษาสถานการณ์จากกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้รับบริการ 10 คนและผู้ให้บริการ 8 คน กลุ่มตัวอย่างร่วมกำหนดรูปแบบการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีโรคร่วมกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 8 คน และประเมินผลการใช้รูปแบบจากผู้รับบริการ 30 คน กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดทำการคัดเลือกแบบเจาะจงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) รูปแบบการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีโรคร่วมกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 2) แบบสอบถามกึ่งโครงสร้าง 3) แบบสอบถามความรู้ 4) แบบประเมินพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ 5) แบบประเมินความพึงพอใจ และ 6) แบบบันทึกข้อมูลผลลัพธ์ เก็บข้อมูลระหว่างเดือน ตุลาคม 2566 - กรกฎาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน Independent paired t-test<br /> ผลการศึกษา: รูปแบบการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีโรคร่วมกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรงพยาบาลหนองคายที่พัฒนาขึ้น มีการจัด NCD conner โดยให้บริการเป็นแบบ One stop service จัดให้มีระบบการคัดกรอง NCD คุณภาพ ในขณะที่ผู้ป่วยทุกได้รับการดูแลจากผู้จัดการรายกรณี ผู้ป่วยรับคำปรึกษาจากโภชนากร และมีการนัดให้การดูแลโดยผ่านระบบทางไกล การประเมินผลการนำรูปแบบไปใช้พบว่า ระยะเวลาการใช้บริการลดลง ระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้น ผู้ป่วยกินยาสม่ำเสมอมากขึ้น ด้านความรู้ ด้านพฤติกรรมสุขภาพ ด้านความพึงพอใจ ดีขึ้นก่อนการใช้รูปแบบทั้ง 6 ด้าน และมีแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ P-value =.001,.016,.006,.000,.000 และ .000 ตามลำดับ คะแนนเฉลี่ยก่อนและหลัง โดยระยะเวลาการใช้บริการเฉลี่ย 194.76 และ 140.03 นาที ค่าน้ำตาล เฉลี่ย 168.10 และ 141.73 (Mg/dL) ด้านคะแนนความรู้เฉลี่ย 9.39 และ 14.51 ด้านพฤติกรรมสุขภาพคะแนนเฉลี่ย 60.02 และ 91.7 ความพึงพอใจคะแนนเฉลี่ย 27.06 และ 41.53 </p>
บงกชจันทร์ กถนานนท์
วริศรา เบ้านู
วันเพ็ญ วิศิษฎ์ชัยนนท์
ชลการ ทรงศรี
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
129
140
-
ผลการพัฒนารูปแบบการดูแลทารกแรกเกิดเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดระยะแรก หอผู้ป่วยทารกแรกเกิดป่วย โรงพยาบาลมุกดาหาร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3352
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์ : 1) เพื่อศึกษาสภาพการณ์การดูแลทารกแรกเกิดเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดระยะแรก หอผู้ป่วยทารกแรกเกิดป่วย โรงพยาบาลมุกดาหาร 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลทารกแรกเกิดเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดระยะแรก หอผู้ป่วยทารกแรกเกิดป่วย โรงพยาบาลมุกดาหาร และ 3) เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการดูแลทารกแรกเกิดเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดระยะแรก หอผู้ป่วยทารกแรกเกิดป่วย โรงพยาบาลมุกดาหาร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาสภาพการณ์ และพัฒนารูปแบบการดูแลทารกแรกเกิดป่วยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดระยะแรก คือทีมสุขภาพ จำนวน 12 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) ตามคุณสมบัติที่กำหนด และมารดาและทารกแรกเกิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดระยะแรก เป็นกลุ่มควบคุม 30 คน และกลุ่มทดลอง 30 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย (simple random sampling) ที่ยินดีเข้าร่วมการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความพึงพอใจ รูปแบบการดูแลทารกแรกเกิดเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดระยะแรก แบบคัดกรองทารกกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดระยะแรก (EOS) แบบบันทึกติดตามและเฝ้าระวังอาการทางคลินิก (Early onset sepsis) และแบบบันทึกข้อมูลการติดตามและรายงานผลตามตัวชี้วัด ศึกษาในระหว่างเดือน มิถุนายน 2566 - มีนาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความแตกต่างโดยใช้สถิติ Independent t–test<br /> ผลการศึกษา : พบว่า (1) อัตราทารกแรกเกิดมีการติดเชื้อในกระแสเลือดระยะแรก (2) ระยะเวลาที่พยาบาลตรวจพบอาการติดเชื้อในกระแสเลือด (3) ระยะเวลาที่ตัดสินใจรายงานแพทย์ (4) ร้อยละการดักจับและการจัดการภาวะติดเชื้อภายใน 15 นาที (5) อัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด (6) วันนอนในโรงพยาบาล (7) ค่าใช้จ่ายในการรักษาพบว่า กลุ่มทดลองหลังการใช้รูปแบบใหม่ดีกว่ากลุ่มควบคุมหลังการใช้รูปแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ยกเว้น (8) ระยะเวลาที่แพทย์มีคำสั่งการรักษาหลังรับรายงาน (9) ระยะเวลาที่ผู้ป่วยเริ่มได้รับยาปฏิชีวนะภายใน 1 ชั่วโมงหลังวินิจฉัยพบว่า กลุ่มทดลองหลังการใช้รูปแบบใหม่ไม่แตกต่างกับกลุ่มควบคุมหลังการใช้รูปแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้รูปแบบฯ พบว่า มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมาก <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.40, S.D. = 0.51</p>
สุภาภรณ์ น้อยเจริญ
อารมย์ พรหมดี
แสงไทย ไตรยวงค์
วงค์เพ็ชร ผลสวัสดิกุล
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
141
152
-
การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด: กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3353
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดเปรียบเทียบกรณีศึกษา 2 ราย เลือกกรณีศึกษา 2 ราย แบบเฉพาะเจาะจงในหญิงตั้งครรภ์ที่เข้ารับบริการคลอด และมีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด โรงพยาบาลภูเวียง ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียน สัมภาษณ์ผู้ป่วยญาติ การศึกษาพยาธิสภาพ การดำเนินของโรค วิเคราะห์ข้อมูล วางแผน ปฏิบัติการพยาบาลและประเมินผลการพยาบาล โดยประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดแบบแผนสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอนและกรอบแนวคิดของโอเร็ม<br /> ผลการศึกษา: กรณีศึกษาทั้ง 2 ราย เป็นหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ที่เข้ารับการรักษาที่ห้องคลอด โดยพบว่า ทั้ง 2 รายมีปัจจัยเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดที่เหมือนกัน คือ มีประวัติการคลอดก่อนกำหนดในครรภ์แรกทั้ง 2 รายทำให้เป็นปัจจัยให้เกิดอาการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ทั้ง 2 รายมีภาวะซีดทำให้มีโอกาสเกิดการติดเชื้อในร่างกายได้ง่าย6, อีกทั้งกรณีศึกษารายที่ 1 มีแบบแผนการขับถ่ายที่มักจะกลั้นปัสสาวะเป็นประจำทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด5, ได้รับการดูแลให้ยาเสริมธาตุเหล็ก ยาปฏิชีวนะ ยายับยั้งการเจ็บครรภ์และได้รับการดูแลขณะได้รับยายับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดตามมาตรฐาน ขณะได้รับยาพบภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยา ได้รับการดูแลรักษาพยาบาลตามมาตรฐานจนสามารถยับยั้งการคลอดได้สำเร็จ และได้รับการประสานส่งต่อคลินิกฝากครรภ์เพื่อดูแลต่อเนื่อง ส่วนกรณีศึกษารายที่ 2 มีภาวะซีดอีกทั้งสามีและภรรยาเป็นคู่เสี่ยงพาหะธาลัสซีเมีย ไม่พบการติดเชื้อในร่างกาย ได้รับการดูแลให้ยาเสริมธาตุเหล็ก ยายับยั้งการเจ็บครรภ์ ขณะได้รับยาพบภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยา ได้รับการรักษาพยาบาลตามมาตรฐาน แต่ไม่สามารถยับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดได้ ได้รับการส่งต่อตามมาตรฐานการส่งต่อได้อย่างปลอดภัยและไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน</p>
ธัญชนก จิตจง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
153
161
-
การพัฒนาระบบการคัดกรองในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงด้วยการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระร่วมกับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่และไส้ตรงจังหวัดสกลนคร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3354
<p> การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการคัดกรองในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงด้วยการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระร่วมกับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่และไส้ตรงจังหวัดสกลนคร และเพื่อตรวจคัดกรองหาผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงในระยะเริ่มแรก กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชาชนอายุ 50-70 ปี จำนวน 246 รายคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ระยะเวลาดำเนินการ เดือน กุมภาพันธ์ 2566 - กุมภาพันธ์ 2567 โดยใช้โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่มีผลต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงจังหวัดสกลนคร แบบประเมินเพื่อค้นหามะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงระยะแรก แบบสอบถามวัดความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง แบบสอบถามวัดการรับรู้พฤติกรรมที่มีผลต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง และชุดทดสอบตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างภายในกลุ่มด้วย Paired t-test<br /> ผลการวิจัยพบว่า ระบบการคัดกรองในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงด้วยการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระร่วมกับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่และไส้ตรงจังหวัดสกลนคร ประกอบด้วย การป้องกัน 4 ระยะตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต การตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ แบบคาราวานพาศัลยแพทย์มาพบประชาชน และการติดตามกลุ่มเสี่ยงที่ส่องกล้องรวมถึงกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงที่กลับเป็นซ้ำ ทำให้ประชาชนที่ได้รับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพมีคะแนนเฉลี่ย หลังได้รับโปรแกรมเพิ่มขึ้น 1.12 คะแนน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ P<.05 และพบผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงในระยะเริ่มแรก จำนวน 2 รายคิดเป็นร้อยละ 2.24 </p>
นาคี สอนโพธิ์
ธีรารัตน์ พลราชม
ทวีศิลป์ กุละนาม
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
162
169
-
แรงจูงใจที่มีผลต่อการปฏิบัติงานตามสมรรถนะหลักของนักวิชาการสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานใน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดลพบุรี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3355
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง (survey research by cross-sectional descriptive) วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณลักษณะส่วนบุคคลและแรงจูงใจที่มีผลต่อการปฏิบัติงานตามสมรรถนะหลักของนักวิชาการสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดลพบุรี รวบรวมข้อมูลโดยเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จำนวนกลุ่มตัวอย่างคือนักวิชาการสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดลพบุรี จำนวน 81 คน ซึ่งดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่าง วันที่ 1 มีนาคม 2566-31 มีนาคม 2566และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป โดยใช้สถิติพรรณนาเพื่ออธิบาย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าต่ำสุดและค่าสูงสุด และสถิติอนุมาน เพื่อหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน<br /> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 65.9 อายุระหว่าง 26-30 ปี คิดเป็นร้อยละ 22.0 ระดับการศึกษาส่วนใหญ่ระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 87.8 รายได้้ส่วนใหญ่น้อยกว่า 20,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 37.8 และระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลจังหวัดลพบุรี 1-5 ปี คิดเป็นร้อยละ 13.4 แรงจูงใจภาพรวมกลุ่มตัวอย่างมีระดับแรงจูงใจอยู่ในระดับมาก สมรรถนะหลักของนักวิชาการสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลจังหวัดลพบุรี ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.071 (S.D.=0.496) แรงจูงใจมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการปฏิบัติงานตามสมรรถนะหลักของนักวิชาการสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดลพบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 (r=0.768, p-value<0.001)</p>
มานพ มาสอาด
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
170
177
-
ความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุในเขตอำเภอเมืองอุบลราชธานี: การศึกษาเชิงสำรวจ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3356
<p> การวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการดูแลของครอบครัวและความต้องการได้รับการดูแลของผู้สูงอายุในเขตอำเภอเมืองอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ จำนวน 385 คน ได้รับการสุ่มเลือกแบบหลายขั้น เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน (ค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ .67-1.00) และทดสอบความเชื่อมั่นโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาก (.78 - .83) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา<br /> ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 68.83) มีอายุเฉลี่ย 68.99 ปี (<em>SD</em> =7.85) ลักษณะการดูแลของครอบครัวที่มีต่อผู้สูงอายุ พบว่า ส่วนมากบุตรหลานหรือคนในครอบครัวเป็นผู้จัดหาอาหารที่รับประทานให้ (ร้อยละ 91.69) เมื่อเจ็บป่วยจะมีบุตรหลานหรือคนในครอบครัวจะเข้ามาซักถามอาการเสมอ (ร้อยละ 95.58) ได้รับความเคารพนับถือบุตรหลานหรือคนในครอบครัว (ร้อยละ 95.32) และได้รับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนจากบุตรหลานหรือคนในครอบครัว (ร้อยละ 91.69) มีผู้สูงอายุส่วนน้อยที่เป็นผู้ดูแลจัดสิ่งของเครื่องใช้ในบ้านให้เป็นระเบียบด้วยตนเอง (ร้อยละ 14.55) ส่วนความต้องการการดูแล พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ต้องการได้รับการดูแลเรื่องอาหาร (ร้อยละ 94.55) ต้องการให้มีคนมาดูแลเมื่อเจ็บป่วย (ร้อยละ 98.18) ต้องการให้บุตรหลานหรือญาติทราบเมื่อเจ็บป่วย (ร้อยละ 93.51) ต้องการให้บุตรหลานเชื่อฟัง (ร้อยละ 96.10) และต้องการให้บุตรหลานดูแลสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้ (ร้อยละ 96.62) ส่วนการดูแลที่ต้องการน้อยลที่สุด คือ ต้องการให้บุตรหลานเห็นคุณค่าของตัวผู้สูงอายุเอง (ร้อยละ 25.25)</p>
บรรเทิง พลสวัสดิ์
ชลธิชา อรุณพงษ์
อาภรณ์ เชื้อพันธ์
หนูพิศ ทุ่นทอง
สอาด มุ่งสิน
สมจิตร วงศ์หอม
ปรางทิพย์ ทาเสนาะ เอลเทอร์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
178
186
-
ประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน โดยใช้เครือข่ายสุขภาพชุมชนและระบบการแพทย์ทางไกล: กรณีศึกษาคลินิกหมอครอบครัว อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3357
<p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน โดยใช้เครือข่ายสุขภาพชุมชนและระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) การศึกษาดำเนินการในอำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 31 สิงหาคม 2567 ใช้รูปแบบการวิจัยกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงจำนวน 45 ราย ซึ่งคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง การเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถามประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันและบันทึกปัญหาสุขภาพและภาวะแทรกซ้อน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การทดสอบ Paired sample t-test เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ADL และการทดสอบ McNemar เพื่อเปรียบเทียบปัญหาสุขภาพและภาวะแทรกซ้อน ก่อนและหลังการทดลอง<br /> ผลการวิจัยพบว่าคะแนน ADL เฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) จาก 7.07 เป็น 7.91 นอกจากนี้ยังพบว่าปัญหาสุขภาพและภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลกดทับและปัญหาการนอนหลับ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05)</p>
กษิพัฒน์ เชียงแรง
พัชราภรณ์ ปินตา
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
187
194
-
ผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามแนวคิด สบช.โมเดล ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ต.เที่ยงแท้ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3347
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้ พฤติกรรมสุขภาพตามแนวคิด สบช.โมเดล ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามแนวคิด สบช.โมเดล กลุ่มตัวอย่างคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ต.เที่ยงแท้ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านไทย อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท โดยการสุ่มเฉพาะเจาะจง จำนวน 24 ประเมินผลลัพธ์โดยใช้แบบทดสอบความรู้ และแบบประเมินการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามแนวคิด สบช.โมเดล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบค่าทีแบบสัมพันธ์กัน<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพตามแนวคิด สบช.โมเดล ก่อนและหลังใช้โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) พฤติกรรมสุขภาพตามแนวคิด สบช.โมเดล ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามแนวคิด สบช.โมเดล ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ต.เที่ยงแท้ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .001 โดยค่าเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพตามแนวคิด สบช.โมเดลหลังเข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ (M=2.66, SD=0.46) สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ (M=2.08, SD=0.70)</p>
อรนุช นุ่นละออง
ยุทธนา นุ่นละออง
ศศิมา วัฒนา
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
195
203
-
การพัฒนาแนวปฏิบัติและการประเมินผลการส่งต่อผู้ป่วยกระดูกยาวหัก โรงพยาบาลบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3348
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ(Action research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติ การประเมินผลแนวปฏิบัติ และประเมินความพึงพอใจของพยาบาลผู้ใช้แนวปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยกระดูกยาวหัก โรงพยาบาลบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ประชากรที่ใช้ในกระบวนการพัฒนาแนวปฏิบัติ พยาบาลวิชาชีพงานผู้ป่วยนอก และงานอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลบ้านผือ ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วย 15 คน แพทย์ผู้ส่งต่อผู้ป่วย 4 คน เจ้าหน้าที่เวชกิจฉุกเฉิน 4 คน ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนสิงหาคม 2567 ถึง ตุลาคม 2567 เก็บข้อมูลโดยการประชุมกลุ่มย่อย และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ paired T-test<br /> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 76.92 อายุเฉลี่ย 32 ปี ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ร้อยละ 46.15 ระยะเวลาในการปฏิบัติงานอยู่ระหว่าง 1-5 ปี ร้อยละ 46.15 ระยะเวลาการปฏิบัติงานเฉลี่ย 9 ปี ผลการพัฒนาขั้นตอนการพยาบาลให้ชัดเจนขึ้น เพิ่มขนาดตัวอักษรแนวปฏิบัติ บทบาทพยาบาล ข้อวินิจฉัยการพยาบาล และกิจกรรมการพยาบาลผู้ป่วยกระดูกยาวหัก ให้ญาติผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการรับทราบข้อมูลและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น ผลการประเมินแนวปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยกระดูกยาวหัก รายหมวด พบว่า หมวด 1 ขอบเขตและวัตถุประสงค์ร้อยละ 77.78 หมวด 2 การมีส่วนร่วนของผู้เกี่ยวข้องร้อยละ 69.44 หมวด 3 ขั้นตอนการพัฒนาแนวปฏิบัติร้อยละ 74.60 หมวด 4 ความชัดเจนในการนำเสนอ ร้อยละ 77.78 หมวด 5 การประยุกต์ใช้ร้อยละ 81.48 และหมวด 6 ความเป็นอิสระของทีมจัดทำแนวปฏิบัติร้อยละ 77.78 ความพึงพอใจของพยาบาลหลังพัฒนามากกว่าก่อนพัฒนา(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.05 ,S.D. = 0.83) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 อยู่ในระดับมาก </p>
ศศิธร ประทุมชาติ
อมรรัตน์ อัครเศรษฐสกุล
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
204
211
-
การพยากรณ์จำนวนรายการใช้ยาสมุนไพรรายเขตสุขภาพ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3366
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพยากรณ์จำนวนรายการใช้ยาสมุนไพรรายเขตสุขภาพ เป็นการวิจัยเชิงพยากรณ์อนาคตด้วยอนุกรมเวลาตัวแปรเดียว รวบรวมข้อมูลจากรายงานการใช้ยาสมุนไพรของกระทรวงสาธารณสุข พยากรณ์ด้วยทฤษฎีระบบเกรย์ ใช้ข้อมูลปีงบประมาณ 2559 ถึง 2566 พยากรณ์ปีงบประมาณ 2567 และเปรียบเทียบกับค่าจริง และใช้ข้อมูลปีงบประมาณปี 2559 ถึง 2567 พยากรณ์ปีงบประมาณ 2568 ผลปรากฏว่า ตัวแบบ GM(1,1) Error Periodic Correction มีค่าเฉลี่ยร้อยละความผิดพลาดสัมบูรณ์ต่ำกว่าร้อยละ 10 ใช้พยากรณ์ได้แม่นยำสูง และมีค่าสัมประสิทธิ์การกำหนด (R<sup>2</sup>) มากกว่า 0.80 ความผิดพลาดจากค่าจริงในปีงบประมาณ 2567 ร้อยละ -1.77 ถึง -25.43 ขณะที่เขตสุขภาพที่ 13 ต่างกับค่าจริงร้อยละ -35.39 ซึ่งต่ำกว่าค่าจริงในปี 2567 มาก แต่เมื่อใช้ข้อมูลจริงปีงบประมาณ 2567 ร่วมด้วยผลการพยากรณ์ปีงบประมาณ 2568 ก็เพิ่มจากค่าจริงในปีงบประมาณ 2567 เกือบทุกเขตสุขภาพ</p>
พันธ์วิรา เวยสาร
วัฒนา ชยธวัช
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
212
219
-
การพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อลดระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) โดยการสร้างความตระหนักรู้ในการจัดการตนเอง ในสถานการณ์โควิด-19 โรงพยาบาลนาแก จังหวัดนครพนม
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3367
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพผู้ป่วยเบาหวานเพื่อลดระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) โดยการสร้างความตระหนักรู้ในการจัดการตนเองในสถานการณ์โควิด-19 โดยกลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่มีค่าน้ำตาลสะสม 7-7.99 % อายุน้อยกว่า 60 ปี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 2 ส่วน คือ เครื่องมือที่ใช้ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีการเก็บรวบรวมข้อมูล ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2565 ถึง 15 ธันวาคม 2565 การวิเคราะห์ข้อมูลโดย เปรียบเทียบคะแนนด้านความรู้,ความตระหนักรู้ และพฤติกรรมผู้ป่วยเบาหวานโดยใช้สถิติ paired t-test วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ด้านความพึงพอใจ ด้วยสถิติเชิงพรรณนา(descriptive statistic) โดยใช้การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการศึกษา พบว่าคะแนนความรู้,ความตระหนักรู้ และพฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างหลังการพัฒนา มีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และด้านค่าเฉลี่ยน้ำตาลสะสม (HbA1C) ของกลุ่มตัวอย่าง หลังการพัฒนามีค่าลดลง จากก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 เช่นกัน ส่วนในด้านความพึงพอใจ พบว่าหลังการพัฒนา กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อการพัฒนาในทุกด้านจากในระดับน้อยเป็นระดับมาก</p>
วราลี วงศ์ศรีชา
วรรณ์นิภา แสนสุภา
พิมพ์ญดา เนียมแดง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
220
229
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันภาวะคลอดก่อนกำหนด จังหวัดสกลนคร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3368
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบและผลของการพัฒนารูปแบบดูแลหญิงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันภาวะคลอดก่อนกำหนด จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการฝากครรภ์ในสถานบริการพื้นที่นำร่อง 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองสกลนคร อำเภอกุสุมาลย์ อำเภอกุดบาก อำเภอสว่างแดนดิน และอำเภอโพนนาแก้ว ในช่วงปีงบประมาณ 2564 จำนวน 50 คน ได้รับการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) และคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปแบบประเมินความรู้หญิงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันภาวะคลอดก่อนกำหนด และแบบคัดกรองปัจจัยเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด การวิเคราะห์ข้อมูล: ข้อมูลทั่วไปและปัจจัยเสี่ยงฯ ใช้ค่าจำนวน ร้อยละ, ความรู้การป้องกันการคลอดก่อนกำหนดใช้ค่าเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงมาตรฐาน เปรียบทียบก่อน-หลังร่วมกิจกรรม โดยใช้สถิติ paired t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า หญิงตั้งครรภ์กลุ่มตัวอย่างมีปัจจัยเสี่ยง 3 อันดับแรก ได้แก่ ทำงานหนัก ร้อยละ 24, ความเครียด ร้อยละ 16, ประวัติเคยคลอดก่อนกำหนด ร้อยละ 12, ปัจจัยเสริมที่พบมากที่สุดคือ มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น DM, HT Anemia, BMI มากหรือน้อยกว่าปกติ ร้อยละ 10 หลังร่วมกิจกรรมคะแนนความรู้การป้องกันภาวะคลอดก่อนกำหนดมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 7.52 (SD =1.501) เป็น 9.28 (SD= .858) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และอำเภอนำร่อง 5 แห่ง มีภาวะคลอดก่อนกำหนดลดลง 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอกุสุมาลย์, อำเภอสว่างแดนดิน และอำเภอกุดบาก ร้อยละ 13.33, 10.64 และ 8.15 ลดลงเป็นร้อยละ 8.15, 7.65 และ 5.56 ตามลำดับ</p>
สุภาณี กิตติสารพงษ์
ธีรารัตน์ พลราชม
ลีลวัฒน์ กองศูนย์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
230
236
-
การสร้างเสริมการจัดการตนเองเพื่อป้องกันภาวะน้ำเกินในผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม โรงพยาบาลเรณูนคร จังหวัดนครพนม
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3369
<p> การวิจัยนี้เป็น การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา กระบวนการและผลการสร้างเสริมการจัดการตนเองเพื่อป้องกันภาวะน้ำเกินในผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม โรงพยาบาลเรณูนคร จังหวัดนครพนม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ได้รับการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 50 คน มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด ดำเนินการโดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา 3 ขั้นตอน ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม พ.ศ. 2567 เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป, แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับภาวะน้ำเกิน, แบบประเมินพฤติกรรมการป้องกันภาวะน้ำเกิน และแบบวัดความวิตกกังวล (GAD-7) การวิเคราะห์ข้อมูล: ข้อมูลทั่วไปใช้ค่าจำนวน ร้อยละ, ความรู้เกี่ยวกับภาวะน้ำเกินใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน, พฤติกรรมการป้องกันภาวะน้ำเกินและความวิตกกังวลใช้ค่าจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน เปรียบเทียบโดยใช้สถิติ Pair t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า ก่อน-หลังการพัฒนารูปแบบฯ กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการบริโภคอาหาร 2.72 (SD=.340) เพิ่มขึ้น 3.08 (SD=.372) ระดับปานกลาง, การควบคุมปริมาณน้ำดื่ม 2.38 (SD=.656) ระดับน้อย เพิ่มขึ้นเป็น 3.08 (SD=.372) ระดับปานกลาง, อาการและอาการแสดงของภาวะน้ำเกินค่าคะแนนเฉลี่ย 1.54 (SD=.381) ลดลงเป็น 1.31 (SD=.232), คะแนนความรู้เฉลี่ยเกี่ยวกับภาวะน้ำเกิน 9.36 เพิ่มขึ้นเป็น 9.59, ด้านความวิตกกังวลส่วนใหญ่อยู่ในระดับเล็กน้อยก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรม</p>
พลใส มุลทาเย็น
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
237
244
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมความสามารถในการดูแลตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลเท้า ในผู้ป่วยมุสลิมโรคเบาหวาน บูรณาการศาสตร์การแพทย์แผนไทย ในพื้นที่อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3370
<p> งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง(Quasi-experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความสามารถในการดูแลตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลเท้า ในผู้ป่วยมุสลิมโรคเบาหวาน บูรณาการศาสตร์การแพทย์แผนไทย กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยมุสลิมโรคเบาหวานที่เข้าตามเกณฑ์การคัดเข้า-คัดออก จำนวน 70 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 35 คน ซึ่งได้รับโปรแกรมฯที่ได้พัฒนาขึ้น และกลุ่มควบคุม 35 คน ได้รับการรักษาตามมาตรฐาน ใช้เวลาการศึกษา 5 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน แบบคัดกรองภาวะแทรกซ้อนทางเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และ Semmes- Weinstein monofilament ขนาด 5.07 (10 กรัม) จำนวน 1 เครื่อง วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ใช้สถิติ paired t-test และ Independent t-test<br /> ผลการวิจัยพบว่าหลังใช้โปรแกรมฯ กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลเท้าภาพรวม(Mean=4.2,SD=0.16) มากกว่าก่อนใช้โปรแกรมฯ (Mean=2.95,SD=0.16) และมากกว่ากลุ่มควบคุม(Mean=3.07,SD=0.41) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (<em>p-value</em> < 0.001) และหลังใช้โปรแกรมฯกลุ่มทดลองมีระดับความเสี่ยงของการเกิดแผลที่เท้า(Mean=1.74,SD=0.44) ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม(Mean=2.17,SD=0.38) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t=4.330,<em>p-value</em> < 0.001)</p>
นิอิสมาแอล ดอเลาะ
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
245
253
-
การวิจัยประเมินโครงการส่งเสริมสุขภาพเด็กร้อยแก่นสารสินธุ์ ดี เก่ง มีสุข เขตสุขภาพที่ 7 (Smart Kids 4.0 Area 7) ปีงบประมาณ 2566 จังหวัดขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3371
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีจุดประสงค์เพื่อประเมินผลของโครงการส่งเสริมสุขภาพเด็กร้อยแก่นสารสินธุ์ ดี เก่ง มีสุข เขตสุขภาพที่ 7 (Smart Kids 4.0 Area 7) ปีงบประมาณ 2566 จังหวัดขอนแก่น และประเมินผลของโครงการในเรื่องพัฒนาการเด็ก ความฉลาดทางอารมณ์ ทักษะผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย และประสิทธิภาพโครงการ มีกลุ่มเป้าหมาย เป็นพื้นที่ดำเนินงาน 26 อำเภอ จำนวน 30 ตำบล ประกอบด้วย 1) ทีมพัฒนาเด็กและครอบครัว (ครู ก) ตำบลละ 2 คน จำนวน 60 คน 2) กลุ่มเด็กอายุ 3-5 ปี ที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้า จำนวน 1,150 คน และผู้ปกครองเด็ก จำนวน 1,150 คน ประเมินกลุ่มตัวอย่าง ก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการ วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมานในการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยตัวแปรตาม ใช้ paired t-test<br /> ผลการศึกษา พบว่า หลังการดำเนินโครงการ พบว่าจังหวัดขอนแก่น 1) ด้านบริบท ครอบครัวขยายเป็นส่วนใหญ่ ผู้ดูแลหลักในการดูแล เป็นหน้าที่ของ ปู่ ย่า ตา ยาย 2) ด้านปัจจัยนำเข้า บุคลากร ทรัพยากร งบประมาณ และนโยบาย พบว่ามีความพร้อมของการจัดทำโครงการได้ดีมาก 3) ด้านกระบวนการ ทีมพัฒนาเด็กและครอบครัว (ครู ก) มีคะแนนค่าเฉลี่ยความรู้ด้านการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย เพิ่มขึ้น ผู้ปกครองมีทักษะการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยผ่านเกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 37.0 ค่าเฉลี่ยทักษะการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยเพิ่มขึ้นเป็น 90.9 ± 10.7 คะแนน การจัดกระบวนการ ด้วยโปรแกรมการส่งเสริม Smart Kids Area 7: SA 7 สามารถเปลี่ยนแปลงค่าเฉลี่ยทักษะการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยเพื่อการส่งเสริมพัฒนาการและความฉลาดทางอารมณ์ของผู้ปกครองได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการประเมินความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ของเด็กปฐมวัย มีค่าเฉลี่ยคะแนนเพิ่มขึ้นเป็น 51.2 ± 5.5 คะแนน และมีพัฒนาการสมวัย คิดเป็นร้อยละ 96.6 เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4)</p>
วรินทรัตน์ ขันธสะอาด
ธญยธร แฝงฤทธิ์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
254
262
-
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อคจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต โรงพยาบาลบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3372
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต โรงพยาบาล บ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างได้แก่ พยาบาลที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยในหญิง โรงพยาบาลบ้านไผ่ จำนวน 13 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้างเกี่ยวกับความคาดหวังของแพทย์และพยาบาลที่มีต่อการดูแลผู้ป่วย และปัญหาในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต และแนวทางการสนทนากลุ่ม 2.) แบบประเมินการปฏิบัติตามแนวทางการปฏิบัติการพยาบาล และความพึงพอใจต่อรูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต และ 3.) แบบบันทึกข้อมูลผลลัพธ์ทางการพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะเชิงเนื้อหา และข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติพรรณนา<br /> ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต ประกอบด้วย 6 ประเด็นได้แก่ 1. การใช้ระบบสัญญาณเตือน 2. การประเมินอาการและการปฏิบัติการพยาบาลใน 6 ชั่วโมงแรก 3. การเจาะเลือดและส่งเพาะเชื้อเพื่อหาต้นเหตุของการติดเชื้อ 4. การบริหารยาปฏิชีวนะ 5. การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ 6.การบริหารยาควบคุมความดันโลหิต โดยมีแนวทางในการการพยาบาลผู้ป่วย หลังจากนำรูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นมาใช้ การปฏิบัติงานของพยาบาลมีความเป็นระบบและมีมาตรฐานมากขึ้น โดยการประเมินผลใน 3 เดือนหลังการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า ค่าเฉลี่ยของการปฏิบัติงานอยู่ในภาพรวมอยู่ในระดับมากและพยาบาลวิชาชีพยังมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการพยาบาลที่มีความชัดเจนในแนวทางการรักษา</p>
ชณาทิพย์ ธรรมมุลตรี
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
263
272
-
การพยาบาลและการติดตามเยี่ยมดูแลผู้ป่วยติดเตียงมีแผลกดทับที่บ้าน : กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3349
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบทักษะการดูแลผู้ป่วยติดเตียงมีแผลกดทับกับผู้ดูแลและครอบครัวรวมถึงความเข้าใจลักษณะของแผลกดทับ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ โภชนาการที่จะสามารถส่งเสริม ป้องกัน ฟื้นฟู ไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกับผู้ป่วยติดเตียงเพิ่มมากขึ้น ศึกษาในผู้ป่วยติดเตียงมีภาวะแทรกซ้อนเกิดแผลกดทับจำนวน 2 รายที่เข้ารับการดูรักษาแบบผู้ป่วยในที่บ้าน โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกระนวน จังหวัดขอนแก่น ระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 ถึง วันที่ 30 พฤษภาคม 2567<br /> ผลการศึกษา พบว่า กรณีศึกษาทั้ง 2 ราย ได้รับบริการการดูแลที่เหมาะสม ปลอดภัย ได้มาตรฐานและได้รับการสนับสนับด้านเวชภัณฑ์การล้างแผล อุปกรณ์ที่นอนลมเพื่อป้องกันแผลกดทับลุกลาม และกรณีศึกษาทั้ง 2 รายผู้ดูแลและครอบครัว ชุมชนมีความพึงพอใจต่อบริการ</p>
รัดก้าว กัญญาบัญดิษฐ์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
273
280
-
การประเมินผลการดำเนินงานเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ (NPCU) อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3405
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจมีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินผลการดำเนินงานของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ (NPCU) อำเภอเมืองสระแก้ว และเพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความสำเร็จและปัญหาและอุปสรรค ในการดำเนินการของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ(NPCU) อำเภอเมืองสระแก้ว พื้นที่เป้าหมายการประเมินประกอบไปด้วย 4 เครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ ในอำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว โดยใช้โมเดล CIPP Model ของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam’s CIPP Model) ด้วยกระบวนการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา<br /> ผลการศึกษาพบว่า ด้านบริบท (Context Evaluation) แต่ละเครือข่ายมีการบูรณาการใช้กระบวนการพัฒนางานในพื้นที่ ได้แก่ การจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานพร้อมกำหนดบทบาทหน้าที่ของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิในระดับอำเภอและระดับเครือข่ายที่ชัดเจน การพัฒนาระบบคุณภาพตามมาตรฐานบริการสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2566 และมีการพัฒนาเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ (NPCU) ด้วยกระบวนการจัดการความรู้และการเรียนรู้จากงานประจำสู่งานวิจัย ด้านปัจจัยนำเข้า ได้แก่ นโยบาย งบประมาณ บุคลากร และทรัพยากร ที่มาสนับสนุนการดำเนินการของเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ (NPCU) จากโรงพยาบาลแม่ข่ายและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีค่าคะแนนการประเมินอยู่ในระดับสูง ด้านกระบวนการตามองค์ประกอบ UCCARE 5 ระดับ เครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ (NPCU) ทุกแห่งผ่านการประเมิน ระดับ 4 ขึ้นไป มีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นจากปีก่อน ด้านการประเมินด้านผลผลิตกลุ่มตัวอย่างมีความเห็นว่าเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ (NPCU) ทุกแห่งมีการพัฒนาผ่านเกณฑ์คุณภาพมาตรฐานบริการสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2566 มีค่าคะแนนการประเมินอยู่ในระดับสูง</p>
สมเจตน์ เณรรักษา
รัตนชัย เพ็ชรสมบัติ
จำเนียร สุวรรรณชาติ
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
281
289
-
การพัฒนารูปแบบการจัดการมูลฝอยติดเชื้อของเครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3374
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการมูลฝอยติดเชื้อที่เหมาะสมสำหรับเครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร กลุ่มผู้ร่วมพัฒนา ประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองยโสธร และโรงพยาบาลยโสธรจำนวน 284 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ขั้นตอนการวิจัยใช้กระบวนการวิจัยของ Kemmis & McTaggart (PAOR) ประกอบด้วยการวางแผนการปฏิบัติการการสังเกตการณ์และการสะท้อนกลับวิเคราะห์ข้อมูลโดยการรวบรวม จัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหา และประเมินผลของรูปแบบฯ โดยใช้สถิติ Paired t-test เปรียบเทียบผลต่างของคะแนนความรู้และพฤติกรรมก่อนและหลังพัฒนารูปแบบ<br /> ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังดำเนินการความรู้และพฤติกรรมการจัดการมูลฝอยติดเชื้อมีคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ปัญหาและอุปสรรคด้านการบริหารจัดการที่ต้องมีการวางแผนเพื่อแก้ไปญหาระยะยาว ได้แก่ การจัดหาสถานที่รับฝากมูลฝอยติดเชื้อ การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์และเพิ่มกำลังคนในการขนย้ายมูลฝอยติดเชื้อ การจัดทำข้อบัญญัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รูปแบบการจัดการมูลฝอยติดเชื้อของเครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สถานการณ์การจัดการมูลฝอยติดเชื้อ และปัญหา 2) การวางแผนและกำหนดแนวทางการดำเนินงาน 3) การติดตามและประเมินผล และ 4) การปรับปรุงและพัฒนาต่อเนื่อง</p> <p> </p>
สาวิตรี ประทุมภาพ
กิตติ เหลาสุภาพ
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
290
296
-
รูปแบบการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการตำรวจ 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ในอนาคต
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3406
<p> การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในอนาคต โดยใช้เทคนิค EDFR ผู้เชี่ยวชาญ 24 คน ได้รับการคัดเลือกผ่านการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 15 คน ประเมินรูปแบบจำลอง และได้ทำการทดลองในสถานีตำรวจ 3 แห่ง คือ ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ กำหนดกลุ่มตัวอย่าง 184 คน คัดเลือกโดยใช้สูตรการคำนวณของ Krejcie and Morgan นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล t - test<br /> จึงได้ผลทีมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับเนื้อหา ในด้านสิ่งแวดล้อมทางด้านกายภาพ ชีวภาพ คุณภาพชีวิต และคุณค่าประโยชน์การนำไปใช้ ได้แก่ ประเด็นการบริโภคอาหาร สภาพอาชีพ ที่อยู่อาศัย ความปลอดภัย เครื่องนุ่งห่ม สถานที่พักผ่อน สิทธิและมนุษยชน สุขภาพ การศึกษา การพักผ่อน ความเป็นอยู่ที่ดีทางเศรษฐกิจ คุณภาพสิ่งแวดล้อม ด้านสิ่งแวดล้อมทางสังคม โอกาสทางสังคมและการมีส่วนร่วมที่เท่าเทียมกัน ความมั่นคงในการดำรงชีวิต และสิทธิทางการเมือง ผลการวิจัยในการทดลองเป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบความคิดเห็นก่อนและหลังการทดลอง บ่งชี้ถึงการปรับปรุงที่สำคัญในมิติคุณภาพชีวิตต่าง ๆ รวมถึง การค้นพบนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงรุกภายในองค์กรในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีขององค์กรและสังคมในวงกว้างจากการทดลองเป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบความคิดเห็นก่อนและหลังการนำโมเดลมาใช้ผลปรากฎว่ามีแล้วดำเนินการแล้วมีผลทางสถิติมากขี้นทุกประเด็นมีค่า<em> p</em> < .01 แสดงว่า โมเดลนำไปใช้ได้</p>
อัษฎาพร ใจสุข
รัชดา บุญแก้ว
วิชิต เรืองแป้น
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
297
306
-
การพัฒนาการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงในชุมชน กรณีศึกษาตำบลสีชมพู อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3373
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงในชุมชน กรณีศึกษาตำบลสีชมพู อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น โดยใช้กลุ่มตัวอย่างได้แก่ 1) ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงในชุมชน จำนวน 15 คน 2) ผู้ป่วยเบาหวานตำบลสีชมพู จำนวน 668 ราย และความดันโลหิตสูง ตำบลสีชมพู จำนวนกลุ่มละ 30 คน และ 3) ผู้ดูแลผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง จำนวน 30 คน ข้อมูลถูกรวบรวมผ่านแบบสอบถามที่ได้รับการตรวจสอบความตรงจากผู้เชี่ยวชาญ และมีความเที่ยง สถิติที่ใช้ได้แก่ สถิติพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน คือ สถิติ paired t-test<br /> ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า หลังการการพัฒนา ผลลัพธ์ด้านผู้ป่วย พบว่า พฤติกรรมการดูแลตนเอง การรับรู้ภาวะสุขภาพของตนเอง และความพึงพอใจต่อการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 (p-value <0.001, p-value <0.001 และ p-value <0.001 ตามลำดับ) ด้านผู้ดูแล พบว่า พฤติกรรมในการดูแลผู้ป่วย และความพึงพอใจต่อการมีส่วนร่วมของผู้ดูแลในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 (p-value <0.001, p-value <0.001 ตามลำดับ) และด้านบุคลากรสุขภาพ การมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย และความพึงพอใจต่อการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 (p-value <0.001 และ p-value <0.001 ตามลำดับ)</p>
กฤษดา โม้เวียง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
307
315
-
การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ จังหวัดสุโขทัย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3380
<p> การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ แบ่งการศึกษาเป็น 3 ระยะดังนี้ ระยะที่ 1 การเตรียมการ ผู้วิจัยศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ และการศึกษามุมมองของบุคลากรทางการแพทย์ต่อรูปแบบเว็บแอปพลิเคชันที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน โดยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลเป็นบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 10 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา นำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาเป็นเว็บแอปพลิเคชันต้นแบบ ชื่อ Check Herbs ระยะที่ 2 การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน โดยการนำเว็บแอปพลิเคชันต้นแบบไปให้ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรทางการแพทย์ทดลองใช้งานและนำไปปรับปรุง 2 รอบ แต่ละรอบใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 3 ทดสอบประสิทธิภาพของเว็บแอปพลิเคชัน 1) การประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน 2) การประเมินประสิทธิภาพในการใช้งานจากกลุ่มผู้ใช้เพื่อประเมินความพึงพอใจและการประเมินความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพร โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรทางการแพทย์จำนวน 50 คน<br /> ผลการวิจัยระยะที่ 1 จากการค้นคว้าข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้องพบว่าข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับยาสมุนไพรมีอยู่อย่างกระจัดกระจายและขาดความครบถ้วน และผู้ให้ข้อมูลต้องการแอปพลิเคชันที่มีเนื้อหาของยาสมุนไพรที่ครบถ้วน ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ผลระยะที่ 2 จากการทดลองใช้ครั้งที่ 1 พบว่าการประมวลผลยังไม่เชื่อมโยงกับการกรอกข้อมูลในบางส่วน รูปแบบการใช้ซับซ้อน สีของไอคอนยังไม่สวยงาม แต่เนื้อหาของยาสมุนไพรมีเพียงพอต่อความต้องการใช้งาน หลังจากปรับปรุงแล้วนำไปทดลองใช้ครั้งที่ 2 พบว่าการประมวลผลเชื่อมโยงอย่างถูกต้อง สีเหมาะสม ใช้งานสะดวก ผลระยะที่ 3 พบว่าการประเมินคุณภาพของเว็บแอปพลิเคชัน การประเมินความพึงพอใจและการประเมินความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรอยู่ในระดับมาก และกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เพิ่มมากขึ้นหลังจากทดลองใช้เว็บแอปพลิเคชัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001</p>
วิลาสินี หงสนันทน์
จิตอนุวัต พุ่มมวง
วิจิตร โภคา
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
316
325
-
พัฒนารูปแบบการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลปากเพรียว อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3409
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อศึกษาสถานการณ์ พัฒนารูปแบบ และศึกษาผลของการใช้รูปแบบการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลปากเพรียว อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ ประชาชนทั่วไปจำนวน 30 คน ผู้นำชุมชนจำนวน 6 คน อาสาสมัครสาธารณสุขจำนวน 15 คน ตัวแทนครูจำนวน 2 คน พื้นที่ดำเนินการวิจัย 3 ชุมชน (ชุมชนแก่งขนุน 2, ชุมชนดาวเสด็จ, ชุมชนบ้านบึง) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสำรวจลูกน้ำยุงลาย แบบประเมินความรู้การปฏิบัติตัวโรคไข้เลือดออกสำหรับประชาชน แบบสอบถามการมีส่วนร่วมของชุมชน แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยอันดับที่ pair- t test<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกก่อน-หลังการใช้รูปแบบฯ พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.05) 2) การปฏิบัติการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของประชาชนก่อน-หลังการใช้รูปแบบฯ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) 3) การมีส่วนร่วมของชุมชนก่อนและหลังการใช้รูปแบบการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05)</p>
หทัยพัชร์ แก้วประสิทธิ์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
326
334
-
การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงที่มีภาวะไตวายเรื้อรังร่วมกับการล้างไตทางช่องท้องแบบต่อเนื่อง (CAPD) ที่บ้าน : กรณีศึกษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3410
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่มีภาวะไตวายเรื้อรังร่วมกับการล้างไตทางช่องท้องมาตรฐานตามวิชาชีพ ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 47 ปี เป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่มีภาวะไตวายเรื้อรังร่วมกับการล้างไตทางช่องท้องแบบต่อเนื่อง คลินิกล้างไตทางช่องท้องส่งใบ Smart COC เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 มาที่กลุ่มงานการพยาบาลชุมชน ประเมินผู้ป่วยพร้อมญาติ เพื่อวางแผนการจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล พบว่า ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลแบบองค์รวมต่อเนื่องที่บ้าน มีการวางแผนระยะก่อนเยี่ยม และติดตามเยี่ยมบ้าน จำนวน 4 ครั้ง ประสานงานการดูแลร่วมกันกับสหสาขาวิชาชีพ ผู้ป่วยและญาติ ร่วมกันปรึกษาหารือเพื่อเตรียมความพร้อมผู้ป่วยและญาติที่จะเผชิญหน้ากับอาการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น<br /> จากการศึกษาพบว่า การนำข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลมาใช้แก้ไขปัญหาตามสภาวะสุขภาพของผู้ป่วย และความต้องการของผู้ป่วยและผู้ดูแล ทำให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลมีความรู้ความเข้าใจ สามารถจัดการกับอาการต่าง ๆ ของโรคได้ ผู้ดูแลเข้าใจผู้ป่วยมากขึ้น พร้อมดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองที่บ้าน</p>
กัลยา นนท์สกุล
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
335
343
-
การพยาบาลส่งเสริมสุขภาพมารดาหลังคลอดที่ติดเชื้อเอชไอวี และป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก : กรณีศึกษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3411
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลส่งเสริมสุขภาพมารดาหลังคลอดที่ติดเชื้อเอชไอวี และป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก ศึกษาในหญิงไทย อายุ 23 ปี วินิจฉัยว่า ติดเชื้อเอชไอวี พ.ศ. 2562 ไม่มาตามนัด ขาดยา มาเริ่มยาต้านไวรัสเดือนมีนาคม 2566 และเข้ารับการรักษาเพื่อมาคลอด วันที่ 8 พฤษภาคม 2566<br /> ผลการศึกษา: ได้ให้การพยาบาลส่งเสริมสุขภาพมารดาหลังคลอด ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ให้ความรู้ในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อเอชไอวีสู่บุตร สามี และบุคคลอื่น วางแผนจำหน่ายและดูแลต่อเนื่องที่บ้าน ก่อนจำหน่ายมีการประสานส่งต่อข้อมูลมารดาหลังคลอดเพื่อการดูแลต่อเนื่องในชุมชน ผ่านทาง Smart COC สามารถจำหน่ายผู้ป่วยได้ วันที่ 8 พฤษภาคม 2566 การติดตามมาตรวจหลังคลอด มารดาหลังคลอดดูแลสุขภาพตนเอง และบุตรได้ถูกต้อง</p>
แอนนา บุญอิ่ม
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
344
352
-
การพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกที่ได้รับการผ่าตัดมดลูกแบบถอนรากถอนโคน : กรณีศึกษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3412
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกที่ได้รับการผ่าตัดมดลูกแบบถอนรากถอนโคน ศึกษาในผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 37 ปี เข้ารับรักษาที่หอผู้ป่วยนรีเวชและพิเศษหญิงรวม โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 นัดมาเพื่อทำผ่าตัด RHND with BSO with PANS<br /> ผลการศึกษา: ระยะก่อนผ่าตัดผู้ป่วยวิตกกังวลกลัวการผ่าตัด ขณะผ่าตัด ป้องกันภาวะแทรกซ้อนขณะผ่าตัด ไม่พบอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์ขณะผ่าตัด ได้แก่ การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อจากการจัดท่าผ่าตัด การบาดเจ็บจากการใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าภาวะช็อคจากการสูญเสียเลือดขณะผ่าตัด การบาดเจ็บกับอวัยวะใกล้เคียงที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน การบาดเจ็บต่อเส้นเลือดและเส้นประสาทสำคัญ สิ่งของตกค้างในร่างกายผู้ป่วยจากการผ่าตัด และการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด ติดตามเยี่ยมหลังผ่าตัด ให้ความรู้ก่อนจำหน่าย ผู้ป่วยจำหน่ายวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 รวมรักษาตัวในโรงพยาบาลนาน 9 วัน</p>
ปฏิมา มะพะสาธุโร
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
353
363
-
การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาในระบบทางเดินปัสสาวะร่วมกับมีภาวะเลือดออกในระบบทางเดินอาหารส่วนต้น: กรณีศึกษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3416
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาในระบบทางเดินปัสสาวะร่วมกับมีภาวะเลือดออกในระบบทางเดินอาหารส่วนต้น โดยศึกษาในผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 88 ปี เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลววันที่ 24 สิงหาคม 2565 ด้วยอาการ ไข้ ปวดท้อง ปัสสาวะออกน้อย ใส่ NG มีเลือดปน 1 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล <br /> ผลการศึกษา: แพทย์วินิจฉัย ติดเชื้อดื้อยาในระบบทางเดินปัสสาวะร่วมกับมีภาวะเลือดออกในระบบทางเดินอาหารส่วนต้น ระหว่างดูแลให้การพยาบาลป้องกันและลดการติดเชื้อ ดูแลความสุขสบายลดไข้ ป้องกันแผลกดทับ ให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา อาการผู้ป่วยดีขึ้นเป็นลำดับ ไข้ลดลง ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน สามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้น ปัสสาวะไม่มีตะกอน จำหน่ายวันที่ 30 สิงหาคม 2565 รวมระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล 7 วัน</p>
ทัศนีย์ ณ ป้อมเพ็ชร
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
364
370
-
การพยาบาลผู้ป่วยช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด (Septic shock) ร่วมกับภาวะลิ่มเลือดแพร่กระจายในหลอดเลือด (Disseminated intravascular coagulation: DIC) : กรณีศึกษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3417
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเฉพาะราย (Case study) เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมกับภาวะลิ่มเลือดแพร่กระจายในหลอดเลือด ตั้งแต่แรกรับจนจำหน่าย โดยการวางแผนและการดำเนินการพยาบาลในกรณีศึกษานี้เน้นการดูแลแบบองค์รวม (Holistic Care) โดยใช้กรอบแนวคิดการประเมินแบบ FANCAS เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการวางแผนการพยาบาลอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ การพัฒนาการพยาบาลยังอิงตามกระบวนการพัฒนา PDSA (Plan-Do-Study-Action) เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้การพยาบาล<br /> กรณีศึกษา : ผู้ป่วยชายไทยอายุ 53 ปี รับไว้รักษาในโรงพยาบาล 11 กุมภาพันธ์ 2567 แพทย์วินิจฉัย Escherichia Coli Septicemia with Septic Shock with Acute pyelonephritis with Disseminated intravascular coagulation with Upper gastrointestinal hemorrhage ได้รับการรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ (Meropenem) ยากระตุ้นความดันโลหิต (Norepinephrine) การให้สารน้ำและเลือด รวมถึงการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากยาที่มีความเสี่ยงสูง และการจัดการกับภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร โดยมีระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล 10 วัน</p>
ยุพล รู้รักตน
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
371
378
-
การพยาบาลผู้ป่วยลำไส้ทะลุที่มีโรคร่วม ได้รับการผ่าตัดเปิดทวารเทียม: กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3419
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา 2 ราย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยลำไส้ทะลุมีโรคร่วม ที่ได้รับการผ่าตัดเปิดทวารเทียมจำนวน 2 ราย ที่เข้ารับการรักษา โรงพยาบาลขอนแก่น วิธีดำเนินการเลือกแบบเฉพาะเจาะจงในผู้ป่วยลำไส้ทะลุ ที่ได้รับการผ่าตัดเปิดทวารเทียมโดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากประวัติการเจ็บป่วย การรักษา เวชระเบียน สัมภาษณ์ และประเมินภาวะสุขภาพการกำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลโดยใช้แนวคิดแบบประเมินผู้ป่วยตามแบบแผนทางด้านสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอน วางแผนปฏิบัติการพยาบาลตามข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล สรุปและประเมินผลลัพธ์<br /> ผลการศึกษา: การศึกษาทางการพยาบาล พบว่าในระยะก่อนผ่าตัดพบปัญหาที่เหมือนกันคือญาติและผู้ป่วยวิตกกังวลเกี่ยวกับสภาวะโรคและการรักษาด้วยการผ่าตัดที่ได้รับ ในระยะวิกฤต ไม่สุขสบายเนื่องจากปวดแผลผ่าตัดเหมือนกัน ที่ต่างกันคือแต่ละกรณีศึกษามีโรคร่วมที่ต่างกัน ในกรณีศึกษาที่ 1 มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และหายใจหอบเหนื่อย มีภาวะโพแทสเซี่ยมต่ำ กรณีศึกษาที่ 2 เสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน มีภาวะน้ำเกิน และมีภาวะพร่องออกซิเจน มีภาวะติดเชื้อในร่างกาย การพยาบาลที่สำคัญทั้ง 2 รายคือ การเตรียมความพร้อม ด้านร่างกาย และจิตใจให้กับผู้ป่วยและญาติ โดยให้ข้อมูลการรักษาและการผ่าตัดเกี่ยวกับทวารเทียม เพื่อรักษาและบรรเทาปัญหาเฉียบพลันที่กำลังคุกคามชีวิต และผู้ป่วยทุกรายเมื่อพ้นภาวะวิกฤติแล้วต้องได้รับการเตรียมความพร้อมในการดูแลทวารเทียม การพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากมีทวารเทียม การให้ความรู้ ฝึกทักษะผู้ป่วยและญาติในการดูแล และเสริมสร้างพลังอำนาจในการจัดการตนเอง ผู้ป่วยทั้ง 2 รายไม่มีภาวะแทรกซ้อนจำหน่ายกลับบ้านได้ รวมระยะเวลาการดูแลกรณีศึกษารายที่ 1จำนวน 16 วัน กรณีศึกษารายที่ 2 จำนวน 35 วัน</p>
จันทราภา นิกร
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
379
386
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายต่อเนื่องที่บ้านแบบมีส่วนร่วม โรงพยาบาลภูเวียง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3420
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research-PAR) วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลการใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายต่อเนื่องที่บ้านแบบมีส่วนร่วม โรงพยาบาลภูเวียง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย แพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด แพทย์แผนไทย จนท.รพ.สต ผู้นำชุมชน อสม. ในการทำ Focus group และผู้ป่วยระยะสุดท้าย 218 คนในการศึกษาเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เครื่องมือเชิงคุณภาพ ได้แก่ แนวคำถามปลายเปิด Focus group เครื่องมือเชิงปริมาณ ได้แก่ แบบเก็บข้อมูลทั่วไป, แบบบันทึกการติดตามดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องที่บ้าน, แบบประเมินกิจวัตรประจำวัน (ADL), แบบประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตนเองของผู้ป่วย (PPS), แบบประเมินความรุนแรงของความปวด (ESAS) สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบก่อนหลังด้วยสถิติ Paired t test<br /> ผลการศึกษา พบว่า จากการวิเคราะห์ปัญหาพบว่า ผู้ป่วยระยะสุดท้าย จำนวน 218 คน ส่วนมากเป็นเพศชาย ร้อยละ 57.34 อายุอยู่ในช่วง 60-70 ปี อาชีพทำไร่ทำนา ร้อยละ 38.53 ประเภทผู้ป่วยระยะสุดท้ายส่วนมากเป็นโรคมะเร็งตับ ร้อยละ 32.57 การพัฒนารูปแบบประกอบด้วย 8 แนวทางสำคัญ ดังนี้ 1) การอบรมเพิ่มศักยภาพผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย 2) พัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยให้ชัดเจนทันสมัย 3) การจัดการสิ่งแวดล้อมบ้านผู้ป่วย 4) การให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลมีส่วนร่วมในการการวางแผนการรักษา 5) การสนับสนุนอุปกรณ์ช่วยเหลือที่บ้าน 6) การดูแลที่บ้านตามวิถีพุทธและธรรมเนียมอีสาน 7) การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายโดยทีมสหวิชาชีพ 8) การส่งเสริมการอบรมการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย การทดสอบความแตกต่างทางสถิติพบว่ามีค่าเฉลี่ยความรุนแรงของความปวดลดลงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ p <.05, t = 6.36</p>
อังคณา ศรีไสย
เพ็ญพักร์ ทองศรี
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
387
395
-
ผลของโปรแกรมการพยาบาลเชิงรุกต่อการควบคุมความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ของศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโรงพยาบาลกาฬสินธุ์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3421
<p> การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experiment Research) แบบสองกลุ่มวัดก่อน และหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการพยาบาลเชิงรุกต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงของศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ศึกษาในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันไม่ดี จำนวน 100 ราย วันที่ เมษายน 2566 – กันยายน 2566 แบ่งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 50 ราย รวบรวมแบบสอบถาม 3 ชุด วิเคราะห์ข้อมูล การแจกแจง ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบความแตกต่าง ระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากรสองกลุ่มที่เป็นอิสระกัน (independent t-test) และสถิติทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากรสองกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน (paired t-test)<br /> ผลการศึกษา : การเปรียบเทียบพฤติกรรมสุขภาพต่อการควบคุมระดับความดันโลหิต พบว่า หลังได้รับโปรแกรมร่วมกับการพยาบาลปกติ มีคะแนนเฉลี่ยภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก 3.19<u>+</u>0.35 ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /><u>+</u> S.D.,P<0.0001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 คะแนนเฉลี่ยสูงสุด คือ การใช้ยาถูกต้อง 3.31<u>+</u>0.46 (P<0.0001) การจัดการความเครียด 3.14<u>+</u>0.57 (P<0.0001) การรับประทานอาหาร 3.13<u>+</u>0.73 (P<0.0001) การออกกำลังกาย 3.09<u>+</u>0.65 (P<0.0001) ค่าดัชนีมวลกายกลุ่มทดลอง BMI=25.05<u>+</u>3.77 Kg/m<sup>2</sup>(<em>P</em>=0.02) SBP=140.54<u>+</u>17.89 มิลลิเมตร (<em>P</em><0.001) และ DBP=89.26<u>+</u>10.68 มิลลิเมตรปรอท (P<0.001) มีค่าต่ำกว่ากลุ่มควบคุม BMI=27.03<u>+</u>4.55 Kg/m<sup>2</sup>, SBP=149.65<u>+</u>19.54 มิลลิเมตรปรอท DBP=94.44<u>+</u>14.44 มิลลิเมตรปรอท อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05</p>
วชิรารัตน์ วรรณศิริ
รณภูมิ สุรันนา
ชนิดา โอษคลัง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
396
403
-
การพยาบาลผู้ป่วยจอประสาทตาหลุดลอกที่ได้รับการผ่าตัดน้ำวุ้นตา โรงพยาบาลขอนแก่น: กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3422
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบกระบวนการพยาบาลผู้ป่วยจอประสาทตาหลุดลอกที่ได้รับการผ่าตัดน้ำวุ้นตา กรณีศึกษา 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยจักษุ โรงพยาบาลขอนแก่น โดยศึกษาเปรียบเทียบผู้ป่วยจอประสาทตาหลุดลอกที่ได้รับการผ่าตัดน้ำวุ้นตา กรณีศึกษา 2 ราย เลือกแบบเฉพาะเจาะจงในผู้ป่วยจอประสาทตาหลุดลอกที่ได้รับการผ่าตัดน้ำวุ้นตาเข้ารักษาในหอผู้ป่วยจักษุโรงพยาบาลขอนแก่น โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากประวัติการเจ็บป่วย การรักษา เวชระเบียน สัมภาษณ์ และประเมินภาวะสุขภาพการกำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลโดยใช้แนวคิดแบบประเมินผู้ป่วยตามแบบแผนทางด้านสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอน วางแผนปฏิบัติการพยาบาลตามข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล สรุปและประเมินผลลัพธ์แบ่งการพยาบาลออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะก่อนการผ่าตัด ระยะหลัง ผ่าตัดวางแผนจำหน่ายและระยะจำหน่ายติดตามผู้ป่วยต่อเนื่อง<br /> ผลการศึกษา: ผลการวินิจฉัยโรค Rhegmatogenous retinal detachment (RRD) right eye,branch retinal vein occlusion (Branch RVD) right eye, vitreous hemorrhage right eye (VHRE), senile cataract both eye (SC) เคยผ่าตัดต้อกระจก พบว่ามีภาวะจอตาข้างขวาหลุดลอกจากภาวะเส้นเลือดจอประสาทตาอุดตันที่แขนงหลอดเลือดร่วมกับภาวะน้ำวุ้นตา เสื่อมและมีภาวะต้อกระจกตาทั้ง 2 ข้าง วันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 Set OR for Pare plana vitrectomy with fluid air exchange with Endolaser with 14% C3F8 เนื่องจากมีการหลุดลอกซ้ำ เข้ารับการรักษาวันที่รับการรักษา 2 พฤศจิกายน 2566- 17 พฤศจิกายน 2566 วันนอน 13 วันพบข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลจำนวน 12 ข้อ</p>
เกษร ภูริกิจโกศล
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
404
411
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการในห้องคลอด โรงพยาบาลแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3423
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและใช้รูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการในห้องคลอด โรงพยาบาลแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น ทำการศึกษาในช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 -พฤษภาคม ปี 2566 รวมระยะเวลา 13 เดือน กลุ่มตัวอย่างเจ้าหน้าที่ห้องคลอดโรงพยาบาลแวงน้อย 5 คน และ สหวิชาชีพ 9 คน และ หญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการคลอด จำนวน 54 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบประเมินทักษะ แบบเก็บข้อมูลทางคลินิก และ แบบสัมภาษณ์เชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และเปรียบเทียบก่อนหลังด้วยสถิติ paired t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า บุคลากรห้องคลอดโรงพยาบาล อายุอยู่ในช่วง 31-40 ปี ร้อยละ 40.00 ประสบการณ์ในห้องคลอดมากมากกว่า 10 ปี ร้อยละ 80.00 หญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงคือ Hct <33 vol % ร้อยละ 14.14 และ มารดาอายุน้อยกว่า 20 ปี ร้อยละ 13.13 ภายหลังการพัฒนาทักษะการดูแลหญิงตังครรภ์เพิ่มสูงขึ้นจาก 3.83 คะแนน เป็น 4.82 คะแนน ทดสอบด้วยสถิติ paired t-test พบว่าคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 6.16) โดยสรุปควรใช้การพัฒนาทักษะและการทำงานร่วมกันกับทีมสหวิชาชีพและการดูแลในชุมชนจึงประสบผลสำเร็จได้</p>
นงเยาว์ คำปัญญา
จริยา โคตนาคำ
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
412
419
-
การพัฒนารูปแบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วย งานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3424
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วย และเพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้รูปแบบการคัดแยกผู้ป่วย โรงพยาบาลยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในงานผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน จำนวน 16 คน ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ 13 คน และเจ้าพนักงานเวชกิจฉุกเฉิน 3 คน และเวชระเบียนผู้ป่วยที่มารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน ระหว่าง เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2566 จำนวน 496 แฟ้ม เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย ระบบ MOPH ED Triage ของกรมการแพทย์ แบบบันทึกข้อมูลจากเวชระเบียน แบบประเมินการคัดแยกผู้ป่วยของบุคลากรผู้ให้บริการ และแบบประเมินคุณภาพการคัดแยกประเภทผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และการวิเคราะห์เนื้อหากับการสรุปผล<br /> ผลการวิจัย พบว่า มีการจัดทําคุณสมบัติเฉพาะตําแหน่ง หน้าที่ความรับผิดชอบ และการมอบหมายหน้าที่ กําหนดแนวทางการดําเนินงานที่และจัดทําคู่มือและแนวทางปรับปรุงเกณฑ์ในการคัดแยกผู้ป่วย หลังพัฒนาระบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วย การคัดแยกประเภทผู้ป่วยถูกต้องและผลการคัดแยกรายเดือน ตั้งแต่ พฤษภาคม - สิงหาคม 2566 ความถูกต้องมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ร้อยละ 61.90, 64.18, 73.28 และ 87.94 ตามลำดับ และกลุ่มที่มีผลการคัดแยกประเภทผู้ป่วยต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (Under triage) มีแนวโน้มลดลง ผลลัพธ์ด้านระยะเวลาที่ผู้ป่วยได้รับการตรวจตามประเภทความรุนแรง อัตราการได้รับการตรวจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น</p>
มยุรฉัตร อุทปา
พิศสมัย ไลออน
กาญจนา จันทะนุย
นิจพร สว่างไธสง
กำทร ดานา
อนุชา ไทยวงษ์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
420
430
-
ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตในผู้ป่วยแผลเป็บติกทะลุใน โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3425
<p> การศึกษาย้อนหลังในผู้ป่วยแผลเป็บติกทะลุ ที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาในโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราชระหว่างเดือนตุลาคม 2562 ถึง กันยายน 2566 จำนวน 186 คน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตในผู้ป่วยแผลเป็บติกทะลุในโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช โดยเก็บข้อมูล ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยเกี่ยวกับการตรวจร่างกาย ปัจจัยทางคลินิกและการผ่าตัด ปัจจัยด้านการรักษา<br /> ผลการวิจัย: จากจำนวนผู้ป่วย 186 คน พบผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด 22 คน (11.83%) เสียชีวิต 6 คน (3.23%) ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ได้แก่ อายุ>60 ปี, ภาวะ shock ก่อนการผ่าตัด, Pulse rate>100/min, ระยะเวลารอการผ่าตัด</p>
พงษ์เดช จาวรุ่งฤทธิ์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
431
438
-
ผลการใช้โปรแกรมนวดประคบเต้านมด้วยสมุนไพรไทยต่อระดับการไหลของน้ำนม ในมารดาหลังการผ่าตัดคลอด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3427
<p> การศึกษาวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experiment Research) เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมนวดประคบเต้านมด้วยสมุนไพรไทยต่อระดับการไหลของน้ำนมในมารดาหลังการผ่าตัดคลอดโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง 64 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มด้วยวิธีสุ่มแบบบล็อกขนาด= 4 กลุ่มทดลองคือกลุ่มที่ได้รับความรู้และใช้โปรแกรมนวดประคบสมุนไพรเต้านมมารดาหลังคลอด จำนวน 32 คน และกลุ่มควบคุมคือกลุ่มที่ได้รับความรู้และการดูแลตามมาตรฐานเดิมจำนวน 32 คน เครื่องมือในการทดลองครั้งนี้ คือโปรแกรมนวดประคบเต้านมด้วยสมุนไพรไทย รวบรวมข้อมูลด้วย แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป ข้อมูลทางคลินิก/การตั้งครรภ์ ข้อมูลด้านน้ำนมแม่ และแบบบันทึกคะแนนการไหลของน้ำนม ซึ่งวัดคะแนนการไหลของน้ำนมเป็น 5 ระดับ ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนสิงหาคม 2566 - เดือนกันยายน 2567 ข้อมูลส่วนบุคคลวิเคราะห์ข้อมูลโดยแจกแจงค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์การไหลของน้ำนมและเปรียบเทียบ โดยใช้สถิติ proportion test กำหนดความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p < 0.05<strong><br /> </strong>ผลการศึกษา พบว่าทั้งสองกลุ่มมีข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับระดับการไหลของน้ำนมส่วนใหญ่ใกล้เคียงกัน โดยกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมส่วนใหญ่อายุ 30-35 ปี ร้อยละ 37.5 และ ร้อยละ 46.8 การศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 51.4 และ ร้อยละ 57.1 การตั้งครรภ์ที่ 1 ร้อยละ 56.3 และ ร้อยละ 43.8 นวดเต้านมด้วยตัวเองก่อนการทดลอง 1-3 ครั้ง/วัน ร้อยละ 68.75 และ ร้อยละ 31.25 ตามลำดับ ระดับการไหลของน้ำนมแรกรับส่วนใหญ่มีคะแนนระดับ 1 คือน้ำนมไม่ไหล ร้อยละ 40.6 และ ร้อยละ 50 ตามลำดับ หลังการได้รับโปรแกรมนวดประคบเต้านมด้วยสมุนไพรไทยและการดูแลตามมาตรฐานเดิม พบว่ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีคะแนนการไหลของระดับน้ำนมระดับ 5 น้ำนมไหลดี ร้อยละ 56.3 และ ร้อยละ15.6 ตามลำดับ โดยกลุ่มทดลองมากกว่ากลุ่มควบคุม ร้อยละ 40 (95% CI : 0.194, 0.620, p-value = 0.007)</p>
อัญชลี ชลเมธีกุล
พนิดา แก้วใส
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
439
447
-
การพยาบาลผู้ป่วย ที่มีภาวะช็อคจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ในงานอุบัติเหตุฉุกเฉิน กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3429
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินของโรค ข้อวินิจฉัยการพยาบาล ปฏิบัติการพยาบาลและผลลัพธ์การพยาบาลในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดในงานบริการผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เปรียบเทียบ 2 ราย เป็นผู้ป่วยที่มีภาวะช็อคจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ในงานผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน ที่เข้ารับการรักษาโรงพยาบาลสมเด็จ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 – 31 ตุลาคม 2567 จำนวน 2 ราย<br /> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยทั้ง 2 ราย ได้รับการดูแล การเกิดภาวะช็อคจากการติดเชื้อในกระแสเลือด พยาธิสภาพ อาการและอาการแสดง การรักษา ปัญหาและข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล กรณีศึกษาทั้ง 2 รายมีภาวะวิตกกังวลเพราะผู้ป่วยและสมาชิกในครอบครัวต้องเผชิญปัญหาต่อการเจ็บป่วยของผู้ป่วย ต้องดูแลให้ข้อให้ข้อมูลมูลการรักษาพยาบาลและการช่วยเหลือประคับประคองแก่ครอบครัวตามความต้องการ</p>
วิภารัชญ์ ประมวลปรีชา
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
448
454
-
ประสิทธิผลของการใช้โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพต่อการดูแลสุขภาพตนเองในผู้ป่วยสูงอายุ ที่มีความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3392
<p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพต่อการดูแลสุขภาพตนเองในผู้ป่วยสูงอายุที่มีความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง ในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลโขงเจียม จำนวน 52 คน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 8 สิงหาคม ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2567 ระยะเวลา 8 สัปดาห์ โดยกลุ่มตัวอย่างได้รับโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพต่อการดูแลสุขภาพตนเองในผู้ป่วยสูงอายุที่มีความดันโลหิตสูง เก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สถิติที่ใช้คือ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Repeated measure One-way ANOVA<br /> ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้ภาวะสุขภาพและพฤติกรรมการจัดการตนเองหลังได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงสูงขึ้นกว่าก่อนการได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p<0.001) และค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวบนและตัวล่างลดลงหลังได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (<em>p</em><0.001)</p>
ปิยะพร พุ่มแก้ว
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
455
465
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลแผลในผู้ป่วยโรคเรื้อนที่มีแผลเรื้อรังสถาบันราชประชาสมาสัย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3391
<p> การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลแผลเรื้อรังผู้ป่วยโรคเรื้อน สถาบันราชประชาสมาสัย โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มี 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ทำความเข้าใจปัญหารูปแบบการดูแลแผลเรื้อรังผู้ป่วยโรคเรื้อน ระยะที่ 2 ปฏิบัติการร่างรูปแบบฯ ระยะที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบฯ ระยะที่ 4 ประเมินผลการปฏิบัติตามรูปแบบฯ ประชากรเป้าหมายการวิจัย คัดเลือกแบบเจาะจง คือ พยาบาลวิชาชีพหอผู้ป่วยโรคเรื้อน (อ4) แพทย์ศัลยกรรม ผู้ป่วยโรคเรื้อนที่มีแผลเรื้อรัง รวม 23 คน ใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม แบบสอบถามการยอมรับและพึงพอใจ แบบคัดลอกข้อมูลผลลัพธ์ทางการพยาบาล และแบบตรวจสอบความครบถ้วนของขั้นตอนการดำเนินการตามรูปแบบฯ เป็นเครื่องมือ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยคณะผู้วิจัย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า (1) รูปแบบที่สามารถปฏิบัติได้จริง เหมาะสมกับบริบทของสถาบันฯ คือ WOUND LEP Model (2) ผู้ป่วยโรคเรื้อนที่มีแผลเรื้อรังร้อยละ 100.0 มีการหายของแผลดีขึ้นจากเดิม 1ระดับ จำนวนวันนอนนอนโรงพยาบาลน้อยกว่า 30 วัน ร้อยละ 100.0 ไม่พบอุบัติการณ์การติดเชื้อในกระแสเลือดจากแผลเรื้อรัง ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย (3) ผู้ให้บริการมีคะแนนการยอมรับเฉลี่ย (Mean = 4.63, SD = .50) คะแนนความพึงพอใจเฉลี่ย (Mean = 4.54, SD = .52) ซึ่งเป็นระดับมากที่สุด ส่วนกลุ่มผู้รับบริการมีคะแนนการยอมรับเฉลี่ยในระดับมากที่สุด (Mean =4.66, SD = .49) คะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยระดับมาก (Mean = 4.41, SD = .51)</p>
วัชราภรณ์ พุ่มโพธิ์ทอง
นรินทร กลกลาง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
466
476
-
การวิเคราะห์การรอดชีวิตและความสัมพันธ์ระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บต่อการจัดการภาวะฉุกเฉินและผลลัพธ์ทางการแพทย์ในผู้ป่วยอุบัติเหตุทางจราจร โรงพยาบาลสามชัย จังหวัดกาฬสินธุ์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3387
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์อัตราการรอดชีวิตและปัจจัยที่มีผลต่อการรอดชีวิตของผู้ป่วยอุบัติเหตุทางจราจรที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสามชัย จังหวัดกาฬสินธุ์ และ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บต่อการจัดการภาวะฉุกเฉินและผลลัพธ์ทางการแพทย์ วิธีดำเนินการวิจัยเป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลัง โดยรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยอุบัติเหตุทางจราจร 96 ราย ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสามชัย ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงกรกฎาคม 2567 จากฐานข้อมูลการเฝ้าระวังการบาดเจ็บ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธี Kaplan-Meier Survival Analysis, Cox Proportional Hazards Model และ Pearson's correlation coefficient<br /> ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 84.21) อายุเฉลี่ย 32.42 ปี มีคะแนน ISS เฉลี่ย 7.84 และ RTS เฉลี่ย 3.38 ระยะเวลาการรอดชีวิตเฉลี่ย 28.422 วัน โดยมีอัตราการรอดชีวิตสูงกว่าร้อยละ 90 ปัจจัยด้านอายุ เพศ และระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บไม่มีผลต่อการรอดชีวิต, ความรุนแรงของการบาดเจ็บ (ISS) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการให้เลือดและการดามส่วนของร่างกายที่เหมาะสม แต่มีความสัมพันธ์เชิงลบกับการให้สารน้ำหรือยาทางหลอดเลือดที่ไม่เหมาะสม ส่วน ความรุนแรงของการบาดเจ็บ (RTS) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการให้เลือดอย่างเหมาะสมและการเกิดภาวะแทรกซ้อน</p>
จักรกริช กุลกั้ง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
477
486
-
ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ อสม. เพื่อการเฝ้าระวังและป้องกันการติดเชื้อในกระแสโลหิต แบบรุนแรงชนิด Community Acquired Sepsis ในผู้สูงอายุ ตำบลแควอ้อม อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3395
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi - experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ความรู้ อสม.เพื่อการเฝ้าระวังและป้องกันการติดเชื้อในกระแสโลหิตแบบรุนแรงชนิด Community Acquired Sepsis ในผู้สูงอายุ ตำบลแควอ้อม อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในตำบลแควอ้อม อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 49 คน คัดเลือกแบบเจาะจง ระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึงเดือนสิงหาคม 2567 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ โปรแกรมการให้ความรู้ อสม. เพื่อการเฝ้าระวังและป้องกันการติดเชื้อในกระแสโลหิตแบบรุนแรงชนิด Community Acquired Sepsis ในผู้สูงอายุ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลแบบประเมินความรู้เรื่องการติดเชื้อในกระแสโลหิต แบบประเมินทัศนคติและแบบประเมินความสามารถปฏิบัติงานในการเฝ้าระวังและป้องกันการติดเชื้อในกระแสโลหิตแบบรุนแรงชนิด Community Acquired Sepsis ในผู้สูงอายุ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ Paired t- test<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) อสม. มีระดับความรู้ ทัศนคติ และความสามารถในการปฏิบัติ หลังได้รับโปรแกรมสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม 2) ค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้ ทัศนคติ ความสามารถปฏิบัติงาน ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05)</p>
วราภรณ์ บุญเจริญ
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
487
495
-
ผลของรูปแบบการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วมต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในการควบคุม ระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่ คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลนามน
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3440
<p> การวิจัยแบบกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วมต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่ คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานรายใหม่ ตั้งแต่ปี 2566 ที่มารับการรักษาที่คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลนามน ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้และมีระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) มากกว่าหรือเท่ากับ 7 % ในช่วงเดือน มกราคม 2567 ระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย ระหว่างเดือนมิถุนายน 2567 ถึงเดือนสิงหาคม 2567 ระยะเวลา 12 สัปดาห์ จำนวน 42 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple random sampling) ตามเกณฑ์ที่กำหนด เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม ได้แก่ ข้อมูลผู้ป่วย แบบวัดความรู้ การส่งเสริมสุขภาพ พฤติกรรมการดูแลตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และ paired samples t - test<br /> ผลการศึกษา พบว่า การพัฒนาของรูปแบบการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพฯ ประกอบด้วย 5 ขั้น คือ ก่อนมีความตั้งใจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม สาธิตและฝึกทักษะ นำสู่การปฏิบัติการ และการประเมินผลพฤติกรรมคงที่ต่อเนื่อง ผลการจัดกิจกรรม มีดังนี้ 1) ผู้ป่วยมีความรู้เพิ่มขึ้น 2) พฤติกรรมสุขภาพที่ปฏิบัติได้ดี และ 3) มีระบบติดตามประเมินผลแบบบูรณาการภาวะสุขภาพผู้ป่วย พบว่า หลังพัฒนาดีขึ้น ซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001)</p>
รัชฎาภรณ์ ภูโอบ
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
496
506
-
การพัฒนาแนวทางการส่งเสริมพัฒนาการเด็กตามโครงการมหัศจรรย์ 1000 วันแรกแห่งชีวิต โดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3441
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลการใช้แนวทางการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม มี 3 ขั้นตอน คือ 1) การประเมินสถานการณ์การเลี้ยงดูของครอบครัวและพัฒนาการเด็ก 0-5 ปี 2) การพัฒนาแนวทางการส่งเสริมพัฒนาการเด็กตามโครงการมหัศจรรย์ 1000 วันแรกแห่งชีวิต และ 3) การประเมินผลการใช้แนวทางการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ดำเนินการระหว่าง ตุลาคม 2563 – มิถุนายน 2565 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่มและใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ McNemar Chi-square test<br /> ผลการศึกษาสถานการณ์ด้านการดูแลเด็กและครอบครัว พบว่า ไม่มีแนวทางการเตรียมความพร้อมสำหรับหญิงตั้งครรภ์และครอบครัว หญิงตั้งครรภ์ขาดการฝากครรภ์ที่มีคุณภาพ และครอบครัวไม่มีการเตรียมความพร้อม มองว่าการที่เด็กมีพัฒนาการล่าช้าคือการแสดงออกที่สังเกตได้จากความผิดปกติทางร่างกายภายนอกเท่านั้น และแนวทางการส่งเสริมพัฒนาการเด็กตามโครงการมหัศจรรย์ 1000 วันแรกแห่งชีวิต ประกอบด้วย (1) การส่งเสริมบทบาทของครอบครัวโดยใช้แนวคิดครอบครัวเป็นฐาน (2) การมีทีมพัฒนาพัฒนาเด็กละครอบครัว (Child and family team) (3) กิจกรรม 4 มหัศจรรย์ คือ การประสานธรรมะกับแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา การสร้างแรงบันดาลใจในการเลี้ยงลูก การพัฒนาทักษะพ่อแม่ในการเลี้ยงลูก กลวิธีพ่อพระ-แม่ฮัก และ (4) การสร้างแรงบัลดาลใจต่อเนื่องผ่านกิจกรรมการกระบวนการพยาบาลครอบครัวและการเยี่ยมบ้าน หลังดำเนินกิจกรรมพบมีการดูแลสุขภาวะของหญิงตั้งครรภ์ที่ดีขึ้นและพฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็กของครอบครัวพ่อแม่หรือผู้ปกครองดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) และจากการติดตามเด็กพบที่สงสัยพัฒนาการล่าช้าได้รับการติดตามและมีพัฒนาการสมวัยเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001)</p>
สิริลักษณ์ แฝงสมศรี
จารุณี บุญหลาย
กำทร ดานา
อนุชา ไทยวงษ์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
507
516
-
การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิกแบบไร้รอยต่อ สำหรับผู้รับบริการที่เข้ารับการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงผ่านทางทรวงอก ด้วย 4 กระบวนการหลัก 30 กิจกรรม ศูนย์หัวใจ กลุ่มงานการพยาบาลตรวจรักษาพิเศษ กลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลลำพูน
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3442
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิกแบบไร้รอยต่อสำหรับผู้รับบริการที่เข้ารับการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงผ่านทางทรวงอก โดยทำการศึกษาช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2566 เป็นระยะ 9 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพหน่วยศูนย์หัวใจ จำนวน 3 คน ผู้รับบริการที่ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงผ่านทางทรวงอก จำนวน 112 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบเก็บข้อมูลทั่วไป 2) แบบติดตามการปฏิบัติตามแนวทาง 3) แบบประเมินความพึงพอใจแนวปฏิบัติ 4) แบบเก็บข้อมูลทางการแพทย์ 5) แบบสนทนากลุ่มเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และเปรียบเทียบก่อนหลังด้วยสถิติ paired t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างบุคลากร ส่วนมากเป็นเพศหญิง ร้อยละ 66.67 ช่วงอายุส่วนมาก 31-40 ปี ร้อยละ 66.67 (Mean ± SD = 32.14 ± 4.41 ปี) ประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยที่เข้ารับบริการ TTE ส่วนมาก 1-5 ปี ร้อยละ 66.67 การพัฒนาแนวปฏิบัติประกอบด้วย ด้วย 4 กระบวนการหลัก 30 กิจกรรม ได้แก่ การผลิตสื่อให้หลากหลายใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย การส่งเสริมความรู้เรื่องการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงผ่านทางทรวงอก การประยุกต์ line กลุ่ม การจัดทำ QR code VDO สอน Echo เพื่อให้พยาบาลง่ายในการเปิดให้ผู้ป่วยดูแนวปฏิบัติสามารถลดอุบัติการณ์ ข้อร้องเรียน เพิ่มความพึงพอใจ ทำให้เกิดแนวปฏิบัติที่เหมาะกับบริบทของโรงพยาบาลลำพูน ระดับการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติ ระดับความพึงพอใจแนวปฏิบัติจากกทารทดสอบ พบว่าหลังการใช้โปรแกรมค่าคะแนนเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 3.61, 3.30)</p>
วรัตภรณ์ ชำรัมย์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
517
525
-
ผลของรูปแบบการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการควบคุมคุมระดับน้ำตาลในเลือด ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ในคลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3445
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้รูปแบบการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ในคลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลหนองสองห้อง ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ จำนวน 84 คน ศึกษาระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เครืองมือจัดกิจกรรมรูปแบบ, แบบเก็บข้อมูลทั่วไป, แบบประเมินพฤติกรรมควบคุมน้ำตาล, แบบประเมินการจัดการตนเอง, แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเอง, แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ ได้แก่ สถิติเชิงพรรนณา และเปรียบเทียบก่อนหลังใช้รูปแบบด้วยสถิติ Paired t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง ร้อยละ 63.33 อายุส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 54.76 กระบวนการของรูปแบบประกอบด้วย 4 ชั้นตอน 1) ศึกษาปัญหา 2) พัฒนารูปแบบการจัดการตนเอง 3) ทดลองใช้รูปแบบ 4) ประเมินผล หลังได้รับรูปแบบการจัดการตนเอง, พฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาล, พฤติกรรมการดูแลตนเอง และความพึงพอใจ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.05, t =2.48, 11.94, 8.81, 4.26) สรุปรูปแบบการจัดการตนเองนี้สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้</p>
มณีรัตน์ ทางดี
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
526
533
-
การเปรียบเทียบความถูกต้องของเครื่องวัดระดับบิลิรูบินทางผิวหนัง (transcutaneous bilirubin : TcB) เทียบกับระดับบิลิรูบินในเลือด (total serum bilirubin : TSB) ในทารกแรกเกิด
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3446
<p> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของเครื่องวัดระดับบิลิรูบินทางผิวหนัง JM-105<sup>® </sup>กับระดับบิลิรูบินในเลือด TSB และศึกษาความแม่นยำของเครื่องวัดระดับบิลิรูบินทางผิวหนัง JM-105<sup>® </sup>เทียบกับการวัดระดับไมโครบิลิรูบินในเลือด โดยเทียบกับ TSB (Gold Standard) กลุ่มตัวอย่างเป็นทารกแรกเกิดที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2566 ถึง 30 ธันวาคม 2566 จำนวน 320 คน เครื่องมือเป็นแบบบันทึกข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานของทารก ข้อมูลการวัดระดับบิลิรูบิน วิเคราะห์ข้อมูลโดย สถิติเชิงพรรณนา ไคสแควร์ ทดสอบค่าที ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และความสามารถในการทำนาย<br /> ผลการศึกษา: จากจำนวนทารก 320 คน วัดระดับไมโครบิลิรูบินในเลือดจำนวน 170 คน วัดระดับไมโครบิลิรูบินทางผิวหนังจำนวน 150 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ลักษณะกลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน ค่าบิลิรูบินทางผิวหนัง (TcB) มีความสัมพันธ์กับค่าบิลิรูบินในเลือดในระดับดี (r=0.72) ความสามารถในการทำนาย ที่วัดทางผิวหนังเทียบกับในเลือดจุดตัดของบิลิรูบินที่ระดับ 13 มก./ดล. ค่าความไว ค่าความจำเพาะ ค่าพยากรณ์เชิงลบ และค่าผลบวกลวงเท่ากับ 97.9, 62.5, 83.3, 16.6 ตามลำดับ</p>
นาวิน การะยะ
มุทิตา มีแสง
พงศกร ฉ่ำพึ่ง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
534
541
-
ผลของการให้ความรู้เพื่อชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะไตเรื้อรังระยะ 3 ในงานบริการผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลลำพูน จังหวัดลำพูน
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3447
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการให้ความรู้เพื่อชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะไตเรื้อรังระยะ 3 ในงานบริการผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลลำพูน จังหวัดลำพูน ทำการศึกษาในช่วงเดือน พฤษภาคม 2564 – มกราคม 2565 รวมระยะเวลา 9 เดือน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะไตเสื่อม จำนวน 246 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย รูปแบบการให้ความรู้ แบบสัมภาษณ์ข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมในการป้องกันภาวะไตเสื่อม และแบบเก็บข้อมูลสถานะทางสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ร้อยละ มัธยฐาน และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ย ก่อน-หลัง ด้วยสถิติเชิงอนุมาน paired t-test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ปัญหาหรือความลำบากของผู้ป่วยส่วนมากคือที่อยู่อาศัย ร้อยละ 51.22 ความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวันส่วนมากไม่เป็นการพึ่งพิง ร้อยละ 80.49 อัตราการกรองของไต eGFR (มล./นาที/1.73 ตร.ม.) ส่วนมากอยู่ในช่วง 60-89 eGFR ร้อยละ 34.15 ระดับความเค็มในอาหาร ส่วนมากรับประทานเค็ม (≥ 0.90 %) ร้อยละ 54.47 พฤติกรรมสุขภาพที่เสี่ยงต่อภาวะไตเสื่อมส่วนมากไม่สามารถการดื่มน้ำ 1.5-2 ลิตรต่อวันได้ ร้อยละ 38.62 ภายหลังการเข้าการอบรมให้ความรู้เพื่อชะลอไตเสื่อมเป็นระยะเวลา 9 เดือน ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05 (t = 2.89, 3.82, 3.18)</p>
เพชรริน วิญญายอง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
542
548
-
การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชโดยภาคีเครือข่ายจังหวัดเลย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3396
<p> การวิจัยและพัฒนา ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการให้บริการดูแลผู้ป่วยจิตเวชในพื้นที่จังหวัดเลย การพัฒนาระบบและผลลัพธ์ของการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชโดยภาคีเครือข่ายจังหวัดเลย ศึกษาในทีมสหวิชาชีพภาคีเครือข่ายจังหวัดเลย จำนวน 48 คน และญาติผู้ป่วยจิตเวช จํานวน 380 คน เก็บข้อมูลโดยเครื่องมือที่ใช้คือ แบบประเมินคุณภาพงานบริการสุขภาพจิต, แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนาและเปรียบเทียบ คะแนนความพึงพอใจ ด้วยสถิติ Paired <em>t</em>-test นำเสนอด้วยค่า <em>t</em>-test ค่าความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (Mean different: Mean diff.) ค่าช่วงเชื่อมั่น 95% (95%CI ของ Mean diff.) ค่า <em>P</em>-value และข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis)<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัญหาการให้บริการดูแลผู้ป่วยจิตเวช มี 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการส่งเสริมและการป้องกันปัญหาของผู้ป่วยจิตเวช ด้านการพัฒนาคุณภาพระบบบริการดูแลผู้ป่วยจิตเวช ด้านการพัฒนาระบบเฝ้าระวังในผู้ป่วยจิตเวช และด้านการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย 2) ผลการออกแบบและพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชได้กำหนดบทบาทของทีมสหวิชาชีพภาคีเครือข่ายจังหวัดเลย และระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง 3) ผลลัพธ์ของการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชโดยภาคีเครือข่ายจังหวัดเลย พบว่า ผลงานบริการสุขภาพจิตตามตัวชี้วัดของกรมสุขภาพจิต เพิ่มขึ้น ยกเว้น ผู้ป่วยโรคจิตเภท (Schizophrenia) ที่เข้าถึงบริการได้รับการดูแลรักษาต่อเนื่อง ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หายทุเลา (Remission) และผู้ป่วยโรคจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V)ที่เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ผลการเปรียบเทียบก่อนและหลังการพัฒนา พบว่า คะแนนความพึงพอใจของทีมสหวิชาชีพ มีความแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (Mean diff.= 34.60, 95%CI: 20.40 - 40.32, <em>P</em><.01) คะแนนความพึงพอใจของญาติผู้ป่วย (Mean diff.=36.62, 95%CI:24.42 - 42.28, <em>P</em><.01</p>
ขัติยา แก้วสมบัติ
อิศรา ขุนพิลึก
อัญชลี วิจิตรปัญญา
เพ็ญสุดา ไชยเมือง
ประภาพร จันทร์นาม
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
549
560
-
การพัฒนาแนวปฏิบัติทางคลินิกสำหรับการพยาบาลผู้ป่วยจิตเภทที่มีอาการหูแว่ว โรงพยาบาลนภาลัย จังหวัดสมุทรสงคราม
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3448
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิกสำหรับผู้ป่วยจิตเภทที่มีอาการหูแว่วในคลินิกจิตเวช โรงพยาบาลนภาลัย โดยยึดหลักการปฏิบัติบนพื้นฐานความรู้เชิงประจักษ์ของสภาวิจัยสุขภาพ และการแพทย์แห่งชาติประเทศออสเตรเลีย (NHMRC, 1998) เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามคุณภาพการนำใช้ของแนวปฏิบัติการพยาบาล การประเมินคุณภาพการนำใช้ของแนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิกสำหรับผู้ป่วยจิตเภทที่มีอาการหูแว่วโดยพยาบาลจิตเวชและพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยจิตเภท จำนวน 20 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและสถิติพรรณนา<br /> ผลการศึกษา พบว่าร้อยละ 100 มีความเห็นด้วยว่าแนวปฏิบัติใช้งานได้ง่าย มีความชัดเจน เหมาะสมกับหน่วยงาน มีความสะดวกในการนำไปใช้ ประหยัดทั้งด้านกำลังคน เวลา และงบประมาณ และเห็นว่าแนวปฏิบัติทางคลินิกสำหรับการพยาบาลผู้ป่วยจิตเภทที่มีอาการหูแว่วมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ การประเมินผลแนวปฏิบัติทางคลินิกตามตัวชี้วัดที่ได้กำหนดขึ้น ไม่พบอุบัติการณ์พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ผู้ป่วยทุกรายมีความทุกข์ทรมานจากอาการหูแว่วลดลง และไม่กลับมารักษาซ้ำภายใน 28 วันด้วยอาการหูแว่วที่รุนแรง</p>
สุณี ฉิมพิบูลย์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
561
566
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์ที่ยับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด โรงพยาบาลโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3449
<p> การศึกษาแบบเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์ที่ยับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด โรงพยาบาลโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่ยับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ที่มารับบริการที่แผนกห้องคลอด โรงพยาบาลโพธิ์ไทร ตั้งแต่ปี 2564-2566 จำนวน 207 คน คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตรของ Wayne ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบ Multistage Random Sampling โดยแบ่งสัดส่วนตามปีที่มารับบริการ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม มีค่า IOC เท่ากับ 0.82 และค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.88 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติไคสแควร์ กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value< 0.05 <br /> ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับการคลอดก่อนกำหนด อยู่ในระดับต่ำ (Mean=2.27, SD=0.82) การรับรู้ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดอยู่ในระดับปานกลาง (Mean=3.08, SD=0.72) การสนับสนุนทางสังคมภอยู่ในระดับปานกลาง (Mean=2.47, SD=0.67) แรงจูงใจด้านสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง (Mean=2.57, SD=0.85) และพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์ที่ยับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดอยู่ในระดับปานกลาง (Mean= 3.61, SD=0.77) ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์ที่ยับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด พบว่า ปัจจัยด้านระดับการศึกษา อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ความเพียงพอของรายได้ อายุครรภ์ ลำดับครรภ์ ประวัติการฝากครรภ์ ประวัติการแท้ง ประวัติการคลอดก่อนกำหนด ประวัติการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะขณะตั้งครรภ์ ประวัติการติดเชื้อในระบบอื่นๆ ขณะตั้งครรภ์ และประวัติซีดขณะตั้งครรภ์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value< 0.05 </p>
มารตี กัลยารัตน์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
567
576
-
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง ร่วมกับการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็ม โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3450
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research : PAR) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและใช้รูปแบบการพยาบาลการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง ร่วมกับการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็ม โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ทำการศึกษาในช่วงเดือน มกราคม-ธันวาคม 2566 รวมระยะเวลา 12 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรและภาคีเครือข่าย จำนวน 50 คน ผู้ป่วยจิตเวชที่มีอาการทางจิตและเสี่ยงก่อความรุนแรงและญาติผู้ดูแล จำนวน 20 คน ประกอบด้วย กิจกรรมการพัฒนา, แบบเก็บข้อมูลทั่วไป, แบบประเมินดัชนีความสุขในชีวิตของญาติผู้ป่วยยาเสพติด แบบประเมินพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง (OAS) แบบวัดความเครียด และแบบวัดคุณภาพชีวิต วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และเปรียบเทียบ 2 กลุ่ม ด้วยสถิติเชิงอนุมาน Percentage differences<br /> ผลการศึกษา พบว่ากลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง จำนวน 20 คน ส่วนมากเพศชาย ร้อยละ 80.00 มีอายุต่ำกว่า 20 ปี 25.00 สถานภาพโสด ร้อยละ 50.00 ระดับการศึกษามัธยมปลายและปวช. ร้อยละ 40.00 ส่วนมากทำไร่ทำ ร้อยละ 40.00 ภายหลังการใช้รูปแบบพบว่า ความรุนแรงลดลง ภาวะความเครียดลดลง และคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05</p>
กชพร นะราธร
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
577
584
-
ผลของโปรแกรมการสนับสนุนทางสังคมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่อการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในระยะ 6 สัปดาห์หลังคลอดในมารดาที่มีบุตรคนแรก
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3451
<p> การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสนับสนุนทางสังคมต่อความสำเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในระยะ 6 สัปดาห์หลังคลอดในมารดาที่มีบุตรคนแรก กลุ่มตัวอย่างคือ มารดาหลังคลอดบุตรเป็นครั้งแรกและได้รับการดูแลหลังคลอดในโรงพยาบาลโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร และโรงพยาบาลโพทะเล จังหวัดพิจิตร ระหว่างเดือนตุลาคม 2565 ถึง เดือนกันยายน 2566 จำนวน 42 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามคุณสมบัติที่กำหนด แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองกลุ่มละ 21 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและแบบสอบถามการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และการทดสอบไคสแควร์<br /> ผลการวิจัย พบว่ามารดาหลังคลอดบุตรคนแรกในกลุ่มทดลองมีอัตราการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา อย่างเดียวที่ 6 สัปดาห์หลังคลอดมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p </em>< 0.043)</p>
สมญาภรณ์ พุทธรักษา
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
585
594
-
เปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิกผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ล้างไตทางเยื่อบุช่องท้องด้วยตนเองและผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ล้างไตทางเยื่อบุช่องท้องด้วยเครื่องอัตโนมัติ โรงพยาบาลหนองบัวลำภู
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3453
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ แบบย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิกผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ล้างไตทางเยื่อบุช่องท้องด้วยตนเองและผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ล้างไตด้วยเครื่องอัตโนมัติ โดยศึกษาจากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในโรงพยาบาลหนองบัวลำภู โดยแบ่งเป็น2 กลุ่ม กลุ่มที่1 ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ล้างไตทางเยื่อบุช่องท้องชนิดต่อเนื่องด้วยตนเอง102ราย เก็บข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2566 ถึง ธันวาคม 2566 จำนวน 78 รายและกลุ่มที่2 ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ล้างไตทางเยื่อบุช่องท้องชนิดต่อเนื่องด้วยเครื่องอัตโนมัติ เก็บข้อมูลย้อนหลัง ตั่งแต่เดือน พฤษภาคม 2566 ถึง ธันวาคม 2566 จำนวน 24 ราย วิเคราะห์ข้อมูล โดยการเปรียบเทียบความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วัดผลลัพธ์ทางคลินิกด้วย Risk difference regression.และ Mean difference regression.<br /> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ล้างไตทางเยื่อบุช่องท้องชนิดต่อเนื่อง 102 รายมีอายุระหว่าง 17-74 ปี หลังปรับอิทธิพลตัวแปร ได้แก่ เพศ อายุ BMI Blood pressure โรคร่วม อาชีพ การศึกษา Caregiver การได้รับยา Medication และโรคร่วม พบว่า ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ล้างไตด้วยเครื่องอัตโนมัติ (Automated Peritoneal Dialysis) มีค่าเฉลี่ยผลตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มขึ้นได้แก่ Hemoglobin ,Albumin , Sodium ,Phosphorus และผลตรวจทางห้องปฏิบัติการมีค่าเฉลี่ยลดลงได้แก่ Blood urea nitrogen, Creatinine Potassium, Sodium bicarbonate และ Calcium ซึ่งไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยกเว้น มีภาวะติดเชื้อน้อยกว่า 19% (95% CI: -0.32,-0.08,p=0.001) ค่าเฉลี่ย Hematocrits เพิ่มขึ้น 3.09mg% (95% CI: 0.42,5.75, p=0.023) และค่าเฉลี่ยระยะเวลาที่ได้รับการผักผ่อนมากขึ้นเฉลี่ย 4.26 ชั่วโมง (95% CI:3.79,4.73, p<0.001) แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ล้างไตทางช่องท้องชนิดต่อเนื่องด้วยตนเอง</p>
มลิดา อินานันท์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
595
603
-
การรับรู้ และทัศนคติ ที่มีต่อบุหรี่ไฟฟ้า ของประชาชนอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3454
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า 2) เพื่อศึกษาระดับทัศนคติที่มีต่อการสูบบุหรี่ไฟฟ้า และ 3) เพื่อศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ข้อมูลข่าวสารกับทัศนคติที่มีต่อการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ของประชาชนอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ในอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส จำนวน 207 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยการใช้โปรแกรม G*Power โดยการเลือก Goodness-of-fit tests: Contingency และกำหนด effect size = 0.30,error prob. = 0.05 และ power (1-B error prob.) = 0.95 เครื่องมือในการรวบรวมเก็บข้อมูล เป็น แบบสอบถาม (Questionnaire) ผ่านช่องทางออนไลน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติไค – สแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน<br /> ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล จำแนกตามเพศ มีค่า P-Value = 24.453 อายุ มีค่า P-Value = 49.413 สถานภาพสมรส มีค่า P-Value = 60.908 อาชีพ มีค่า P-Value = 101.453 มีบุคคลใกล้ชิดสูบบุหรี่ไฟฟ้า มีค่า P-Value = 24.453 และรายได้ มีค่า P-Value = 21.514 ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่ำต่อทัศนคติที่มีต่อบุหรี่ไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ข้อมูลข่าวสารกับทัศนคติที่มีต่อบุหรี่ไฟฟ้า พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า มีค่า P-Value = 21.514 ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อทัศนคติที่มีต่อบุหรี่ไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และเมื่อพิจารณารายข้อ พบว่าประเด็นที่การรับรู้เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้ามีความสัมพันธ์เชิงบวกมากที่สุด คือประเด็น บุหรี่ไฟฟ้าถือว่าเป็นยาเสพติดชนิดใหม่และมีสารพิษที่อันตรายมากกว่าบุหรี่มวน (r = 0.244,P=0.001) รองลงมา คือ ประเด็น การสูบบุหรี่ไฟฟ้า 1 ครั้งจะเท่ากับ สูบบุหรี่ทั่วไปถึง 15 มวน และมีปริมาณนิโคตินมากกว่าบุหรี่มวนทั่วไป (r = -0.200,P=0.000) ประเด็น บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายเทียบเท่าเฮโรอีน และโคเคน บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายเทียบเท่าเฮโรอีน และโคเคน (r = -0.191,P=0.005) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ตามลำดับ</p>
วันเตาเฟ็ก แวดือราแม
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
604
612
-
การพัฒนารูปแบบการจัดการรายกรณี CKD3 Corner ของผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะ ไตเสื่อมระยะที่ 3 โรงพยาบาลเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3455
<p><strong> </strong>การวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ ปัญหาเกี่ยวกับผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะไตเสื่อมระยะที่ 3 พัฒนารูปแบบการจัดการรายกรณี และศึกษาผลลัพธ์ด้านการพยาบาลและผลลัพธ์ทางคลินิกของผู้ป่วย จากการพัฒนารูปแบบการจัดการรายกรณี CKD3 Corner โรงพยาบาลเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ดำเนินการวิจัยและพัฒนาระหว่าง เดือน ตุลาคม 2565 - กันยายน 2566 กลุ่มผู้ร่วมวิจัย คือบุคลากรที่ปฏิบัติงานในงานผู้ป่วยนอกและคลินิคโรคเรื้อรัง จำนวน 10 คน และผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะไตเสื่อมระยะ 3 ที่มารับบริการช่วงดำเนินการพัฒนา จำนวน 20 คน คัดเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์การคัดเลือก เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม แบบสอบถามข้อมูทั่วไป และแบบบันทึกข้อมูลทางคลินิกจากเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา สถิติ Paired t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบ่วา หลังดำเนินการเกิดแนวทางการดูแลและส่งเสริมให้ผู้ป่วยจัดการตนเองอย่างเหมาะสม และการพัฒนารูปแบบการจัดการรายกรณีสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะไตเสื่อมระยะที่ 3 ส่งผลดีต่อผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยและความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่าหลังดำเนินการ ผู้ป่วยมีผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในหลายด้าน ได้แก่ ระดับ HbA1c ลดลง (p=0.048), อัตราการกรองของไตเพิ่มขึ้น (p<0.001), ความดันโลหิตลดลง (p<0.001), ดัชนีมวลกายลดลง (p=0.031), การเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลดลง (p=0.042) และการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลลดลง (p<0.001) และหลังดำเนินการผู้ป่วยไม่มีอุบัติการณ์ณ์ของการเกิดแผลที่เท้า</p>
พนารักษ์ คูณศิริปัญญา
สุทธิกานต์ สุทธิประภา
กำทร ดานา
อนุชา ไทยวงษ์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
613
621
-
การศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของตำรับยากัญชาทางการแพทย์แผนไทย ตำรับ แก้ลมแก้เส้น ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ในผู้ป่วยที่มาบำบัดรักษาที่ คลินิกแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลสุวรรณภูมิ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3456
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของโปรแกรมส่งเสริมความปลอดภัยของตำรับยากัญชาทางการแพทย์แผนไทย ตำรับ แก้ลมแก้เส้น ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ทำการศึกษาในช่วงเดือน สิงหาคม 2565-กรกฎาคม 2566 รวมระยะเวลา 12 เดือน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้มีอาการปวดที่มารับบริการงานแพทย์แผนไทย จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย โปรแกรมการส่งเสริมความปลอดภัย, แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป, แบบประเมินความปลอดภัย แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ย ก่อน-หลัง ด้วยสถิติเชิงอนุมาน paired t-test <br /> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนมากเพศหญิง ร้อยละ 73.33 ช่วงอายุส่วนมาก อยู่ในช่วง 41-50 ปี และ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 26.67 เท่ากัน สถานภาพแต่งงาน ร้อยละ 56.67 การศึกษาส่วนมากประถมศึกษา ร้อยละ 53.33 ส่วนมากมีอาการปวดขาและปวดเอว ร้อยละ 26.67 ประเภทตำรับกัญชาที่ใช้ร่วมคือตำรับลายพระสุเมรุ ร้อยละ 20.00 อาการที่ใช้รักษาร่วมคือนอนไม่หลับ ร้อยละ 26.67 ภายหลังการใช้ผลของโปรแกรมส่งเสริมประสิทธิผลและความปลอดภัยในการใช้ตำรับยากัญชาทางการแพทย์แผนไทย ตำรับ แก้ลมแก้เส้น ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ระดับประสิทธิผลความปลอดภัย และ ความพึงพอใจเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05 (t = 6.28, 6.09)</p>
พิศมัย ยุ้งกระโทก
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
622
627
-
ผลของการประยุกต์ใช้โปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรม การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลโพนพิสัย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3458
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi – experimental research) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการประยุกต์ใช้โปรแกรมการจัดการตนเองเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลโพนพิสัย กลุ่มตัวอย่าง ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 22 คน ทำการศึกษาในช่วงเดือนตุลาคม 2566-พฤษภาคม 2567 รวมระยะเวลา 8 เดือน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เครืองมือจัดกิจกรรมตามโปรแกรม, แบบเก็บข้อมูลทั่วไป, แบบทดสอบความรู้ เจตคติ และ พฤติกรรมการการตนเอง สถิติที่ใช้ ได้แก่ สถิติเชิงพรรนณา และเปรียบเทียบก่อนหลังใช้รูปแบบด้วยสถิติ paired t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ร้อยละ 63.6 มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 55.04 ปี (S.D.=8.2) สถานภาพสมรส ร้อยละ 86.4 การศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 59.10 เกษตรกร ร้อยละ 50.00 โปรแกรมประยุกต์ มี 5 แนวทาง ดังนี้ 1) มีรูปแบบการให้สุขศึกษาที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน 2) ให้ความรู้ผู้ป่วยแบบกลุ่มรวมกัน 3) บูรณาการทีมดูแลต่อเนื่องชุมชนเพื่อดูแลผู้ป่วยที่บ้าน 4) บูรณาการทีมพยาบาล NCD ร่วมกับ IT เพื่อใช้เทคโนโลยีดูแลผู้ป่วย 5) ติดตามประเมินผลรายบุคคลทาง Telemedicine, Application line และทางโทรศัพท์ ภายใน 1 สัปดาห์ หลังการใช้โปรแกรมทำให้ ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการจัดการตนเอง คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นในทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t=5.69, 5.12, 6.68 ตามลำดับ)</p>
ภัคทิพา จันบุตรดี
พันธ์ทิพย์ ศรีตะบุตร
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
628
636
-
รูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 รายใหม่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านขาม อำเภอยางตลาด
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3459
<p> การศึกษานี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาวะสุขภาพและความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 รายใหม่ และศึกษารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 รายใหม่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านขาม อำเภอยางตลาด มีระยะเวลาในการศึกษาระหว่าง เดือน สิงหาคม ถึง เดือนตุลาคม 2567 จำนวน 2 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 รายใหม่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านขาม อำเภอยางตลาด จำนวน 28 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า หลังการดำเนินงาน ความเข้าใจของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 รายใหม่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านขาม อำเภอยางตลาด โดยรวมละรายข้ออยู่ในระดับมากที่สุด พฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 รายใหม่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านขาม อำเภอยางตลาด หลังการดำเนินงานโดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับเหมาะสมมากและความเข้าใจและพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 รายใหม่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านขาม อำเภอยางตลาด มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่ ความเข้าใจและพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 รายใหม่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านขาม อำเภอยางตลาด หลังการดำเนินงาน มีค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนการดำเนินงาน</p>
บรรจง เมตตา
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
637
645
-
ผลการพัฒนารูปแบบการกำกับดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ควบคุมโรคไม่ได้ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3461
<p> การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของรูปแบบการกำกับดูแลตนเองในชุมชน ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมโรคไม่ได้ ในชุมชนอำเภอเมือง จังหวัดยโสธร ศึกษาในกลุ่มทีมสหวิชาชีพในโรงพยาบาลยโสธร และทีมสุขภาพชุมชน 15 คน และผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ 32 คน ดำเนินการ 4 ระยะ ได้แก่ การวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหา การพัฒนารูปแบบการกำกับดูแลตนเองในชุมชน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ควบคุมโรคไม่ได้ การทดลองใช้ และการประเมินผล เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสนทนา และแบบสอบถามการรับรู้ความสามารถในการกำกับตนเอง พฤติกรรมสุขภาพ และผลลัพธ์ทางคลินิก มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานด้วย Paired Sample T-test และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมโรคไม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 81.30 อายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 75.0 อายุเฉลี่ย 64.4 ปี (S.D.=10.17) ระยะเวลาป่วยเป็นโรคเบาหวาน น้อยกว่า 12 ปี ร้อยละ 56.30 มีประวัติญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน ร้อยละ 71.90 รูปแบบการกำกับดูแลตนเองในชุมชน ประกอบด้วย 1) การประเมินสุขภาพ ให้ความรู้ และตั้งเป้าหมายร่วมกัน 2) เยี่ยมบ้าน พัฒนาทักษะทบทวนปัญหาและปรับเปลี่ยนเป้าหมายร่วมกัน 3) อสม. ติดตามเจาะน้ำตาลอาทิตย์ละ 1 ครั้ง 4) ติดตามประเมินคู่มือการกำกับตนเอง และ 5) ประเมินผลการรับรู้ความสามารถตนเอง พฤติกรรม และผลลัพธ์ทางคลินิก ภายหลังได้รับการพัฒนารูปแบบส่งผลให้ผู้ป่วยมีการรับรู้ความสามารถในการกำกับตนเอง พฤติกรรมการควบคุมโรคเบาหวาน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<.001) ส่วนน้ำหนัก ดัชนีมวลกาย รอบเอว และระดับน้ำตาลสะสมในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<.001)</p>
จินัฐตา พงประเสริฐ
ยุพิน เสาร์ทอง
นวธัญย์พร ศรีจันทร์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
646
657
-
การพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟูสภาพ สำหรับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อำเภอเมืองอุบลราชธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3462
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะดูแลต่อเนื่องที่บ้านสำหรับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อำเภอเมืองอุบลราชธานี กลุ่มเป้าหมายในการพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาล 25 คน ผู้เชี่ยวชาญประเมินรูปแบบ 7 คน กลุ่มตัวอย่างในการนำแนวไปฏิบัติไปทดลองใช้ 1) พยาบาลวิชาชีพ รพ.สต. รวม 20 คน 2) ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะดูแลต่อเนื่องที่บ้าน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบประเมินความเหมาะสมของแนวปฏิบัติทางการพยาบาล แบบประเมินความรู้ฯ และทักษะในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะดูแลต่อเนื่องที่บ้าน แบบประเมิน ADL และแบบวัดพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Paired sample t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการศึกษาพบว่า : 1. แนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู ประกอบด้วย 10 ขั้นตอน ได้แก่ 1) แนวทางการประเมินและการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น 2) แนวทางการตรวจทางระบบประสาท 4) แนวทางการตรวจทางห้องปฏิบัติการ/การตรวจพิเศษ 5) การรายงานแพทย์ 6) การให้ข้อมูลผู้ป่วยและญาติ 7) หุ้นส่วนในการดูแล 8) การแสวงหาและการใช้แหล่งประโยชน์ 9) การประยุกต์ใช้ระบบการแพทย์ทางไกล และ 10) การประเมินเพื่อเฝ้าระวังและติดตามอาการ 2. แนวปฏิบัติทางการพยาบาล มีความเหมาะสมและเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.64, S.D.=0.28) 3. หลังนำแนวปฏิบัติทางการพยาบาลไปใช้ 3.1) ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และทักษะในการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะดูแลต่อเนื่องที่บ้านเพิ่มขึ้น (p<.001) 3.2) ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะดูแลต่อเนื่องที่บ้าน มีค่าเฉลี่ยคะแนนการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันและพฤติกรรมการจัดการตนเองดีขึ้น (p<.001)</p>
กันย์วิตรา หิรัญเชวงศักดิ์
กัญญารัตน์ กันยะกาญจน์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
658
662
-
การพัฒนารูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรม การจัดการ การติดตาม และการส่งต่อข้อมูลหลังเกิดภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับยาเมทฟอร์มินบนหอผู้ป่วยอายุรกรรมของโรงพยาบาลมหาสารคามสู่โรงพยาบาลเครือข่าย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3463
<p> การศึกษานี้มีรูปแบบงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ และเก็บข้อมูลย้อนหลัง เพื่อหาความชุก ผลการเกิดความคลาดเคลื่อนทางยา ผลการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังการพัฒนาระบบการสั่งใช้ยา และศึกษาผลการพัฒนาระบบการติดตาม เก็บข้อมูล และส่งต่อผู้ป่วยหลังการเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากแลคติคคั่งในยาเมทฟอร์มิน ที่เข้ารักษาตัวในหอผู้ป่วยโรงพยาบาลมหาสารคาม เก็บข้อมูลจากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของโรงพยาบาล ระหว่าง พ.ศ.2562-2567<br /> ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจากการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ทั้งหมด 168 ราย จากฐานข้อมูลการใช้บริการสาธารณสุข(HDC Service) มีรายงานผู้ป่วยเบาหวานจากทุกเขตพื้นที่ในจังหวัดมหาสารคาม พบความชุกในการเกิด MALA เท่ากับ 46.7 รายต่อประชากร 100,000 รายต่อปี จำนวนการรายงานผู้ป่วยที่เกิด MALA ที่เข้ามานอนรักษาตัวโรงพยาบาลพบว่ามีจำนวนสูงขึ้นหลังจากที่มีการพัฒนาระบบการติดตาม จากจำนวน 47 ราย เป็น 121 รายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ พบปัจจัยมีผลต่อการเพิ่มความเสี่ยง MALA ได้แก่ การดื่มแอลกอฮอล์พบมากที่สุด รองลงมาคือ ใช้ยา NSAIDs และใช้สมุนไพรร่วมด้วย ผลการเกิดความคลาดเคลื่อนทางยาก่อนพัฒนาระบบมีจำนวนการรายงาน 104 ครั้ง โดยสามลำดับแรกคือ สั่งยาในขนาดสูงเกินไปคำสั่งใช้ยาไม่ชัดเจน และสั่งยาที่มีข้อห้ามใช้ หลังการพัฒนาระบบพบว่ามีจำนวนความเคลื่อนทางยามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เป็นจำนวน 130 ครั้ง</p>
ภัทราพร อรรคฮาตสี
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
663
673
-
การพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งที่แพร่กระจายในช่องท้อง มีภาวะอุดตันของลำไส้ ร่วมกับภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด: กรณีศึกษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3464
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งที่แพร่กระจายในช่องท้อง มีภาวะอุดตันของลำไส้ร่วมกับภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด โดยศึกษาในผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 66 ปี เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลวันที่ 22 กรกฎาคม 2567 ด้วยอาการสำคัญ ปวดแน่นท้อง ไม่ผายลม ไม่ถ่ายอุจจาระ 3 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล<br /> ผลการศึกษา: แพทย์วินิจฉัย Gut obstructionได้รับการผ่าตัด Explor – lap with Small bowel resection ileo-colic anastomosis การวินิจฉัยครั้งสุดท้าย แพร่กระจายในช่องท้อง (peritoneal metastasis) ก่อนผ่าตัด ผู้ป่วยไม่สุขสบายปวดท้อง เสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด มีความวิตกกังวล ให้การพยาบาลโดยให้สารน้ำ บรรเทาความปวด และเฝ้าระวังการติดเชื้อในกระแสเลือด หลังผ่าตัด มีภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดแผลผ่าตัดติดเชื้อ ได้ให้การพยาบาลระหว่างใส่เครื่องช่วยหายใจ ลดการติดเชื้อ และถอดท่อหายใจได้ ผู้ป่วยอาการดีขึ้นตามลำดับ จำหน่ายวันที่ 6 สิงหาคม 2567 รวมวันนอนโรงพยาบาล 18 วัน</p>
วันดี ยิ้มย่อง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
674
684
-
ผลการผ่าตัดถุงน้ำดี และปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนผ่าตัดถุงน้ำดีผ่านกล้องเป็นการผ่าตัดแบบเปิด ในโรงพยาบาลสระบุรี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3465
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการผ่าตัดถุงน้ำดี และปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนผ่าตัดถุงน้ำดีผ่านกล้องเป็นการผ่าตัดแบบเปิด ในโรงพยาบาลสระบุรี เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่มารับการผ่าตัดถุงน้ำดี ตั้งแต่เดือนเดือนตุลาคม พ.ศ. 2561 ถึงเดือน กันยายน พ.ศ. 2566 จำนวน 195 คน รวบรวมข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วย และผลการผ่าตัด วิเคราะห์ปัจจัยด้วย logistic regression และ Multiple logistic regression ในการประเมิน odd ratio โดยค่า p<0.05<br /> ผลการวิจัย: จากจำนวนผู้ป่วย 195 คน เป็นเพศหญิงจำนวน 106 คน (54.3) เพศชายจำนวน 89 คน (45.7) อายุเฉลี่ย 51.23 ปี อายุเฉลี่ย 51.23 ปีประสบความสำเร็จในการผ่าตัดผ่านกล้องจำนวน 171 คน เปลี่ยนเป็นการผ่าตัดแบบเปิดจำนวน 24 คน ปัจจัยทีมีผลต่อการผ่าตัดแบบเปิดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ผ่าตัดในช่วง 6-10 สัปดาห์หลังอาการสงบ, โรคร่วมเบาหวาน, การรักษาถุงน้ำดีด้วยยาปฏิชีวนะมาก่อน, ประวัติการผ่าตัดช่องท้องมาก่อน</p>
โกลัญญา ต่างวิวัฒน์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
685
690
-
รายงานผู้ป่วย Dengue encephalopathy ในโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3466
<p>กรณีศึกษานี้เป็นรายงานผู้ป่วย มีวัตถุประสงค์เพื่อรายงานผู้ป่วย Dengue encephalopathy ในโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช ผู้ป่วยที่นำเสนอเป็น เด็กหญิงไทยอายุ 11 ปี มาด้วยอาการสำคัญ ไข้สูง ปวดศีรษะ ขณะรักษาตัวในโรงพยาบาล มีอาการสับสน ไม่ทำตามคำสั่ง ถามตอบไม่รู้เรื่อง</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ตรวจเลือดพบภาวะโลหิตจาง ผลตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองไม่พบความผิดปกติ ผลตรวจน้ำไขสันหลังมีการติดเชื้อ ซึ่งการวินิจฉัยภาวะสมองอักเสบจากไวรัสเด็งกี่รายนี้ จากการติดเชื้อในน้ำไขสันหลัง พบชิ้นส่วนของไวรัสโดยตรงจากการตรวจ dengue PCR, viral culture, NS1Ag ให้การรักษาแบบประคับประคองตามอาการ ได้แก่ ดูแลทางเดินหายใจ ให้สารน้ำอย่างเพียงพอ และเหมาะสมซึ่งเป็นการป้องกันความดันในสมองสูง ให้เลือดทดแทนแก้ไขค่าความเป็นกรด ด่าง เกลือแร่ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สังเกตอาการทางระบบประสาท ผู้ป่วยอาการดีขึ้นตามลำดับจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลได้</p>
นาวิน การะยะ
รัศมี ตั้งศิริ
พงศกร ฉ่ำพึ่ง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
691
698
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคองโดยชุมชนมีส่วนร่วม อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3467
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัย Quasi – Experimental เก็บข้อมูลแบบ Retro – Prospective data collection มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแบบประคับประคองโดยชุมชนมีส่วนร่วม อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู ศึกษาในผู้ป่วย ในผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้ายทุกชนิดที่เข้ามารับบริการในคลินิกสุขชีวาโรงพยาบาลหนองบัวลำภู โดยเก็บข้อมูลย้อนหลัง ตุลาคม 2565 - มิถุนายน2566 จำนวน 103 คน ในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้รูปแบบเดิม และเก็บข้อมูลไปข้างหน้า กรกฎาคม 2566 - มีนาคม 2567 ในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้นใหม่จำนวน 103 คน วิเคราะห์ผลลัพธ์หลักเปรียบเทียบจำนวนของการทำ Advance care plan ด้วย Multivariable risk difference regression analysis และวัดความรู้ก่อนและหลังการอบรมให้ความรู้อาสาสมัครสาธารณสุขชุมชน ด้วย paired t test<br /> ผลวิจัยพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายดูแลแบบประคับประคองที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหนองบัวลำภู จำนวน 206 คน กลุ่มก่อนการพัฒนาจำนวน 103 คน และกลุ่มหลังการพัฒนาจำนวน 103 คน ผลเปรียบเทียบการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแบบประคับประคองโดยชุมชนมีส่วนร่วม เมื่อวิเคราะห์ด้วย multivariable risk difference regression และ multivariable mean difference regression หลังปรับอิทธิพลตัวแปร พบว่าการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคองโดยชุมชนมีส่วนร่วมที่พัฒนาขึ้น สามารถเพิ่มจำนวน Advance care plan ได้ 47 % (95%CI: 0.34 , 0.60) (p<0.001) สามารถเพิ่ม Living will 12% (95%CI: 0.04, 0.19) (p=0.002) สามารถเพิ่ม Family meeting 34% (95%CI: 0.21, 0.45) (p<0.001) และการประเมิน Edmonton Symptom Assessment System (ESAS) ช่วยลดอาการรบกวนต่าง ๆ ได้ แต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลลัพธ์เรื่องความรู้ของจิตอาสาในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายโดยคะแนนความรู้หลังการอบรมเพิ่มขึ้นจาก 11.54(±2.54) คะแนนเป็น 14.45(±3.03) คะแนน (p<0.001) เมื่อเทียบกับก่อนการอบรม</p>
พะเยา พรมดี
เยาวภา สีดอกบวบ
อภิญญา พรมจันทร์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
699
709
-
ผลของโปรแกรมการใช้สติบำบัดในผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้า โรงพยาบาลภูเขียวเฉลิมพระเกียรติ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3468
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของโปรแกรมการใช้สติบำบัดในผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้า โรงพยาบาลภูเขียวเฉลิมพระเกียรติ ทำการศึกษาในช่วงเดือน สิงหาคม 2565-กรกฎาคม 2566 รวมระยะเวลา 12 เดือน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้มีภาวะซึมเศร้า จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย โปรแกรมการสติบำบัด, แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป, แบบประเมินภาวะความเครียด (9Q) แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ย ก่อน-หลัง ด้วยสถิติเชิงอนุมาน paired t-test<br /> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนมากเป็นเพศหญิง ร้อยละ 63.33 อายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 26.67 สถานภาพสมรส แต่งงาน ร้อยละ 40.00 การศึกษามัธยมปลาย ปวช. ร้อยละ 40.00 อาชีพทำไร่ทำนา ร้อยละ 40.00 รายได้ครอบครัวเฉลี่ยต่อเดือนส่วนมากต่ำกว่า 10,000 บาท ร้อยละ 50.00 ภาวะซึมเศร้าส่วนมากรู้สึกหดหู่ เศร้า หรือ ท้อแท้สิ้นหวัง ร้อยละ 60.00 มีภาวะซึมเศร้าระดับน้อย ร้อยละ 53.33 ภายหลังการใช้ผลของโปรแกรมสติบำบัด ทำให้ภาวะความเครียดลดลง และความพึงพอใจเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05 (t = 12.69, 4.28)</p>
วรางคณา เร่งไพบูลย์วงษ์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
710
714
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในตำบลไทรใหญ่ อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3401
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับของแรงสนับสนุนทางสังคม ประกอบด้วย ด้านการสนับสนุนทางอารมณ์ ด้านการสนับสนุนทางวัตถุและบริการ และด้านการสนับสนุนทางข้อมูลข่าวสาร และภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในตำบลไทรใหญ่ และ2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในตำบลไทรใหญ่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ จำนวน 160 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม แบ่งออกเป็น 3 ตอน ได้แก่ 1) ปัจจัยส่วนบุคคล 2) ปัจจัยแรงสนับสนุนทางสังคม และ3) ภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ซึ่งค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 ทั้งหมด 22 ข้อ และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 โดยค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือที่เป็นแบบสอบถามปัจจัยแรงสนับสนุนทางสังคม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.93 มีค่าความเชื่อมั่นแต่ละด้าน ได้แก่ ด้านการสนับสนุนทางอารมณ์ เท่ากับ 0.88 ด้านการสนับสนุนทางวัตถุและบริการ เท่ากับ 0.89 ด้านการสนับสนุนทางข้อมูลข่าวสาร เท่ากับ 0.86 ส่วนแบบสอบถามภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 ดำเนินการวิจัยระหว่าง เดือนพฤษภาคม-เดือนกันยายน 2567 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน<br /> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยแรงสนับสนุนทางสังคม มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.33, S.D.= 0.51) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการสนับสนุนทางอารมณ์มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ซึ่งอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.48, S.D.= 0.60) รองลงมาคือ ด้านการสนับสนุนทางวัตถุและบริการมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.33, S.D.= 0.58) ส่วนด้านการสนับสนุนทางข้อมูลข่าวสารมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด ซึ่งอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.18, S.D.= 0.68) และระดับภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในตำบลไทรใหญ่ สูงสุดมีภาวะสุขภาพจิตอยู่ในระดับดีกว่าคนทั่วไป จำนวน 127 คน คิดเป็นร้อยละ 79.40 รองลงมาคือมีภาวะสุขภาพจิตอยู่ในระดับเท่ากับคนทั่วไป จำนวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 13.80 และต่ำสุดมีภาวะสุขภาพจิตอยู่ในระดับต่ำกว่า คนทั่วไป จำนวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 6.90 จากการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในตำบลไทรใหญ่ พบว่า ปัจจัยแรงสนับสนุนทางสังคมด้านการสนับสนุนทางอารมณ์ และด้านการสนับสนุนทางข้อมูลข่าวสาร เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในตำบลไทรใหญ่ อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
กาญจนา นิ่มสุนทร
สัณณ์ภณ ตะพังพินิจการ
วิภาพร คุณพาที
สนธยา ลาเตะ
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
715
724
-
ผลของโปรแกรมการสนับสนุนทางสังคมและการมีส่วนร่วมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคเลปโตสไปโรซีสของประชาชนตำบลโคกตาล อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3402
<p> การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสนับสนุนทางสังคมและการมีส่วนร่วมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคเลปโตสไปโรซีสของประชาชนตำบลโคกตาล อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 30 คน รวม 60 คน คือ กลุ่มทดลอง คือ ประชาชนตำบลโคกตาล อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มเปรียบเทียบ คือ ประชาชนตำบลละลม อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ กลุ่มเปรียบเทียบได้รับโปรแกรมปกติ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 2 ครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างวันที่ 6 มิถุนายน 2567 ถึงวันที่ 6 สิงหาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนานำเสนอด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มัธยฐาน เปอร์เซนต์ไทล์ที่ 25 และ 75 เปรียบเทียบผลต่างของคะแนนเฉลี่ยของตัวแปรภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ paired t-test และระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติ Independent t-test กำหนดนัยสำคัญที่ระดับ 0.05<br /> ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลองผลต่างคะแนนเฉลี่ยของความรู้เรื่องโรคเลปโตสไปโรซีส ทัศนคติการป้องกันโรคเลปโตสไปโรซีส การรับรู้ความสามารถของตนเอง แรงสนับสนุนทางสังคม ความตั้งใจในการป้องกันโรคเลปโตสไปโรซีส และพฤติกรรมการป้องกันโรคเลปโตสไปโรซีสของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
ทองคำ อินตะนัย
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
725
734
-
แนวปฏิบัติการพยาบาลในการป้องกันการเกิดที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำซ้ำ ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3470
<p> การศึกษา แนวปฏิบัติการพยาบาลในการป้องกันการเกิดที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำซ้ำ ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำซ้ำ ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และศึกษาแนวปฏิบัติการพยาบาลในการป้องกันการเกิดที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำซ้ำ ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบวัดก่อนและหลัง มีระยะเวลาในการวิจัย ระหว่างเดือน กันยายน –ตุลาคม 2567รวมระยะ 2 เดือน เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบวัดก่อนและหลัง มีระยะเวลาในการวิจัย กันยายน –ตุลาคม 2567รวมระยะ 2 เดือน วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ความพร้อมในการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ ก่อนดำเนินงาน โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับปานกลาง หลังการดำเนินการโดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด ความพร้อมในการปฏิบัติตัวของญาติผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ ก่อนดำเนินงาน โดยรวมและรายข้อ อยู่ในระดับปานกลาง หลังดำเนินงาน โดยรวมและรายข้อ อยู่ในระดับมากที่สุดและความพร้อมในการปฏิบัติตัวของญาติและผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ ก่อนและหลังการดำเนินงาน พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่ ความพร้อมในการปฏิบัติตัวของญาติและผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังการดำเนินงาน มีค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนการดำเนินงาน ส่วนผลของแนวปฏิบัติการพยาบาลในการป้องกันการเกิดที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำซ้ำ ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ พบว่า มีผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ จำนวน 23 ราย และไม่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำซ้ำในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ คิดเป็นร้อยละ 100</p>
จำปี หันชัยเนาว์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
735
743
-
ผลของโปรแกรมการสร้างความรอบรู้ในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลใจดี อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3428
<p> การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสร้างความรอบรู้ในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลใจดี อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่มทดลอง 102 คน กลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 109 คน รวม 211 คน กลุ่มทดลอง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลใจดี อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มเปรียบเทียบ คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลโคกเพชร อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ กลุ่มเปรียบเทียบได้รับโปรแกรมปกติ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 2 ครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนานำเสนอด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มัธยฐาน เปอร์เซนต์ไทล์ที่ 25 และ 75 เปรียบเทียบผลต่างของคะแนนเฉลี่ยของตัวแปรภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ paired t-test และระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติ Independent t-test กำหนดนัยสำคัญที่ระดับ 0.05<br /> ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลองผลต่างคะแนนเฉลี่ยของความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออก การเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพ ความเข้าใจข้อมูลด้านสุขภาพ การประเมินข้อมูลด้านสุขภาพ การใช้ข้อมูลด้านสุขภาพ การมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพ และพฤติกรรมป้องกันโรคไข้เลือดออกของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
นิธินาถ ทุนนาน
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
744
754
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันอันตราย จากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกร อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3431
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกร อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ใช้รูปแบบการวัดผลก่อนและหลังการทดลองในกลุ่มเดียว กลุ่มตัวอย่างคือเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนในตำบลตระกาจที่มีผลการตรวจเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสไม่ปลอดภัย จำนวน 40 คน เลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพและแบบสอบถามที่ประเมินความรู้ การรับรู้ความรุนแรง การรับรู้โอกาสเสี่ยง ความคาดหวังในประสิทธิผล ความคาดหวังในความสามารถของตนเอง และการปฏิบัติตัว วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ Paired t-test<br /> ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยในทุกด้านเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยมีความรู้เกี่ยวกับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพิ่มขึ้นจาก 6.40 เป็น 8.15 คะแนน การรับรู้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นจาก 1.92 เป็น 2.26 คะแนน การรับรู้โอกาสเสี่ยงเพิ่มขึ้นจาก 1.99 เป็น 2.52 คะแนน ความคาดหวังในประสิทธิผลเพิ่มขึ้นจาก 2.05 เป็น 2.71 คะแนน ความคาดหวังในความสามารถของตนเองเพิ่มขึ้นจาก 1.94 เป็น 2.35 คะแนน และการปฏิบัติตัวในการป้องกันอันตรายเพิ่มขึ้นจาก 1.99 เป็น 2.61 คะแนน</p>
ประคองศิลป์ โพธะเลศ
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
755
762
-
ผลของการให้คุณค่าและการเสริมพลังต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านผักแว่น ตำบลยางขี้นก อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3432
<p> การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการให้คุณค่าและการเสริมพลังต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านผักแว่น ตำบลยางขี้นก อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 30 คน รวม 60 คน กลุ่มทดลอง คือ ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านผักแว่น ตำบลยางขี้นก อำเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มเปรียบเทียบ คือ ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านธาตุน้อย ตำบลธาตุน้อย อำเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ กลุ่มเปรียบเทียบได้รับโปรแกรมปกติ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 2 ครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างวันที่ 8 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนานำเสนอด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มัธยฐาน เปอร์เซนต์ไทล์ที่ 25 และ 75 เปรียบเทียบผลต่างของคะแนนเฉลี่ยของตัวแปรภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ paired t-test และระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติ Independent t-test กำหนดนัยสำคัญที่ระดับ 0.05<br /> ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลองผลต่างคะแนนเฉลี่ยของความรู้เรื่องโรคเบาหวาน การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการป่วยด้วยโรคเบาหวาน การับรู้ความรุนแรงของการป่วยด้วยโรคเบาหวาน การรับรู้ประโยชน์การดูแลสุขภาพตนเอง การรับรู้อุปสรรคการดูแลสุขภาพตนเอง การเห็นคุณค่าของตนเอง การเสริมพลัง และพฤติกรรมการดูแลตนเองของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
นฤมล บุญอารีย์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
763
772
-
รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุในระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3433
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตและผลการใช้รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ในชุมชนระดับผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ กระบวนการวิจัยมี 3 ระยะ ระยะที่ 1 ระยะเตรียมการวิจัย ศึกษาเชิงคุณภาพข้อมูลพื้นฐานการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ และนำข้อมูลมาพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุในระยะที่ 2 และนำรูปแบบที่พัฒนาไปทดลองใช้ในระยะที่ 3 คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงมี 2 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มตัวอย่างในการจัดเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพและพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ โดยเลือกแบบเจาะจง จำนวน 12 คนและ (2) ผู้สูงอายุทดลองใช้รูปแบบจำนวน 100 คน เข้าร่วมกระบวนการวิจัยที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกุดขาคีม อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ระหว่างเดือนตุลาคม 2566-ตุลาคม 2567 เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยการดำเนินการส่งเสริมสุขภาพจิตในผู้สูงอายุ 4 ขั้นตอน คือ 1) การดูแลสุขภาพกายและจิตอย่างสม่ำเสมอ ด้วยบุคลากรในครอบครัว 2) การสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้สูงอายุ 3) การมีส่วนร่วมกิจกรรมตามประเพณี และ 4) การสร้างคุณค่า และศักดิ์ศรีแก่ผู้สูงอายุ หลังการใช้รูปแบบรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ในชุมชนระดับผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ พบว่า ค่าความแตกต่างเฉลี่ยการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น การประเมินความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.05) ผู้สูงอายุมีความคิดเห็นต่อรูปการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุโดยรวมอยู่ในระดับมาก และการคัดกรองภาวะสุขภาพจิตผู้สูงอายุผู้สูงอายุไม่มีภาวะซึมเศร้า ร้อยละ 93 และมีความวิตกกังวลเล็กน้อย ร้อยละ 71</p>
สุราษฎร์ บุญปัญญา
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
773
782
-
ผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขาภิบาลอาหารของผู้ประกอบการขายอาหารแผงลอย ในเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3434
<p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบ ความรู้สุขาภิบาลอาหาร ทัศนคติต่อพฤติกรรมสุขาภิบาลอาหาร การรับรู้ความสามารถในการปฏิบัติพฤติกรรมสุขาภิบาลอาหาร ความตั้งใจใฝ่พฤติกรรมสุขาภิบาลอาหาร และพฤติกรรมการสุขาภิบาลอาหารของผู้ประกอบการขายอาหารแผงลอย ระหว่างก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม และเพื่อประเมินร้านแผงลอยจำหน่ายอาหาร กลุ่มตัวอย่าง 60 คน คือ กลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 30 คน โดยใช้การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด กลุ่มทดลองเข้าร่วมโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขาภิบาลอาหาร เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยผ่านการทดสอบคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ และแบบประเมินตามเกณฑ์มาตรฐานด้านสุขาภิบาลอาหาร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบสมมติฐานการวิจัยด้วย สถิติ Paired Sample t-test และ Independent t-test<br /> ผลการศึกษาวิจัยพบว่า หลังการเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยของความรู้สุขาภิบาลอาหาร ทัศนคติต่อพฤติกรรมสุขาภิบาลอาหาร การรับรู้ความสามารถในการปฏิบัติพฤติกรรมสุขาภิบาลอาหาร ความตั้งใจใฝ่พฤติกรรมสุขาภิบาลอาหาร และพฤติกรรมการสุขาภิบาลอาหารของผู้ประกอบการขายอาหารแผงลอยสูงกว่าก่อนการทดลองและกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
ณฐมน สืบซุย
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
783
791
-
ผลของโปรแกรมการออกกำลังกายโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นต่อความสามารถในการทรงตัวของผู้สูงอายุ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3435
<p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการทรงตัวของผู้สูงอายุก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุในอำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดถูกสุ่มเป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 44 คน และได้รับการสุ่มเข้ากลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 22 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ประกอบด้วยการรำรำมะนา จังหวัดชัยนาทและการรำไม้พลอง ขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ เก็บข้อมูลจากการตอบแบบสอบถามข้อมูลทั่วไปและการทดสอบการทรงตัว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ไคสแคว์ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) หลังได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการทรงตัวดีกว่าก่อนได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 2) หลังจากได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการทรงตัวดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01</p>
นฤมล จันทร์สุข
ชวนนท์ จันทร์สุข
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
792
800
-
การพัฒนารูปแบบและกลไกการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น โดยทีมพี่เลี้ยง (Coaching) จังหวัดยโสธร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3437
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนารูปแบบและกลไกการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น โดยทีมพี่เลี้ยง (Coaching) จังหวัดยโสธร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการพัฒนากระบวนการประกอบด้วย กลุ่มพี่เลี้ยงกองทุน คณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น กลุ่มผู้รับผิดชอบงานกองทุนหลุกประกันสุขภาพท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบล และกลุ่มประชาชน รวม 279 คน ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมเครือข่ายเพื่อพัฒนารูปแบบและกลไกการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น โดยการประยุกต์ใช้หลักการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis และ McTaggart ประกอบด้วยการวางแผน (Planning: P) การปฏิบัติการ (Action: A) การสังเกตการณ์ (Observation: O) และการสะท้อนกลับ (Reflection: R) จำนวน 2 วงรอบ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น จำนวน 30 สัปดาห์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 ถึงเดือนกันยายน 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ รวบรวม จัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบและกลไกการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่นโดยทีมพี่เลี้ยง จังหวัดยโสธร คือ EPBAM Model ประกอบด้วย 1) Enhancing Access to Healthcare Services: การเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพ 2) Promotion of Public Participation: การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน 3) Building Knowledge and Skills for the Committee: สร้างความรู้และทักษะให้กับคณะกรรมการ 4) Application of Technology: การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5) Monitoring and Evaluation: การติดตามประเมินผล</p>
ชาญชัย เสี้ยวทอง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
801
812
-
การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการองค์กรสมรรถนะสูง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3478
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ(Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการองค์กรสมรรถนะสูงของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่าง 4 กลุ่ม 1) กลุ่มการพัฒนารูปแบบ เป็นผู้บริหาร/ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง/ผู้บริหาร 40 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง 2) ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบ จำนวน 7 คน 3) กลุ่มทดลองใช้รูปแบบเป็นผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สังกัดสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองอุบลราชธานี จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็น 1) แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม 2) แบบประเมินองค์ประกอบ และตัวชี้วัด 3) แบบสอบถามการปฏิบัติตามรูปแบบ 4) แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้รูปแบบวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Paired sample t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบของรูปแบบการบริหารจัดการองค์กรสมรรถนะสูงของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี มี 9 ด้าน ประกอบด้วย 1) การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับประชาชน (Trust) 2) ทำงานเป็นทีม และสนับสนุนคนเก่ง (Teamwork & Talent) 3) Technology (ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน) 4) Targets (ทำงานแบบมุ่งเป้าหมาย) 5) การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) 6) ภาวะผู้นำ (Leadership) 7) การพัฒนาบุคลากร (Workforce Development) 8) การสร้างนวัตกรรม (Innovation) และ 9) การจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management) 2. รูปแบบการบริหารจัดการองค์กรสมรรถนะสูงของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองอุบลราชธานี มีความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติ อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.60, S.D.=0.32) 3. หลังการนำรูปแบบไปใช้ค่าเฉลี่ยคะแนนการปฏิบัติตามตัวชี้วัดความสำเร็จของรูปแบบเพิ่มขึ้นกว่าก่อนการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (95% CI=1.08-0.53, t=5.98p<.001)</p>
ศรายุทธ ภานุมนต์วาที
อุทัย นิปัจจการสุนทร
กัญญารัตน์ กันยะกาญจน์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
813
817
-
การพัฒนานวัตกรรมในการเตรียมน้ำแข็งปลอดเชื้อในกระบวนการการผ่าตัดจัดเก็บอวัยวะด้วยถุงเทอร์โมพลาสติกโพลียูรีเทน “Smart Nurse Smart Bag” ในงานพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัด โรงพยาบาลขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3479
<p> วิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ใช้ในการเตรียมน้ำแข็งปลอดเชื้อโรงพยาบาลขอนแก่น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ น้ำแข็งปลอดเชื้อ อวัยวะที่เตรียมปลูกถ่าย พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในห้องผ่าตัด ของโรงพยาบาลขอนแก่น และเป็นพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานที่ห้องผ่าตัดจัดเก็บและปลูกถ่ายอวัยวะและมีหน้าที่ในการเตรียมน้ำแข็งปลอดเชื้อสำหรับการผ่าตัด จำนวน 60 คน พัฒนาโดยใช้กระบวนการ P-A-O-R ตามแนวคิดของ Kemmis และ McTaggart เป็น 2 วงรอบ ประกอบด้วยวงรอบละ 4 ระยะ ประกอบด้วย ขั้นวางแผน (Plan) วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติงาน,ขั้นลงมือปฏิบัติ (Action) 1) วางแผนการออกแบบนวัตกรรมโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน, 2) จัดทำนวัตกรรม, สังเกตการณ์ (Observe) 3) นำนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นใช้ในการผ่าตัดในปี 2566 ติดตามผลของการใช้นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น และขั้นสะท้อนผล (Refection) ประเมินผลลัพธ์การใช้นวัตกรรม วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคจากการใช้นวัตกรรมและปรับปรุงแผนการพัฒนา, เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป เพศ, อายุ, อายุงาน,ระดับการศึกษา แบบประเมินความพึงพอใจการใช้นวัตกรรม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์ เนื้อหา<br /> ผลการศึกษา พบว่า อวัยวะที่เตรียมปลูกถ่ายไม่เกิดการบาดเจ็บจากสิ่งแปลกปลอมที่เกิดจากกระบวนการเตรียมน้ำแข็งปลอดเชื้อที่ใช้ถุงเทอร์โมพลาสติกโพลียูรีเทน ร้อยละ 100 ไม่พบสิ่งปนเปื้อนขนาดใหญ่กว่า 1 มิลลิเมตรในน้ำแข็ง ร้อยละ 100 ไม่พบสิ่งปนเปื้อนขนาดเล็กกว่า 1 มิลลิเมตรในน้ำแข็ง ร้อยละ 100 ของผู้ป่วยปฏิบัติตัวก่อนผ่าตัดได้ถูกต้องเพิ่มขึ้น และบุคลากรมีความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรมสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นในระดับมากที่สุด</p>
พีรญา พาอ่อนตา
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
818
827
-
รูปแบบการดูแลต่อเนื่องในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟูสภาพ โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3480
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและใช้รูปแบบการดูแลต่อเนื่องในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟูสภาพ โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ทำการศึกษาในช่วงเดือน ในช่วงเดือนตุลาคม 2566-กันยายน 2567 กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยทีมสหวิชาชีพ และผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟูสภาพ จำนวน 87 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบเก็บข้อมูลทั่วไปและข้อมูลทางคลินิก แบบประเมิน ADL แบบประเมิน MRS Score วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ร้อยละ มัธยฐาน สถิติเชิงอนุมาน t-test และเชิงคุณภาพในการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟูสภาพ ส่วนมากเป็นเพศชาย ร้อยละ 54.02 อายุส่วนมากน้อยกว่า 60 ปี ร้อยละ 33.33 (Mean± SD = 58.46±1.67, Min=52, Max=75ปี) อาชีพส่วนมากรับจ้างทั่วไป ร้อยละ 36.78 นับถือศาสนาพุทธทั้งหมด ร้อยละ 100 การศึกษาส่วนมากประถมศึกษา ร้อยละ 40.23 ประเภทของโรคหลอดเลือดสมองส่วนมากเป็น Ischemic stroke ร้อยละ 82.76 โรคร่วมส่วนมากเป็นโรคเบาหวาน ร้อยละ 32.18 ความลำบากของผู้ป่วยส่วนมากเดินลำบาก และ ความอ่อนแรง แขนขา ร้อยละ 97.70 ระดับความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวันส่วนมากไม่เป็นการพึ่งพิง ร้อยละ 42.53 การพัฒนารูปแบบประกอบด้วย 5 กระบวนการสำคัญ ดังนี้ 1) พัฒนาแนวปฏิบัติติการส่งต่อผู้ป่วยเพื่อการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน 2) ประเมินและการเตรียมความพร้อมก่อนจำหน่ายตามมาตรฐาน 3) ปรับปรุงข้อมูลสภาพปัญหาก่อนจำหน่าย 4) พัฒนาระบบการติดตามอาการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย 5) มีระบบสมุดบันทึกสุขภาพผู้ป่วยเพื่อการบริบาลฟื้นฟูสภาพ ภายหลังการพัฒนาพบว่าความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวัน คะแนนเฉลี่ย ADL เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 3.12)</p>
นันทิยา ภูกิ่งพลอย
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
828
835
-
อัตราการเสียชีวิตในทารกแรกเกิดก่อนกำหนดที่มีภาวะหายใจลำบากจากการขาดสารลดแรงตึงผิว (respiratory distress syndrome : RDS) ก่อนและหลังจัดทำแนวทางการให้สารลดแรงตึงผิวอย่างรวดเร็ว (fast track to surfactant) ในโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3481
<p> การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราการเสียชีวิต ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตก่อนและหลังจัดทำแนวทางการให้สารลดแรงตึงผิวอย่างรวดเร็ว ศึกษาในทารกเกิดก่อนกำหนดทั้งหมดที่ได้รับการวินิจฉัย RDS และได้รับการรักษาด้วยแนวทางการให้สารลดแรงตึงผิวอย่างรวดเร็ว (fast track to surfactant) ในโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึง 30 กันยายน 2566 จำนวน 350 คน รวบรวมข้อมูลปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยเสี่ยงทั่วไป ปัจจัยเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ และข้อมูลการรักษาด้วย Surfactant วิเคราะห์ข้อมูลด้วย logistic regression และ Multiple logistic regression ในการประเมิน odd ratio โดยค่า p<0.05<br /> ผลการศึกษา: จากจำนวนทารก 350 คน ทารกเสียชีวิตจำนวน 32 คน (13.4%) สาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่ คือ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (71.8%) ระยะเวลาใช้เครื่องช่วยหายใจเฉลี่ย 18.88±7.18 วัน ระยะวันนอนโรงพยาบาลเฉลี่ย 18.64±7.42 วัน ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ย 52,888±45,312.84บาท ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตก่อนและหลังจัดทำแนวทางการให้สารลดแรงตึงผิวอย่างรวดเร็ว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) คือ อายุครรภ์ < 30 สัปดาห์ (OR 4.98, 95%CI 2.09-11.85) มารดามีภาวะ pre eclamsia (OR 9.89, 95%CI 2.32-42.04) การผ่าตัดคลอด (OR 2.28, 95%CI 1.99-5.24) และทารกท่าก้น (OR 1.05, 95%CI 1.01-4.36)</p>
นาวิน การะยะ
มุทิตา มีแสง
พงศกร ฉ่ำพึ่ง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
836
844
-
ปัจจัยที่มีผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคลองสี่ หมู่ที่ 13 ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3471
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยความสามารถตามมาตรฐานสมรรถนะ และปัจจัยด้านการปฏิบัติของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) 2) ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพของ อสม. และ 3) ปัจจัยที่มีผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของ อสม. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคลองสี่ หมู่ที่ 13 ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างคือ อสม. ที่ขึ้นทะเบียนและปฏิบัติงานในพื้นที่มาไม่น้อยกว่า 1 ปี จำนวน 159 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 4 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป ปัจจัยความสามารถตามมาตรฐานสมรรถนะ การปฏิบัติงาน และความรอบรู้ด้านสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน<br /> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 50.9 อายุเฉลี่ย 57.86 ปี จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 54.1 มีสถานภาพสมรส ร้อยละ 77.4 มีรายได้อยู่ในช่วง 5,001-10,000 บาทต่อเดือนร้อยละ 42.8 ส่วนใหญ่ไม่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 50.9 และมีระยะเวลาการเป็น อสม. 11-20 ปี ร้อยละ 42.1 ด้านปัจจัยความสามารถตามมาตรฐานสมรรถนะ อสม. ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 50.9) ส่วนปัจจัยด้านการปฏิบัติงาน พบว่าการรับรู้บทบาท แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน และการได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 56.6, 68.6 และ 57.2 ตามลำดับ ด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพ พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับดี ร้อยละ 57.9 รองลงมาคือระดับดีมาก ร้อยละ 25.2 ระดับพอใช้ ร้อยละ 15.7 และระดับไม่ดี ร้อยละ 1.2 โดยมีคะแนนเฉลี่ย 110.89 คะแนน ปัจจัยที่มีผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของ อสม. ได้แก่ การรับรู้บทบาทหน้าที่ (β = 0.606, p < 0.001) แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน (β = 0.353, p < 0.001) การได้รับแรงสนับสนุนทางสังคม (β = 0.202, p < 0.001) และอายุ (β = -0.002, p < 0.001) โดยสามารถร่วมกันทำนายความรอบรู้ด้านสุขภาพได้ร้อยละ 54.3</p>
ไพฑูรย์ ดำริห์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
845
852
-
การศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดไส้ติ่งอักเสบแตกในผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ที่ได้รับการผ่าตัดภายใน 24 ชั่วโมง โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า จังหวัดสมุทรสงคราม
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3439
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดไส้ติ่งอักเสบแตกในผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบที่ได้รับการผ่าตัดภายใน 24 ชั่วโมง โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า จังหวัดสมุทรสงคราม โดยศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ป่วยในโปรแกรม Atiz EMR ของโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นไส้ติ่งอักเสบและได้รับการผ่าตัดภายใน 24 ชั่วโมง โดยเข้ารับการรักษาระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2567 จำนวน 188 ราย แบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มไส้ติ่งอักเสบไม่แตก จำนวน 151 ราย และกลุ่มไส้ติ่งอักเสบแตก จำนวน 37 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ข้อมูลแบบตัวแปรเดียว สถิติถดถอยโลจิสติกแบบพหุ ที่ระดับนัยสำคัญ p-value < 0.05<br /> ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดไส้ติ่งอักเสบแตก ได้แก่ อุณหภูมิร่างกายมากกว่า 38 องศาเซลเซียส (OR 0.027, 95% CI 0.079 - 0.652) ระยะเวลาตั้งแต่มีอาการปวดท้องจนถึงโรงพยาบาลมากกว่าหรือเท่ากับ 20 ชั่วโมง โดยพบความสัมพันธ์ของปัจจัยระยะเวลาตั้งแต่มีอาการปวดท้องจนถึงโรงพยาบาลมากกว่า 24 ชั่วโมง (OR 0.112, 95% CI 0.027 - 0.465) และระยะเวลาตั้งแต่มีอาการปวดท้องจนถึงโรงพยาบาลในช่วง 20 ถึง 24 ชั่วโมง (OR 0.078, 95% CI 0.008 - 0.721)</p>
เกษมา มัชฌิมดำรง
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
853
861
-
ผลการใช้การโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้เสพยาบ้าในชุมชนบ้านแดงใหญ่ ตำบลพุทไธสง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3485
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้การโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้เสพยาบ้าในชุมชนบ้านแดงใหญ่ ตำบลพุทไธสง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ ทำการศึกษาในช่วงเดือน ในช่วงเดือนมิถุนายน 2566 - กุมภาพันธ์ 2567 กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ทีมสหวิชาชีพที่รับผิดชอบงานยาเสพติดและภาคีเครือข่ายยาเสพติดอำเภอพุทไธสง จำนวน 25 คน และ ผู้ป่วยเสพติดยาบ้าในชุมชนบ้านแดงใหญ่ จำนวน 13 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบดำเนินการสนทนากลุ่ม แบบเก็บข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความร่วมมือการบำบัด แบบประเมินความสงบจากสติบำบัด และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน t-test และเชิงคุณภาพในการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการศึกษา พบว่า สาเหตุที่ใช้ยาบ้าคืออยากลอง ร้อยละ 61.54 สารเสพติดร่วมคือกัญชา ร้อยละ 53.85 การพัฒนาโปรแกรม ประกอบด้วย 10 กระบวนการสำคัญ ดังนี้ 1) ดำเนินการจัดตั้งมินิธัญญารักษ์ในโรงพยาบาล 2) ส่งเสริมความรู้เรี่องยาเสพติดในชุมชนทุกหมู่บ้าน 3) ความเป็นเจ้าของในภาคีเครือข่ายชุมชน 4) พัฒนาชุมชนต้นแบบอย่างยั่งยืน 5)พัฒนาชุมชนล้อมรักษ์ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน 6) รายงานเสนอปัญหาในฝ่ายปกครองอำเภอทุกเดือน 7) ทำการสอนแบบพี่สอนน้องให้พยาบาลรุ่นใหม่ใช้โปรแกรมบำบัดได้ 8) พัฒนาโปรแกรมบำบัดฟื้นฟูให้ทันสมัยอยู่เสมอ 9) ติดตามผู้ผ่านการบำบัดให้ครอบคลุมและจริงจัง 10) ทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในการเฝ้าระวังพฤติกรรมในชุมชนร่วมกันผลการใช้โปรแกรมพบว่า ระดับความร่วมมือ ระดับความสงบ และระดับความพึงพอใจ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t =5.83, 5.96, 3.68)</p>
วรัชนก เสโส
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
862
869
-
ประสิทธิผลของรูปแบบการป้องกันอุบัติเหตุจราจรทางถนน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3486
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบการป้องกันอุบัติเหตุจราจรทางถนน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร โดยการศึกษาแบบวิจัยและพัฒนา แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ การศึกษาพัฒนารูปแบบ การใช้รูปแบบและประเมินผล โดยศึกษาในทีมพัฒนา ได้แก่ คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนน ประชาชนที่เคยได้รับอุบัติเหตุ และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ รวบรวมข้อมูลด้วยแบบบันทึกการเกิดอุบัติเหตุ แบบสอบถาม แนวคำถามการระดมความคิดเห็น แบบคัดลอกข้อมูลจากระบบฐานข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา Paired t-test, Independen t-test และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุทางถนน ปัจจัยเสี่ยงและการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนพบผู้ประสบอุบัติเหตุ 1,113 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 66.20 อายุระหว่าง 15-24 ปีร้อยละ 31.90 เวลาเกิดอุบัติเหตุ 16.00-18.00 น.ร้อยละ 18.06 ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ร้อยละ 85.50 ไม่สวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 93.30 ไม่สวมเข็มขัดนิรภัยร้อยละ 62.80 ถนนในหมู่บ้านร้อยละ 51.90 บาดเจ็บเล็กน้อยร้อยละ 78.70 และบาดเจ็บรุนแรงจนเสียชีวิตร้อยละ 21.30 โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอุบัติเหตุ 3 ด้าน คือ ปัจจัยด้านคน ปัจจัยด้านรถ ปัจจัยด้านถนนและสิ่งแวดล้อม 2) การดำเนินงานวิจัยนี้ได้รูปแบบการป้องกันอุบัติเหตุจราจรทางถนน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน Sensor Plus Model 3) ประสิทธิผลรูปแบบ พบว่า หลังการดำเนินงานอัตราการบาดเจ็บ ระดับความรุนแรง และอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลดลงและมีความแตกต่างต่างจากก่อนดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.001, p=0.005 และ p=0.003 ตามลำดับ)</p>
จุฬารัตน์ ไชยเพ็ชร
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
870
882
-
รูปแบบการพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยแผลผ่าตัดเล็ก Sterile
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3487
<p> การศึกษานี้เป็นเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยแผลผ่าตัดเล็ก Sterile และรูปแบบการพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยแผลผ่าตัดเล็ก Sterile มีระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย ระหว่างเดือนกันยายน 2567 ถึง เดือน ธันวาคม 2567 รวม 4 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยแผลผ่าตัดเล็ก Sterile จำนวน 76 ราย เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ความเข้าใจในการทำแผลผ่าตัดเล็ก Sterile ก่อนใช้แนวปฏิบัติ ผู้ป่วยแผลผ่าตัดเล็ก Sterile มีความเข้าใจในการทำแผลผ่าตัดเล็ก Sterile อยู่ในระดับ ปานกลาง หลังใช้แนวปฏิบัติ ผู้ป่วยแผลผ่าตัดเล็ก Sterile มีความเข้าใจในการทำแผลผ่าตัดเล็ก Sterile อยู่ในระดับมากที่สุด และการดูแลแผลผ่าตัดเล็ก Sterile ก่อนการใช้แนวปฏิบัติ ผู้ป่วยแผลผ่าตัดเล็ก Sterile มีความเข้าใจในการดูแลแผลผ่าตัดเล็ก Sterile อยู่ในระดับ ปานกลาง หลังใช้แนวปฏิบัติ ผู้ป่วยแผลผ่าตัดเล็ก Sterile มีความเข้าใจในการดูแลแผลผ่าตัดเล็ก Sterile อยู่ในระดับมากที่สุด นอกจากนี้ยังพบว่า ความเข้าใจในการทำแผลผ่าตัดเล็ก Sterile และการประเมินการดูแลแผลผ่าตัดเล็ก Sterile ก่อนและหลังแนวปฏิบัติ พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่ ความเข้าใจในการทำแผลผ่าตัดเล็ก Sterile และการประเมินการดูแลแผลผ่าตัดเล็ก Sterile หลังแนวปฏิบัติ มีค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนการใช้แนวปฏิบัติ</p>
สมคิด โกสุมพ์ศิริ
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
883
890
-
การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรงพยาบาลห้วยเม็ก
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3488
<p> การศึกษา การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรงพยาบาลห้วยเม็ก มีวัตถุประสงค์ . เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรงพยาบาลห้วยเม็กและความสามารถในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน โรงพยาบาลห้วยเม็ก และศึกษาการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรงพยาบาลห้วยเม็ก เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีระยะเวลาในการศึกษาระหว่าง เดือน กันยายน ถึง เดือน ตุลาคม 2567 รวม 2 เดือนกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ตัวแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในเขตโรงพยาบาลห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 15 หมู่บ้าน ๆ ละ 4 คน รวม 60 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรงพยาบาลห้วยเม็กและความสามารถในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน โรงพยาบาลห้วยเม็ก พบว่า ก่อนดำเนินการโดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับปานกลาง หลังดำเนินการอยู่ในระดับมากที่สุด ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาจารย์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ และระดับความสามารถในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน โรงพยาบาลห้วยเม็ก ก่อนและหลังการดำเนินการ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่หลังการดำเนินงาน มีค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนการดำเนินการ</p>
สาโรจน์ ตาลผาด
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
891
899
-
รูปแบบการป้องกันการกลับเป็นโรคซ้ำของผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3489
<p> การศึกษา รูปแบบการป้องกันการกลับเป็นโรคซ้ำของผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การกลับเป็นโรคซ้ำของผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง และศึกษารูปแบบการป้องกันการกลับเป็นโรคซ้ำของผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย ระหว่างเดือนมกราคม 2567 ถึง เดือน กันยายน 2567 รวม 9 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ ระหว่างเดือนมกราคม 2567 ถึง เดือน กันยายน 2567 รวม 9 เดือน จำนวน 23 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม และเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ความพร้อมของผู้ป่วย STROKE ในการจัดการตนเองเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ พบว่า ก่อนดำเนินการ โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับปานกลาง หลังดำเนินการ โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด ระดับความพร้อมของผู้ป่วย STROKE ในการจัดการตนเองเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ ก่อนและหลังการดำเนินการ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่หลังการดำเนินงาน ระดับความพร้อมของผู้ป่วย STROKE ในการจัดการตนเองเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนการดำเนินการและมีผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ กลับมาเป็นโรคเลือดสมอง ซ้ำ จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 4.35</p>
ทวีพร สำราญอินทร์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
900
907
-
ผลของแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการใช้ยาระงับความรู้สึกในผู้ป่วยส่องกล้อง Colonoscopy
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3490
<p> การศึกษา ผลของแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการใช้ยาระงับความรู้สึกในผู้ป่วยส่องกล้อง Colonoscopy มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ทางการพยาบาลในการใช้ยาระงับความรู้สึกในผู้ป่วยส่องกล้อง Colonoscopyและศึกษาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการใช้ยาระงับความรู้สึกในผู้ป่วยส่องกล้อง Colonoscopy เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment) มีระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 ถึง เดือน สิงหาคม 2567 รวม 2 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยส่องกล้อง Colonoscopy ที่โรงพยาบาลยางตลาด 261 ราย เป็นผู้ป่วยในเขตโรงพยาบาลยางตลาด 133 ราย ผู้ป่วยในเครือข่ายบริการ หนองกุงศรี 81 ราย และผู้ป่วยในเครือข่ายบริการ ท่าคันโท 47 ราย เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test และ F – test ด้วยเทคนิค One way ANOVA<br /> ผลการศึกษา พบว่า หลังการใช้ ความเข้าใจในการใช้ยาระงับความรู้สึกในผู้ป่วยส่องกล้อง Colonoscopy และความเข้าใจในการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยส่องกล้อง Colonoscopy โรงพยาบาลยางตลาด โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด ความวิตกกังวลในการใช้ยาระงับความรู้สึกในผู้ป่วยส่องกล้อง Colonoscopy โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยรวมอยู่ในระดับน้อยที่สุด ก่อนและหลังแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการใช้ยาระงับความรู้สึกในผู้ป่วยส่องกล้อง Colonoscopy พบว่ามีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยที่ หลังแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการใช้ยาระงับความรู้สึกในผู้ป่วยส่องกล้อง Colonoscopy มีความเข้าใจในการใช้ยาระงับความรู้สึกในผู้ป่วยส่องกล้อง Colonoscopy และความเข้าใจในการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยส่องกล้อง Colonoscopy โรงพยาบาลยางตลาด มีค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนการดำเนินการแนวปฏิบัติ ส่วนความวิตกกังวลในการใช้ยาระงับความรู้สึกในผู้ป่วยส่องกล้อง Colonoscopy โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ มีค่าคะแนนเฉลี่ยน้อยกว่าก่อนการดำเนินการแนวปฏิบัติ</p>
สมใจ จารุตันติ์
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
908
916
-
การพัฒนาโปรแกรมสนับสนุนการจัดการตนเองสำหรับผู้สูงอายุโรคไตเรื้อรังระยะ 1-3a ในชมรมผู้สูงอายุต้นแบบจังหวัดอ่างทอง
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3491
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและใช้การพัฒนาโปรแกรมสนับสนุนการจัดการตนเองสำหรับผู้สูงอายุโรคไตเรื้อรังระยะ 1-3a ในชมรมผู้สูงอายุต้นแบบจังหวัดอ่างทอง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย สหวิชาชีพและภาคีเครือข่าย จำนวน 32 คน และ ผู้สูงอายุโรคไตเรื้อรัง จำนวน 70 คน ทำการศึกษาระหว่าง ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2566-มิถุนายน 2567 รวมระยะเวลา 14 เดือน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เครื่องมือเชิงคุณภาพ ได้แก่ แนวคำถามปลายเปิด Focus group เครื่องมือเชิงปริมาณ ได้แก่ แบบเก็บข้อมูลทั่วไป, แบบเก็บข้อมูลทางคลินิกจากแถบสี, แบบประเมินพฤติกรรมการจัดการตนเอง สถิติที่ใช้ได้แก่ สถิติเชิงพรรนณา และ สถิติเชิงอนุมานในการเปรียบเทียบก่อนหลัง t-test<br /> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนมากเป็นเพศหญิง ร้อยละ 61.43 ส่วนมากอยู่ในช่วง 71- 80 ปี ร้อยละ 50.00 (Mean=74.26, Min=61, Max=81) อาชีพส่วนมากทำงานบ้าน ร้อยละ 65.71 ประถมศึกษา ร้อยละ 64.29 โรคร่วมพบโรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 60.00 อาการที่พบคือนอนไม่หลับ ร้อยละ 92.86 อัตราการกรองของไตอยู่ในช่วง 60-89 eGFR ร้อยละ 78.57 รับประทานอาหารรสเค็ม ร้อยละ 77.14 คะแนนพฤติกรรมการจัดการตนเองในผู้สูงอายุพบว่าคะแนนเฉลี่ยดีขึ้นจาก 3.47 คะแนนเป็น 4.63 คะแนน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05, t=6.42 (Mean difference = 1.16; 95%CI=3.52-8.26)</p>
ลดาวัลย์ มาลัยเจริญ
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
917
926
-
ผลของการใช้โปรแกรมการให้ความรู้อย่างมีแบบแผน และดนตรีบำบัด ต่อความวิตกกังวล การทำผ่าตัด แผนกผ่าตัดเล็ก โรงพยาบาลอุตรดิตถ์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3476
<p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ความรู้อย่างมีแบบแผนร่วมกับดนตรีบำบัดต่อความวิตกกังวลในผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดโดยฉีดยาชาเฉพาะที่ แผนกผ่าตัดเล็ก โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 68 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 34 คน กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ ส่วนกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการให้ข้อมูลอย่างมีแบบแผนร่วมกับการสร้างความสุขด้วยดนตรีบรรเลงบำบัด เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความวิตกกังวลขณะเผชิญ (STAI Form Y-1) แบบสอบถามความพึงพอใจ และโปรแกรมการให้ข้อมูลอย่างมีแบบแผนร่วมกับดนตรีบำบัด ค่าความตรงตามเนื้อหาของแบบประเมินความวิตกกังวลและแบบสอบถามความพึงพอใจเท่ากับ .92 และ .86 ตามลำดับ ค่าความเที่ยงเท่ากับ .83 และ .85 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ dependent และ Independent t-test<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ค่าเฉลี่ยความวิตกกังวลหลังการผ่าตัดของกลุ่มทดลองต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ค่าเฉลี่ยความวิตกกังวลหลังการผ่าตัดของกลุ่มทดลองต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ผู้เข้ารับบริการในกลุ่มทดลองทั้งหมด (ร้อยละ 100) มีความพึงพอใจต่อการเข้ารับการผ่าตัดในระดับมากที่สุด</p>
ณัฏฐ์ชุดา เลือดนักรบ
นภดล เลือดนักรบ
สุชญา พรหมโชติ
Copyright (c) 2024 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2024-10-31
2024-10-31
9 5
927
933
-
ผลการจัดการความเจ็บปวดของการคลอดในระยะที่1 โรงพยาบาลท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3507
<p> การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความเจ็บปวดของการคลอดในระยะที่ 1โรงพยาบาลท่าอุเทน จังหวัดนครพนม และ 2) ศึกษาความพึงพอใจในการจัดการความเจ็บปวดของการคลอดในระยะที่ 1 โรงพยาบาลท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แนวปฏิบัติทางคลินิกสำหรับการจัดการกับความเจ็บปวดของการคลอดในระยะที่ 1 และแบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการความเจ็บปวดของการคลอดในระยะที่ 0 มีค่าความเชื่อมั่น 1.0 และ 68.85 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบระดับความเจ็บปวดระหว่างกลุ่มควบคุม และกลุ่มทดลองด้วยการทดสอบ independent t-test<br> ผลการวิจัย พบว่า คะแนนความเจ็บปวดของการคลอดในระยะที่ 1ของกลุ่มทดลองน้อยกว่ากลุ่มควบคุม โดยกลุ่มทดลองอยู่ในระดับปวดรุนแรงค่าเฉลี่ย) =6 .20, S.D. = 1.10) กลุ่มควบคุมอยู่ในระดับปวดรุนแรงค่าเฉลี่ย) =9.37, S.D. =0.63) เมื่อเปรียบเทียบความเจ็บปวดของการคลอดในระยะที่ ระหว่างกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม พบว่าแตกต่างกันอย่างมี 1. นัยสำคัญทางสถิติที่001 ผลการศึกษาความพึงพอใจในการจัดการความเจ็บปวดของการคลอดในระยะที่ 1 โรงพยาบาลท่าอุเทน จังหวัดนครพนม พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก 4 ค่าเฉลี่ย).22, S.D. = 1.12)</p>
ชลลดา นครังสุ
Copyright (c) 2024
2024-10-31
2024-10-31
9 5
934
941
-
การประเมินผลการดำเนินงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ 20 ปี เพื่อยกระดับสู่การเป็นผู้นำด้านการแพทย์ดั้งเดิมของเอเชีย ในปี 2570
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3508
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา และประเมินผลการดำเนินงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ 20 ปี เพื่อให้ได้แนวทางยกระดับการดำเนินงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติสู่การเป็นผู้นำด้านการแพทย์ดั้งเดิมของเอเชียในปี 2570 งานวิจัยนี้เป็น Mixed Methods โดยข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ที่เข้าร่วมงานมหกรรมฯ ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2566 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี และข้อมูลประเมินผลจากรายงานผลการการดำเนินงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1 -19 การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติใช้วิธีไค-สแควร์ ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้กรอบการบริหารจัดการภาครัฐรวบรวมผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ 20 คนที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายและการจัดงาน โดยวิเคราะห์เนื้อหาจากการศึกษาและประเมินผลการดำเนินงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ 20 ปี ทั้งปัจจัยด้านบริบท ปัจจัยนำเข้า ปัจจัยด้านกระบวนการ และปัจจัยด้านผลผลิต ผลลัพธ์<br> ผลวิจัยพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อความส าเร็จ คือ (1) ความร่วมมือจากหลายฝ่าย (2) การสนับสนุนจากนโยบายรัฐบาล (3) นำเสนอองค์ความรู้ใหม่ (4) การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และ (5) ธีมงานและกิจกรรมที่ดึงดูดตรงกับกระแสสังคม นำไปสู่ข้อค้นพบแนวทางการยกระดับสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำด้านการแพทย์ดั้งเดิมของเอเชียในปี 2570 6 ด้าน ดังนี้ (1)ด้านการนำองค์กร มุ่งเน้นการสร้างมาตรฐานในระดับสากล ส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรม ภาคเอกชนขับเคลื่อน และขยายความสำคัญการแพทย์แผนไทยและอาหาร (2)ด้านการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ใช้กลยุทธ์ยกระดับความร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการเงิน ธนาคารต้องมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว และการสื่อสารเชิงรุก เช่น Road Show ในต่างประเทศ (3)ด้านผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเน้นที่การจับคู่ธุรกิจ การดึงดูดผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญ เช่น สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และ SME การจัดนิทรรศการและกิจกรรมที่หลากหลาย รวมถึงจัดงานในสถานที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและสุขภาพ (4) ด้านการวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ เน้นการใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data เพื่อวิเคราะห์ผู้บริโภคและตลาด ใช้ข้อมูลยอดขายและผลการเจรจาธุรกิจเพื่อวิเคราะห์แนวโน้ม (5)ด้านการมุ่งเน้นทรัพยากรบุคคล พัฒนาบุคลากรภาครัฐให้มีความรู้ ทักษะและมุมมองภาคธุรกิจในด้านการตลาด การเจรจาธุรกิจ การใช้เทคโนโลยีและการวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการส่งบุคลากรฝึกอบรมในต่างประเทศเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการวิจัย (6) ด้านการจัดการกระบวนการ เน้นการจับคู่ธุรกิจการจัดการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และการติดตามผล ประเมินผลอย่างต่อเนื่อง</p>
ศรีจรรยา โชตึก
รัชนี จันทร์เกษ
ณัชชา พัฒนะนุกิจ
กนกรัตน์ ยศไกร
ขวัญใจ จริยาทัศน์กร
Copyright (c) 2024
2024-10-31
2024-10-31
9 5
942
953
-
การพัฒนารูปแบบการแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุทางถนนของคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนระดับท้องถิ่น อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3510
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุทางถนนระดับท้องถิ่น จังหวัดบึงกาฬ ได้แก่ ภาวะผู้นำ การรับรู้บทบาท และการมีส่วนร่วม 2) เพื่อสร้าง “รูปแบบการแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุทางถนน” ของคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนระดับท้องถิ่น จังหวัดบึงกาฬ 3) เพื่อทดลองใช้และประเมินผลรูปแบบการแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุทางถนนของคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนระดับท้องถิ่นจังหวัดบึงกาฬ วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติอนุมาน (Inferential statistic) การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย โดยใช้ Repeated-measures ANOVA กาหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br> ผลการศึกษาพบว่า จากระยะที่ 1 และ 2 มีรูปแบบในการดำเนินการพัฒนา จานวน 7 กิจกรรม คือ 1) การทำงานร่วมกันเป็นทีม 2) ฝึกการการสื่อสาร 3) ฝึกการเรียนรู้พัฒนาบุคคลและทีมงาน (Life Position) 4) กลุ่มสัมพันธ์ 5) ฝึกการบริหารความขัดแย้ง 6) ฝึกการคิดต่างกันสร้างสรรค์องค์การ และ 7) กิจกรรมพี่เลี้ยง ซึ่งผลที่ได้จากระยะที่ 3 หลังการทดลอง พบว่าจากการพัฒนาภาวะผู้นำ การรับรู้บทบาท และการมีส่วนร่วม ส่งผลให้ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนระดับท้องถิ่น เพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และรูปแบบที่พัฒนาขึ้นส่งผลลัพธ์โดยตรงที่ทำให้สถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนระดับท้องถิ่นลดลง</p>
คำไฝ พลสงคราม
Copyright (c) 2024
2024-10-31
2024-10-31
9 5
954
965
-
พัฒนาการทำงานด้วยแนวคิด “เชิงระบบ” บูรณาการตามหลัก GRC (Governance, Risk and Compliance) ใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงหากันของกลุ่มงานบริหารทั่วไป สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยนาท
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3525
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการทำงานของกลุ่มงานบริหารทั่วไป ให้มีประสิทธิภาพ ภายใต้หลัก GRC และมีการใช้เทคโนโลยีเครือข่ายที่เชื่อมโยงในงานที่เกี่ยวข้องกันและสร้างแนวทางในการทำงานของกลุ่มงานบริหารทั่วไป ที่นำไปประยุกต์ใช้กับหน่วยงาน ในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยนาทได้ ประชากร ได้แก่ บุคลากรที่มีภาระงานและความรับผิดชอบในกลุ่มงานบริหารทั่วไป สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยนาทในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ มิถุนายน 2564 - มิถุนายน 2567 เก็บข้อมูลจากระบบรายงาน วิเคราะห์โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br> ผลการศึกษา พบว่า 1) การเปรียบเทียบ ระหว่างข้อมูลบัญชีในระบบ GFMIS และข้อมูลที่รวบรวมจากหลักฐานประกอบ ณ 30 ก.ย. 2564 จะพบว่า รวมผลแตกต่างจาการเปรียบเทียบ เท่ากับ 860,715,724.68 บาท คิดเป็น 39% จากผลรวมด้านเดบิตและเครดิตในระบบ GFMIS 2) การเปรียบเทียบ ระหว่างข้อมูลบัญชีในระบบ GFMIS และข้อมูลที่รวบรวมจากหลักฐานประกอบ ณ 30 มิ.ย. 2567 ซึ่งเป็นข้อมูลหลังจากดำเนินการแก้ไข ตามแนวทางที่กำหนดแล้ว พบว่า รวมผลแตกต่างจาการเปรียบเทียบ เท่ากับ 109,866,609.20 บาท คิดเป็น 10.15% จากผลรวมด้านเดบิตและเครดิตในระบบ GFMIS 3) การแก้ไขข้อผิดพลาดของข้อมูลในระบบ GFMIS ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยนาทสามารถแก้ไขได้สำเร็จไปได้ 28.85% ส่วนที่ยังไม่พบอีก 10.15% นั้นคาดว่าจะเสร็จสิ้นหลังตรวจสอบพัสดุประจำปี 2567 เพราะมีการตรวจนับทรัพย์สินอีกครั้ง</p>
สมบูรณ์ สิงห์พรม
Copyright (c) 2024
2024-10-31
2024-10-31
9 5
966
977
-
การพยาบาลผู้ป่วยวัณโรคปอด : กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3526
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยวัณโรคปอด กรณีศึกษา 2 ราย เลือกแบบเฉพาะเจาะจง คัดเลือกจากผู้ป่วยที่คลินิกวัณโรค โรงพยาบาลโนนศิลา ช่วงเดือนมกราคม - สิงหาคม 2667 ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย การสัมภาษณ์ผู้ป่วยและญาติ รวมถึงการติดตามเยี่ยมบ้าน โดยใช้แนวคิด 11 แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน ทำการรวบรวม สรุป นำสู่การกำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล การวางแผนปฏิบัติการพยาบาล และประเมินผลลัพธ์ทางการพยาบาล<br> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 1 ผู้ป่วยชายไทย อายุ 62 ปี มาโรงพยาบาลด้วยอาการไอมีเสมหะและน้ำหนักลด มีโรคร่วมคือ โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง เข้าเกณฑ์ 7 กลุ่มเสี่ยงที่ต้องคัดกรองวัณโรค แพทย์ส่งตรวจภาพถ่ายรังสีทรวงอก และตรวจเสมหะ sputum AFB x III days พบว่าNot found ผลตรวจเสมหะ Sputum gene Expert พบว่า MTB detected จึงได้วินิจฉัยโรคเป็น Pulmonary Tuberculosis ได้รับยาวัณโรคสูตร 2 HRZE/4HR คัดกรองผู้สัมผัสร่วมบ้าน กำกับการรับประทานยาวัณโรคปอด (DOT) เฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์จากยา ติดตามเยี่ยมบ้าน ผลการรักษา 6 เดือน ตรวจเสมหะ sputum AFB ผลการตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคปอด แพทย์พิจารณาจำหน่ายออกจากคลินิกวัณโรค กรณีศึกษารายที่ 2 ผู้ป่วยชายไทย อายุ 65 ปี มาโรงพยาบาลด้วยอาการ ไอมีเสมหะ มีไข้ตอนกลางคืน มีโรคร่วมคือ โรคความดันโลหิตสูง แพทย์ส่งตรวจ sputum AFB x III days พบว่า Not found ผลตรวจเสมหะ Sputum gene Expert พบว่า MTB detected จึงได้วินิจฉัยโรคเป็น Pulmonary Tuberculosis ได้รับยาวัณโรคสูตร 2 HRZE/4HR คัดกรองผู้สัมผัสร่วมบ้าน กำกับการรับประทานยาวัณโรคปอด (DOT) เฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์จากยา ติดตามเยี่ยมบ้าน ผลการรักษา 6 เดือน ตรวจเสมหะ sputum AFB ผลการตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคปอด แพทย์พิจารณาจำหน่ายออกจากคลินิกวัณโรค</p>
ธัญญรัตน์ นาพรมเทพ
Copyright (c) 2024
2024-10-31
2024-10-31
9 5
978
985
-
การบริหารจัดการทางการพยาบาลผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3554
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษาโดยรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัย บทความวิชาการ และรายงานทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลและการรักษาผู้ป่วยกระดูกสะโพกหัก ตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการทางการพยาบาล ขอบเขตของการศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะก่อนผ่าตัด ระยะหลังผ่าตัด และระยะดูแลต่อเนื่อง เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนและวิเคราะห์โดยการพรรณนา<br> โดยอาศัยการรักษาที่ทันท่วงทีและการบริหารจัดการทางการพยาบาลที่เหมาะสมในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ 1) ระยะก่อนผ่าตัด ให้ความสำคัญกับการพยาบาลการลดปวด ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด 2) ระยะหลังผ่าตัด เป็นการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด การจัดการความปวด การป้องกันกระดูกสะโพกเลื่อนหลุด และการวางแผนจำหน่าย และ 3) ระยะดูแลต่อเนื่อง เป็นการพยาบาลเพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดได้ถูกต้อง มีทักษะในการฟื้นฟูข้อสะโพก โดยอาศัยความรู้และการจัดการทางการพยาบาลที่ทันสมัยประยุกต์ในการดูแลผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกอย่างมีประสิทธิภาพ</p>
ปิยวรรณ วัดพ่วงแก้ว
ญาณิภา แก้วลำหัด
Copyright (c) 2024
2024-10-31
2024-10-31
9 5
986
991