วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech
<p><strong>Journal of Environmental and Community Health</strong><br /><strong>วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุ<wbr />ขภาพชุมชน</strong></p> <p><strong>Online ISSN: 6112-9248<br /></strong><strong>Print ISSN: 2672-9717<br /></strong></p>
สมาคมศิษย์เก่าสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชนมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์
th-TH
วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2672-9717
-
การพัฒนากระบวนการเบิกจ่ายเงินนอกงบประมาณ โรงพยาบาลมหาสารคาม
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4850
<p> การศึกษา การพัฒนากระบวนการเบิกจ่ายเงินนอกงบประมาณ โรงพยาบาลมหาสารคาม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเบิกจ่ายเงินนอกงบประมาณ และศึกษาการพัฒนากระบวนการเบิกจ่ายเงินนอกงบประมาณ โรงพยาบาลมหาสารคาม เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย ระหว่างเดือน มิถุนายน 2568 ถึง สิงหาคม 2568 รวม 3 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินนอกงบประมาณ โรงพยาบาลมหาสารคาม จำนวน 80 คน เก็บรวบรวมข้อมูล จากรายงานการเบิกจ่ายเงินนอกงบประมาณ โรงพยาบาลมหาสารคามและแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังการพัฒนากระบวนการเบิกจ่ายเงินนอกงบประมาณ โรงพยาบาลมหาสารคาม ปี 2567 กระบวนการปฏิบัติงานเบิกจ่ายเงินยืมราชการ ปีงบประมาณ 2567 รวมระยะเวลาประมาณ 7 วันทำการ/1 ฉบับ ดำเนินการจัดทำไป ทั้งสิ้น 376 ฉบับ กระบวนการปฏิบัติงานเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายโครงการ ค่าใช้จ่ายเดินทางไปราชการ ปีงบประมาณ 2567 (ไม่ยืมเงินราชการ) รวมระยะเวลาประมาณ 10 วันทำการ/1 ฉบับ ดำเนินการจัดทำไป ทั้งสิ้น 196 ฉบับ กระบวนการปฏิบัติงานเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายโครงการ ค่าใช้จ่ายเดินทางไปราชการ ปีงบประมาณ 2567 (ยืมเงินราชการ) รวมระยะเวลาประมาณ 5 วันทำการ/1 ฉบับ ดำเนินการจัดทำไป ทั้งสิ้น 148 ฉบับและความเข้าใจของบุคลากรที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเบิกจ่ายเงินนอกงบประมาณ โรงพยาบาลมหาสารคาม ก่อนและหลังดำเนินการ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยที่ภายหลังการดำเนินงานความเข้าใจของบุคลากรที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเบิกจ่ายเงินนอกงบประมาณ โรงพยาบาลมหาสารคาม หลังการดำเนินงาน มีค่าสูงกว่าก่อนการดำเนินการ</p>
สิริญญาพร คงแสนคำ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
1
9
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ โดยประยุกต์แรงสนับสนุนทางสังคม ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4717
<p> การศึกษาในครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงปฏิบัติการ (Action research: AR) เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ โดยประยุกต์ใช้แรงสนับสนุนทางสังคม ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ตามแนวคิดของ Kemmis และ McTaggart คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงมี 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มตัวอย่างในการจัดเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพและพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ โดยเลือกแบบเจาะจง จำนวน 12 คน และ 2) ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ ทดลองใช้รูปแบบจำนวน 35 คน เข้าร่วมกระบวนการวิจัยที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกระโพ ระหว่างเดือนมีนาคม 2568 - พฤษภาคม 2568 เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จากแบบสอบถาม และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และระดับความดันโลหิต สถิติเชิงอนุมาณวิเคราะห์ด้วย Paired-T test และ Wilcoxon Signed-Rank Test พบว่ารูปแบบที่พัฒนามาได้มี 4 กิจกรรม คือ 1) กิจกรรมทำความเข้าใจปัญหาผู้ป่วยและครอบครัว 2)กิจกรรมออกแบบแผนดูแลผู้ป่วย ครอบครัว ชุมชน และบุคลากรสาธารณสุขร่วมกัน 3)ดำเนินงานและสนับสนุนต่อเนื่องโดยเฉพาะคนในครอบครัว เป็นแบบอย่างและเป็นผู้ช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 4) มีการติดตาม ประเมินผล และชื่นชม หลังการทดลองใช้รูปแบบ พบว่าความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง พฤติกรรมสุขภาพและแรงสนับสนุนทางสังคมเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001)</p>
จารุวัฒน์ สาแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
10
19
-
การพัฒนารูปแบบการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการอย่างสมเหตุผลที่โรงพยาบาลเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4851
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิิบัติการ (Action Research) ตามแนวคิดของ Kemmis & McTaggart เป็นกรอบดำเนินงาน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน (Planning) การปฏิบัติตามแผน (Action) การสังเกตผลการดำเนินงาน (Observation) และการสะท้อนผล (Reflection) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการอย่างสมเหตุผลที่โรงพยาบาลเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) เพื่อเปรียบเทียบการสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ข้อมูลค่าใช้จ่ายก่อน และหลังพัฒนาโครงการ 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจของบุคคลากรทางการแพทย์ต่อการพัฒนารูปแบบการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการอย่างสมเหตุผลในโรงพยาบาล กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงาน ณ โรงพยาบาลเสนา โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเวชระเบียนผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของผู้ป่วย ได้แก่ HbA1c, LPT, LFT, TFT และ ELE ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 ถึง เดือน 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปสถิติสถิติพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p<0.05</p> <p> ผลการศึกษา: การเปรียบเทียบผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ และงบประมาณค่าตรวจทุกรายการระหว่างปี พ.ศ. 2567 และ พ.ศ. 2568 หลังพัฒนาโครงการ พบว่า จำนวนและมูลค่าการสั่งตรวจค่า LFT, TFT และ ELE LPT ลดลง 15.0%, 2.6% และ 6.5% ตามลำดับ การคัดกรองเบาหวานในกลุ่มประชากรเป้าหมาย จำนวน 4,039 ราย พบว่าสัดส่วนของผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการตรวจ HbA1c อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มจาก 14.9% ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 เป็น 69.3% ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ข้อมูลปี พ.ศ. 2568 พบว่า ร้อยละของผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการตรวจ LPT ซ้ำภายใน 180 วัน และการตรวจ HbA1c ซ้ำภายใน 90 วัน เท่ากับ 0.6% และ 7.5% ตามลำดับ ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับปี 2567 (p<0.001) นอกจากนี้พบว่าบุคลากรส่วนใหญ่ระดับความพึงพอใจสูง 75.0% คะแนนเฉลี่ยรวม เท่ากับ 38.9±3.88</p> <p> </p>
จิณณพัต ห้องศิลป์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
20
32
-
ผลของการวางแผนจําหน่ายโดยรูปแบบ D-METHOD-P ในผู้ป่วยมะเร็งต่อมไทรอยด์ที่ได้รับการรักษาฃโดยการกลืนแร่ไอโอดีน 131 ปริมาณสูงต่อความรู้และทักษะในการดูแลตนเอง โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4730
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง เพื่อศึกษาผลของการวางแผนจําหน่ายโดยรูปแบบ D-METHOD-P ต่อความรู้และทักษะในการดูแลตนเอง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยมะเร็งต่อมไทรอยด์ที่รักษาโดยการกลืนแร่ไอโอดีน 131 ปริมาณสูง ในหอผู้ป่วยไอโอดีนรังสี โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี ครั้งที่ 1 จำนวน 45 คน เครื่องมือในการทดลอง ประกอบด้วย 1) แผนการจำหน่ายรูปแบบ D-METHOD-P 2) แผนการสอน 3) เอกสารการปฏิบัติตัวเมื่อจําหน่าย 4) คู่มือการใช้แผนการจําหน่าย เครื่องมือในการเก็บรวมรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แบบประเมินความรู้ขณะอยู่โรงพยาบาลและเมื่อจําหน่าย 2) แบบประเมินทักษะการดูแลตนเองขณะอยู่โรงพยาบาล และ 3) แบบประเมินทักษะการดูแลตนเองเมื่อจำหน่าย วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ของผู้ป่วยก่อนและหลังการทดลองโดยใช้สถิติ Wilcoxon Signed - Rank test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้หลังการทดลอง (17.91 ± 0.3) สูงกว่าก่อนการทดลอง (14.27 ± 1.70) อย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em> value ≤ 0.01 ผลการประเมินทักษะการดูแลตนเองขณะอยู่ในโรงพยาบาล D1, D2 และ D3 พบว่า ขณะอยู่โรงพยาบาลผู้ป่วย 44 คน ปฏิบัติตัว “ทุกครั้ง” ร้อยละ 97.78 ปฏิบัติ “บางครั้ง” 1 คน ร้อยละ 2.22 และผลการประเมินทักษะการดูแลตนเองเมื่อจำหน่ายกลับบ้าน จากการติดตาม D3 และ D7 พบว่า ผู้ป่วย 43 คน ปฏิบัติตัว “ทุกครั้ง” ร้อยละ 95.56 ปฏิบัติ “บางครั้ง” 2 คน ร้อยละ 4.44 และติดตาม D30 ผู้ป่วย 45 คน ปฏิบัติตัว “ทุกครั้ง” ร้อยละ 100 </p>
กาญจนา หล้าบา
ฐิติวรรณ โยธาทัย
ยุพิณ คำกรุ
จันทร์ดวง กาญจนสุขเมฆิน
ปารณ์ไปรยา บุดดาวงษ์
ดุษฤดี ไชยคำ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
33
44
-
การพัฒนารูปแบบระบบการจัดเก็บรายได้โดยใช้โปรแกรมตรวจสอบข้อมูลลูกหนี้ค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลเต่างอย จังหวัดสกลนคร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4749
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาสภาพปัญหาปัจจุบันของระบบจัดเก็บรายได้และตรวจสอบข้อมูลลูกหนี้ค่ารักษาพยาบาล 2) พัฒนารูปแบบระบบจัดเก็บรายได้โดยใช้โปรแกรมตรวจสอบข้อมูลลูกหนี้ 3) เพื่อประเมินผลระบบที่พัฒนาขึ้นของโรงพยาบาลเต่างอย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) โดยใช้แนวคิดการพัฒนาระบบ 4 ขั้นตอน แบ่งเป็น 3 ระยะ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมตรวจสอบระบบข้อมูลลูกหนี้ค่ารักษาพยาบาลที่พัฒนาขึ้น และแบบประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านการจัดเก็บรายได้ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้รับผิดชอบงานเรียกเก็บจัดเก็บรายได้แต่ละกองทุนโรงพยาบาลเต่างอยและผู้รับผิดชอบงานค่ารักษาพยาบาลแต่ละกองทุนย่อย โรงพยาบาลเต่างอย รวมจำนวน 30 คน ดำเนินการระหว่าง เดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 ถึง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2568 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม แนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม และแบบบันทึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ โดยใช้สถิติ Paired t-test</p> <p> ผลการวิจัย: ผลการศึกษาสภาพปัญหาในระยะ1 พบสาเหตุของการคลาดเคลื่อนของข้อมูลจากปัจจัยด้านบุคลากร (จำนวนน้อย ขาดทักษะ/ความรู้ ขาดแรงจูงใจ) งบประมาณ อุปกรณ์ (ขาดโปรแกรมสนับสนุน) และการบริหารจัดการ ไม่มีการจัดโครงสร้างที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีปัญหาเฉพาะในด้านโครงสร้าง, ระบบงาน, การบันทึกข้อมูล (Care), การบันทึกรหัส (Code), ระบบเบิกจ่าย (Claim) และการบันทึกบัญชี (Account) ที่ยังไม่สมบูรณ์ ระยะที่ 2 การพัฒนาระบบ มีการแต่งตั้งคณะทำงานศูนย์จัดเก็บรายได้คุณภาพ กำหนดบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจนและคณะทำงานบริหารการเงินการคลัง (CFO) เพื่อทบทวนแนวทางเพิ่มศักยภาพบุคลากรและการใช้เทคโนโลยี มีการพัฒนาโปรแกรมตรวจสอบระบบข้อมูลลูกหนี้ค่ารักษาพยาบาลขึ้น เพื่อปรับปรุงรูปแบบการการจัดเก็บรายได้ การรายงานการเรียกเก็บและลูกหนี้ค่ารักษาพยาบาลตามผังบัญชี โดยเน้นความถูกต้อง ครบถ้วนตามข้อกำหนดของทุกกองทุน ระยะที่ 3 ขั้นการนำระบบไปปฏิบัติและประเมินผลการพัฒนา เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยของคะแนน พบว่า การเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการดำเนินงาน มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากที่สุด 2.83 คะแนน รองลงมาคือ การตรวจสอบและการบันทึกบัญชีลูกหนี้ค่ารักษาพยาบาล 2.60 คะแนน และการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล 2.40 คะแนน ตามลำดับ จะเห็นว่าการพัฒนารูปแบบระบบการจัดเก็บรายได้มีผลทำให้ประสิทธิภาพของรูปแบบระบบการจัดเก็บรายได้ดีขึ้น และผลของระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้สิทธิ UC คือ 51 วัน สิทธิข้าราชการ 61 วัน และ สิทธิประกันสังคม 79 วัน ผ่านเกณฑ์การประเมิน</p>
สรวงสุดา บูชา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
45
56
-
อัตรารอดชีพที่ 3 ปี ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลามเฉพาะที่ ที่ได้รับยาเคมีบำบัดก่อนการฉายรังสีร่วมกับยาเคมีบำบัด ในโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4764
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินอัตรารอดชีพที่ 3 ปีของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลามเฉพาะที่ที่ได้รับยาเคมีบำบัดก่อนการฉายรังสีร่วมกับยาเคมีบำบัด (Neoadjuvant chemotherapy: NACT ตามด้วย concurrent chemoradiation: CCRT) รวมทั้งศึกษาปัจจัยที่มีผลต่ออัตรารอดชีพ โดยเป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง (retrospective cohort study) รวบรวมข้อมูลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 รวมจำนวนทั้งสิ้น 132 ราย ข้อมูลที่ศึกษา ได้แก่ ข้อมูลทางประชากร ลักษณะทางคลินิกของโรค แนวทางการรักษา และผลข้างเคียงจากการรักษา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ประเมินอัตรารอดชีพด้วย Kaplan-Meier survival analysis และหาปัจจัยที่มีผลต่อการรอดชีพโดยใช้ Cox proportional hazards model แบบตัวแปรเชิงเดี่ยว (univariate analysis)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีโรคประจำตัว (ร้อยละ 62.88) และมีชนิดของมะเร็งเป็น squamous cell carcinoma มากที่สุด (ร้อยละ 73.48) โดยอยู่ในระยะ Stage IIB มากที่สุด (ร้อยละ 32.58) สูตรยาที่ใช้ส่วนใหญ่เป็น platinum/paclitaxel ให้ทุก 3–4 สัปดาห์ จำนวน 2 รอบ พบอัตรารอดชีพที่ 3 ปี (3-year survival rates) เท่ากับร้อยละ 68.80 และอัตรารอดโดยโรคสงบที่ 3 ปี (3-year progression-free survival) เท่ากับร้อยละ 67.04 ปัจจัยที่มีผลต่ออัตรารอดชีพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ระยะเวลาตั้งแต่ตรวจชิ้นเนื้อจนถึงการได้รับยาเคมีบำบัดครั้งแรกที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 42 วัน (HRCrude = 2.94, 95% CI: 1.10–7.83, p = 0.0458) ในขณะที่ระยะเวลาการทำ CCRT ที่เกิน 56 วันมีแนวโน้มสัมพันธ์กับการลดลงของอัตรารอดชีพ (p = 0.0743) ผลข้างเคียงเฉียบพลันระดับ 3–4 พบระหว่างการให้ยา NACT ร้อยละ 14.39 และระหว่างการให้ CCRT ร้อยละ 30.30 โดยเป็นผลข้างเคียงทางโลหิตวิทยาระดับ 3–4 ร้อยละ 12.12 และ 21.97 ตามลำดับ</p>
นฤมล จิราวัฒน์วรากุล
วราภรณ์ ภูธิวุฒิ
วิจิตรา พิลาตัน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
57
68
-
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของผู้ต้องขังหญิงที่ติดเชื้อเอชไอวี ในทัณฑสถานแห่งหนึ่ง
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4759
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยลักษณะเฉพาะและประสบการณ์ของบุคคล ได้แก่ อายุ ระยะเวลาที่ติดเชื้อเอชไอวี ระยะเวลาที่รับประทานยาต้านไวรัส ความรู้เรื่องโรคเอดส์ และความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ที่มีผลต่อพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของผู้ต้องขังหญิงที่ติดเชื้อเอชไอวีในทัณฑสถานแห่งหนึ่ง 2) ศึกษาปัจจัยด้านความคิดและอารมณ์ที่เฉพาะต่อพฤติกรรม ได้แก่ การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรม การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติพฤติกรรม การรับรู้ความสามารถของตนเอง และการสนับสนุนทางสังคม ที่มีผลต่อพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของผู้ต้องขังหญิงที่ติดเชื้อเอชไอวีในทัณฑสถานแห่งหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ต้องขังหญิงที่มีโทษเด็ดขาดทุกระดับ อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์ว่าติดเชื้อเอชไอวี ทั้งรายใหม่และรายเก่า ไม่มีอาการของโรคเอดส์ และได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี จำนวน 120 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ครอบคลุมข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้เรื่องโรคเอดส์ ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง การรับรู้ประโยชน์และอุปสรรคของการปฏิบัติพฤติกรรม การรับรู้ความสามารถของตนเอง การสนับสนุนทางสังคม และพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) และสมการถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่สามารถทำนายพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของผู้ต้องขังหญิงที่ติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติ (β = –.776, p<.001) การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติ (β = .155, p<.05) การสนับสนุนทางสังคม (β = .212, p<.05) และความรู้เรื่องโรคเอดส์ (β = .055, p<.001) โดยปัจจัยทั้ง 4 สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพได้ร้อยละ 61.3 (R² = .613, p<.001)</p>
รุ้งรัศมี นามวงษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
69
81
-
การพัฒนาระบบการสื่อสารการบริการผู้ป่วยนอกด้วยแอพพลิเคชั่นไลน์ โรงพยาบาลคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4969
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การสื่อสารการพยาบาลผู้ป่วยนอก ปัญหา อุปสรรค และความต้องการในการใช้แอปพลิเคชันไลน์ พัฒนาและทดลองใช้ระบบการสื่อสารการพยาบาลผู้ป่วยนอกด้วยแอปพลิเคชันไลน์ และประเมินประสิทธิผลของระบบต่อความพึงพอใจและประสิทธิภาพการสื่อสาร ดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 รวมระยะเวลา 12 เดือน โดยใช้กระบวนการ ADDIE Model และทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็ม กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย คณะทำงานผู้ป่วยนอก จำนวน 12 คน สำหรับการพัฒนารูปแบบ และบุคลากรพยาบาล จำนวน 14 คน ผู้ป่วยนอก จำนวน 100 คน รวม 114 คน สำหรับการประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แนวทางการสนทนากลุ่ม แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้ แบบประเมินพฤติกรรมการใช้งาน แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบประเมินประสิทธิภาพระบบ สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบก่อนหลังด้วยสถิติ Paired t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนารูปแบบได้ระบบการสื่อสารการพยาบาลผู้ป่วยนอกด้วยแอปพลิเคชันไลน์ ประกอบด้วย 6 เมนูหลัก ได้แก่ ข้อมูลโรงพยาบาล ความรู้สุขภาพ นัดหมาย ปรึกษาพยาบาล บันทึกอาการ และติดต่อเรา ผลจากผู้ลงทะเบียนใช้งาน พบว่า ระยะเวลาเฉลี่ยในการตอบกลับข้อความ 12.35 นาที การตอบกลับภายใน 30 นาทีร้อยละ 94.20 ผลการใช้รูปแบบพบว่า ความรู้เกี่ยวกับระบบการสื่อสารเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 45.50 เป็นร้อยละ 92.80 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 58.20 เป็นร้อยละ 85.60 อัตราการมารักษาตรงนัดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 76.30 เป็นร้อยละ 91.70 อัตราการกลับมารักษาซ้ำภายใน 7 วันลดลงจากร้อยละ 12.40 เหลือร้อยละ 4.80 คิดเป็นการลดลงร้อยละ 61.29 ความพึงพอใจของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 4.67 จาก 5.00 ความพึงพอใจของพยาบาลเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 4.45 จาก 5.00 ฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือการนัดหมาย ร้อยละ 89.40 รองลงมาคือการปรึกษาพยาบาล ร้อยละ 78.50 และความรู้สุขภาพ ร้อยละ 72.10 การทดสอบความแตกต่างทางสถิติพบว่าตัวแปรทุกด้านมีการปรับปรุงดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p<.001)</p>
วารีรัตน์ วงศ์ปฏิมาพร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
2025-10-31
2025-10-31
10 5
82
90
-
การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นในชุมชน : กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4853
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อศึกษาการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นขณะตั้งครรภ์ในชุมชน โดยการเปรียบเทียบกรณีศึกษา 2 ราย ใช้แนวคิดแบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลมารดา-ทารก แนวคิดการมีส่วนร่วมในชุมชน การเยี่ยมบ้าน INHOMESS เป็นกรอบในการศึกษา โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นที่เข้ารับ บริการฝากครรภ์ที่กลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลซำสูง จังหวัดขอนแก่น เก็บข้อมูลจากเวชระเบียน สัมภาษณ์ผู้ป่วยและญาติ ร่วมกับการสังเกต กำหนดข้อวินิจฉัยการพยาบาล วางแผน ปฏิบัติการพยาบาลและประเมินผลลัพธ์ทางการพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา โดยการเปรียบเทียบกรณีศึกษา 2 ราย</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า กรณีศึกษาที่ 1 อายุ 16 ปี มารดา G1P0A0L0ฝากครรภ์ครั้งแรก พร้อมสามี อายุครรภ์ 11 สัปดาห์ ปัจจุบันอาศัยอยู่กับ ครอบครัวของสามี มารดาของสามีเป็นผู้พามาฝากครรภ์ แพทย์วินิจฉัย G1P0A0L0 อายุครรภ์11 สัปดาห์ by date ผลตรวจเลือด 2 ครั้งพบว่า ความเข้มข้นเลือดมีแนวโน้มลดลง จนเกือบถึงภาวะซีด ตรวจพบติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ รักษาโดยให้ยา Ferrous Fumarate, Amoxicilline(500) มีความเครียดและวิตกกังวล ขณะตั้งครรภ์ กรณีศึกษาที่ 2 อายุ 16 ปี มารดา G1P0A0L0ฝากครรภ์ครั้งแรก อายุครรภ์ 7<sup>+5</sup> สัปดาห์ ปัจจุบันอาศัยอยู่กับครอบครัว สามี โดยสามีเป็นผู้ดูแลหลัก มาฝากครรภ์ครั้งแรกพร้อมสามี แพทย์วินิจฉัย G1P0A0L0อายุครรภ์ 7<sup>+5</sup> สัปดาห์ by U/S ผลตรวจเลือดครั้งที่1 พบว่าผิดปกติ DCIP: Positive /MCV ต่ำ ส่งตรวจHb typing ผลเป็นSuspected homozygous HbE or Beta-Thallasemia without α-Thal ผลตรวจปัสสาวะ พบติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ รักษาโดยให้ยา Amoxicilline(500) มีค่าความดันโลหิตที่ค่อนข้างสูง SBP 128-145mmHg เฝ้าระวังภาวะครรภ์เป็นพิษ มีความเครียดและวิตกกังวลขณะตั้งครรภ์ทั้ง 2 ราย</p>
ไพทูรย์ ไทยแท้
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
91
99
-
การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจากภาวะหัวใจห้องบนเต้นระริก : กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4854
<p> การศึกษานี้เป็นการเปรียบเทียบกรณีศึกษา 2 ราย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจากภาวะหัวใจห้องบนเต้นระริกและนำผลการศึกษาไปพัฒนาแนวทางการดูแลให้มีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐาน โดยศึกษาในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจากภาวะหัวใจห้องบนเต้นระริกที่เข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลขอนแก่น ระหว่างเดือนเมษายน-กันยายน พ.ศ. 2568 จำนวน 2 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูลโดยการรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วย การสัมภาษณ์และการสังเกต ใช้การประเมินภาวะสุขภาพผู้ป่วยตามแบบแผนสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอนนำมากำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลและทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็มในการพยาบาลผู้ป่วย</p> <p> ผลการศึกษา ผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 1 หญิงไทย มีอาการแขนขาข้างซ้ายอ่อนแรง พูดไม่ชัด เป็นมา 2 ชั่วโมง รับส่งต่อจากโรงพยาบาลมัญจาคีรี มีประวัติโรคหอบหืด แพทย์วินิจฉัย Acute cerebral infarction ประเมิน NIHSS 18 คะแนน ผลตรวจ EKG พบ Atrial fibrillation ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด rt-PA ได้รับการพยาบาลครอบคลุม 7 ปัญหา ได้แก่ เสี่ยงต่อภาวะความดันกะโหลกศีรษะสูง เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อสมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะเลือดออก มีภาวะไม่สมดุลของสารน้ำและอิเล็กโตรลัยต์ เสี่ยงต่อการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ผู้ป่วยและญาติวิตกกังวล และการช่วยเหลือตนเองบกพร่อง ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน นอนโรงพยาบาล 8 วัน ส่งกลับไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 2 หญิงไทย อาการแขนขาข้างขวาอ่อนแรง พูดไม่ได้ เป็นมา 1 ชั่วโมง รับส่งต่อจากโรงพยาบาลบ้านฝาง ปฏิเสธโรคประจำตัว แพทย์วินิจฉัย Acute cerebral infarction ประเมิน NIHSS 31 คะแนน ผลตรวจ EKG พบ Atrial fibrillation ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ ได้รับการทำหัตถการใส่สายสวนหลอดเลือดแดงเพื่อนำลิ่มเลือดออก ได้รับการพยาบาลครอบคลุม 8 ปัญหา เพิ่มเติมจากรายที่ 1 คือ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหลังทำหัตถการ ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง นอนโรงพยาบาล 14 วัน ส่งกลับไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน</p>
ขวัญอรุณ มักขุนทด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
100
106
-
การพัฒนาระบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วย งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4855
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วย งานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น โดยใช้กรอบแนวคิดการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องของ Deming (วงจร PDCA: Plan-Do-Check-Act) กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช จำนวน 10 คน (พยาบาลวิชาชีพจำนวน 7 คน เจ้าพนักงานเวชกิจฉุกเฉินจำนวน 3 คน) และเวชระเบียนผู้ป่วย จำนวน 400 แฟ้ม เก็บข้อมูลระหว่างเดือนเมษายน-กรกฎาคม 2568 ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบประเมินการคัดแยกประเภทผู้ป่วย และการสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า หลังการพัฒนาระบบการคัดแยกประเภทผู้ป่วย ความถูกต้องของการคัดแยกเดือนเมษายน-กรกฎาคม 2568 มีแนวโน้มของความถูกต้องเพิ่มขึ้น ร้อยละ 70.00, 75.00, 80.00, และ 86.00 และกลุ่มที่มีผลการคัดแยกประเภทผู้ป่วยที่ยังไม่ถูกต้องมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง การคัดแยกต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (Under triage) ลดลงจากร้อยละ 13.00, 10.00, 8.00 และ 6.00 และการคัดแยกสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (Over triage) ลดลงจากร้อยละ 17.00, 15.00, 12.00 และ 8.00 ระยะเวลาที่ผู้ป่วยได้รับการตรวจตามประเภทความรุนแรง จากการคัดแยกประเภทผู้ป่วยแรกรับ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดช่วงเวลาการศึกษา เริ่มจากร้อยละ 84.00, 86.00, 88.00, 91.00 และไม่ได้รับการตรวจตามประเภทความรุนแรง มีแนวโน้มลดลงจากร้อยละ 16.00, 14.00, 12.00, 9.00 คะแนนความรู้ของพยาบาลวิชาชีพและเจ้าพนักงานเวชกิจฉุกเฉินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001) คะแนนเฉลี่ยก่อนการให้ความรู้เท่ากับ 14.2 ± 1.99 และหลังการให้ความรู้เท่ากับ 16.5 ± 1.08 คะแนน มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.3 คะแนน ความพึงพอใจของบุคลากรต่อระบบการคัดแยกผู้ป่วยอยู่ในระดับสูงมาก (ร้อยละ 91.00)</p>
นิตยา กองสุข
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
107
115
-
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อวัณโรคในบุคลากรพยาบาล แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพรเจริญ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4792
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบและศึกษาผลการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อวัณโรคในบุคลากรพยาบาลแผนกผู้ป่วยนอก เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยใช้แนวคิดการพัฒนาคุณภาพโดยความร่วมมือ กลุ่มตัวอย่างคือบุคลากรทางการพยาบาลเป็นทีมพัฒนา 6 คน ทีมผู้ปฏิบัติ 28 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแผนการพัฒนาคุณภาพ แบบสอบถามความคิดเห็นบุคลากร แบบสังเกตการปฏิบัติ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบค่าที ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษา: รูปแบบการส่งเสริมการปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อวัณโรคบุคลากรแผนกผู้ป่วยนอกประกอบด้วย9กิจกรรมคือ1) การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการการปฏิบัติในการป้องกันการติดเชื้อวัณโรค2)การสนับสนุนคู่มือการปฏิบัติงาน3) การทบทวนความรู้ 4)การประเมินผลและการให้ข้อมูลย้อนกลับ 5) การกระตุ้นเตือนโดยใช้โปสเตอร์6) การสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจของบุคลากร 7)การสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคแก่ผู้ป่วย 8)การรณรงค์การทำความสะอาดมือ9) การให้ความรู้ผู้ป่วยและญาติและภายหลังการใช้รูปแบบการส่งเสริม ร้อยละของบุคลากรปฏิบัติถูกต้องเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ97.1 จากก่อนการใช้รูปแบบที่ปฏิบัติถูกต้องร้อยละ69.08 ผลการเปรียบเทียบคะแนนการปฏิบัติของบุคลากรก่อนและหลังใช้รูปแบบพบว่า หลังการใช้รูปแบบมีค่าเฉลี่ยของการปฏิบัติถูกต้อง เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value =0.05 )</p>
จุฑาทิพย์ ครองยุติ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
116
127
-
ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความตระหนักด้านสุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อการป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงของประชาชนในหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ตำบลท่าพระยา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4856
<p> การวิจัยนี้ เป็นการศึกษาภาคตัดขวาง (Cross-sectional study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความตระหนักด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความตระหนักด้านสุขภาพ กับพฤติกรรมสุขภาพในการป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงและโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ โควิด- 19 ของประชาชนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 345 คน ในหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ตำบลท่าพระยา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม</p> <p> ผลการวิจัย: พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพในระดับดี คะแนนเฉลี่ย (3.53 ± .526) ระดับความตระหนักด้านสุขภาพ ระดับพอใช้ คะแนนเฉลี่ย (3.41 ± .359) ระดับพฤติกรรมสุขภาพในการป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ระดับดี คะแนนเฉลี่ย (3.51 ± .735) พฤติกรรมสุขภาพในการป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 ระดับดีมาก คะแนนเฉลี่ย (4.71 ± .565) ด้านความสัมพันธ์ พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพด้านการป้องกันโรคไม่ติดต่อ ในระดับปานกลาง (r=.442, p < 0.01) ส่วนความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมป้องกันโรคติดต่อในระดับต่ำสุด (r=.117, p < .05) และความตระหนักด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำกับพฤติกรรมสุขภาพด้านการป้องกันโรคไม่ติดต่อและโรคติดต่อ (r=.357 , p < .001), (r=.252 , p < .001)</p>
วีร์สุดา นาคหล่อ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
128
141
-
ประสิทธิผลโปรแกรมความรอบรู้สุขภาพต่อระดับความรอบรู้สุขภาพปอด และสมรรถภาพปอดในกลุ่มพนักงานโรงโม่หิน จังหวัดเพชรบูรณ์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4857
<p> การวิจัยกึ่งทดลองแบบศึกษาสองกลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการได้รับโปรแกรมการทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับความรอบรู้สุขภาพ การรับรู้ พฤติกรรมการป้องกันตนเองและสมรรถภาพปอด กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มพนักงานโรงโม่หินจำนวน 80 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 40 คนและกลุ่มควบคุม 40 คน ระยะเวลาการทดลอง 4 สัปดาห์ กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมสร้างเสริมความรอบรู้การสร้างเสริมความรอบรู้ มีกิจกรรม 3 ครั้งในสัปดาห์ที่1-4และกลุ่มควบคุมได้รับการให้ความรู้ตามมาตรฐาน ในสัปดาห์ที่ 1 และ 4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมด้านความรอบรู้สุขภาพ ได้แก่ 1)การให้ความรู้เพื่อสร้างทักษะความรอบรู้ 2)สนทนากลุ่มเกี่ยวกับโรคปอดฝุ่นหิน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1)แบบสอบถามทั่วไป แบบประเมินความรอบรู้ แบบประเมินพฤติกรรม แบบประเมินการรับรู้และแบบสัมภาษณ์ความรู้เกี่ยวกับโรคปอดฝุ่นหิน 2)การตรวจสมรรถภาพปอดด้วยเครื่องตรวจสมรรถภาพปอด 3)เครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลด้วย Chi Square test, Paired t-test และ Independent t-test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมมีความรอบรู้สูงกว่ากลุ่มควบคุมหลังการสอนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมมีพฤติกรรมการป้องกันอันตรายจากฝุ่นสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 ผลตรวจสมรรถภาพปอดกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001</p>
สุดารัตน์ รอดมณี
เยี่ยมณัฐ ชัยพฤกษ์ไพรวัน
สุรศักดิ์ ตั้งสมบัติกุล
นิภาวรรณ สุจริตธรรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
142
153
-
การประเมินผู้ป่วยภาวะกลืนลำบากที่ไม่มีการอุดตันของหลอดอาหารด้วยการตรวจวัด การเคลื่อนไหวของหลอดอาหารและการบีบรัดตัวของหูรูดหลอดอาหารชนิดความละเอียดสูง ในโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4858
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจโดยศึกษาย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประเมินผู้ป่วยภาวะกลืนลำบากที่ไม่มีการอุดตันของหลอดอาหารด้วยการตรวจวัดการเคลื่อนไหวของหลอดอาหารและการบีบรัดตัวของหูรูดหลอดอาหารชนิดความละเอียดสูง ในโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมากลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วย 65 คนที่มีภาวะกลืนลำบากที่ไม่มีการอุดตันในหลอดอาหารที่โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ในช่วงปีพ.ศ. 2566-2568 เก็บข้อมูลจากเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนาและอนุมาน</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า การตรวจวัดการทำงานของหลอดอาหารเพื่อตรวจหาภาวะหลอดอาหารทำงานผิดปกติ ผู้ป่วย 18 คน (27.7%) มีผลตรวจปกติ และผู้ป่วย 47 คน (72.3%) ตรวจพบภาวะผิดปกติของการทำงานของหลอดอาหาร โดยภาวะที่พบบ่อยที่สุดในการศึกษานี้คือ ภาวะกล้ามเนื้อหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหารไม่คลายตัว 28 คน (43.1%) ภาวะหลอดอาหารไม่บีบตัว 4 คน (6.2%) ภาวะหลอดอาหารส่วนล่างเกร็งตัว 5 คน (7.7%) ภาวะหลอดอาหารบีบตัวรุนแรง 1 คน (1.5%) ภาวะหลอดอาหารบีบตัวน้อยกว่าปกติ 8 คน (12.3%) ภาวะกลืนลำบากในช่องคอหอย จำนวน 1 คน (1.5%)</p>
พัชรพล ชูวงศ์โกมล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
154
162
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง งานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลมุกดาหาร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4859
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และ 3) เพื่อศึกษาผลของการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง งานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลมุกดาหาร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษามี 2 กลุ่ม คือ1) ทีมสหสาขาวิชาชีพ ในการศึกษาสภาพปัญหาและพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จำนวน 55 ราย คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) 2) ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันระยะเฉียบพลันที่ได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ (rt-PA) จำนวน 50 ราย ที่เข้ารับบริการงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลมุกดาหาร คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบไปด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แนวคำถามในการสนทนากลุ่ม แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบทดสอบความรู้เรื่องโรคหลอดเลือดสมอง แบบประเมินความพึงพอใจ แบบบันทึกการสังเกตการปฏิบัติตามรูปแบบฯ และแบบบันทึกข้อมูลผลลัพธ์ในการใช้รูปแบบฯ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แนวทางปฏิบัติและกิจกรรมการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันและคู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ศึกษาในระหว่างเดือนตุลาคม 2567-มีนาคม 2568 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาหาความถี่ ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างเพื่อเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ Paired t-test</p> <p> ผลการศึกษา : พบว่า 1) สภาพปัญหาการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง คือ (1) ด้านระบบสุขภาพ พบการเข้าถึงระบบบริการน้อย การประสานงานระหว่างหน่วยงานขาดประสิทธิภาพ การดูแลรักษาล่าช้า แนวทางปฏิบัติไม่ชัดเจน (2) ด้านทีมสุขภาพ พบขาดทักษะในการดูแล ไม่ปฏิบัติตามแนวทาง บันทึกข้อมูลไม่ครบถ้วน (3) ด้านผู้ป่วยและญาติหรือผู้ดูแล พบไม่ทราบอาการเตือนของโรค ไม่ทราบระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน 2) รูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ประกอบด้วย (1) แนวทางปฏิบัติและกิจกรรมการพยาบาลผู้ป่วยสงสัยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน กรณีผู้ป่วยมาโรงพยาบาลเอง (Walk in) (2) กรณีผู้ป่วยมาโรงพยาบาลโดยระบบส่งต่อ (Refer) (3) กรณีผู้ป่วยมาโรงพยาบาลโดยระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS) และ 3) ผลของการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง พบว่า หลังการพัฒนารูปแบบฯ (1) การได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดภายใน 60 นาทีเพิ่มขึ้น (2) ภาวะแทรกซ้อนหลังได้รับยาละลายลิ่มเลือดลดลง (3) พยาบาลวิชาชีพมีค่าเฉลี่ยความรู้และการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ (4) ทีมสุขภาพมีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบฯ อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
วรรษษาสินี อุปัญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
163
175
-
การดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนไตเรื้อรัง : กรณีศึกษา 2 ราย โรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4860
<p> การศึกษานี้เป็นการศึกษาในผู้ป่วย 2 ราย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลการดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนไตเรื้อรัง เพื่อพัฒนาแนวทางการดูแล และเพิ่มคุณภาพการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานเพื่อให้เบาหวานอยู่ในระยะสงบ DM Remission เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วย การสัมภาษณ์ การสังเกตพฤติกรรม และแบบบันทึกทางการพยาบาล โดยใช้แนวคิดจากแบบแผนสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอน การเก็บรวบรวมข้อมูล การศึกษาสถิติข้อมูลผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนทางไต การค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการติดต่อประสานงานพยาบาลที่รับผิดชอบงานในคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง) ในการประเมินสภาพของผู้ป่วย การศึกษากระบวนการ และการปฏิบัติการตามกระบวนการพยาบาล</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยรายที่ 1 มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินของโรค และการเกิดภาวะ แทรกซ้อน คือ ไตเรื้อรัง เนื่องจากปัจจัยหลายสาเหตุ และการป่วยด้วยโรคเบาหวานที่เป็นมานาน 10 ปี ร่วมกับ มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีรสหวาน รับประทานขนม ลูกอม และผลไม้รสหวาน โดยส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นจนนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนทางไตเรื้อรัง จากระยะที่ 3 เดินทางเข้าสู่ระยะที่ 5 ซึ่งเป็นภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ในผู้ป่วยรายที่ 2 พบว่า ผู้ป่วยมีความรู้ ความเข้าใจในเกี่ยวกับโรคเบาหวาน การเกิดภาวะแทรกซ้อน โดยผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ลดอาการเครียดหรือความวิตกกังวล และอาการแทรกซ้อนจากโรค ซึ่งส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง และลดภาวะแทรกซ้อนทางไตได้</p>
ฐิติชญาน์ สิทธิศิริสาร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
176
183
-
การพัฒนารูปแบบการนิเทศทางคลินิกในการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ ที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ หอผู้ป่วยหนักอายุรกรรมและศัลยกรรม โรงพยาบาลมุกดาหาร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4861
<p> งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์ : 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการรูปแบบการนิเทศทางคลินิกในการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการนิเทศทางคลินิกในการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ และ 3) เพื่อประเมินผลของการพัฒนารูปแบบการนิเทศทางคลินิกในการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1) ทีมสุขภาพเป็นทีมสหสาขาวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยหนักอายุรกรรมและศัลยกรรม โรงพยาบาลมุกดาหาร จำนวน 15 คน และ 2) พยาบาลที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยหนักอายุรกรรมและศัลยกรรม โรงพยาบาลมุกดาหาร จำนวน 42 คน และผู้ป่วยหนักที่ใส่คาสายสวนปัสสาวะ หอผู้ป่วยหนักอายุรกรรมและศัลยกรรม โรงพยาบาลมุกดาหาร จำนวน 710 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) แบบสอบถามสภาพปัญหาและความต้องการ 5) แบบประเมินการรับรู้สมรรถนะแห่งตน 6) แบบประเมินความรู้ 7) แบบประเมินการปฏิบัติ และ 8) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการพัฒนารูปแบบการนิเทศทางคลินิกในการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ และเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ 1) รูปแบบการนิเทศทางคลินิกในการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ หอผู้ป่วยหนักอายุรกรรมและศัลยกรรม โรงพยาบาลมุกดาหาร 2) สื่อวีดีทัศน์ “รอบรู้ก้าวไกล ป้องกันภัยจาก CAUTI” และ 3) คู่มือการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาหาความถี่ ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างเพื่อเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ chai-square และ Paired t-test</p> <p> ผลการศึกษา : สภาพปัญหาและความต้องการ พบว่า 1) อัตราการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะไม่ลดลง จากการขาดระบบนิเทศ ผู้นิเทศไม่ระบบการนิเทศและผู้รับการนิเทศขาดความตระหนัก 2) รูปแบบการนิเทศทางคลินิก ประกอบด้วย การส่งเสริมฟื้นฟูเชิงวิชาชีพ การสร้างการเรียนรู้จากการปฏิบัติ และการรับรองผลการปฏิบัติงานตามสมรรถนะ 3) ผลของการพัฒนารูปแบบการนิเทศทางคลินิก พบว่า การรับรู้สมรรถนะแห่งตน ความรู้ และการปฏิบัติหลังการพัฒนาระบบมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการพัฒนาระบบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 และความพึงพอใจหลังการพัฒนาระบบสูงกว่าก่อนการพัฒนาระบบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p>
แสงไทย ไตรยวงค์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
184
196
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความรู้ ทัศนคติ และทักษะในการปฏิบัติงานให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินของพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลเขาวง
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4862
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง (One group pretest–posttest design) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความรู้ ทัศนคติ และทักษะ (ทั้งด้าน technical และ non-technical skills) ในการปฏิบัติงานให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินของพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช ณ โรงพยาบาลเขาวง โดยเก็บข้อมูลระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2568 กลุ่มตัวอย่างคือพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช จำนวน 17 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน แบบประเมินความรู้ แบบประเมินทัศนคติ แบบประเมินทักษะการปฏิบัติงานให้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน และแบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลต่อโปรแกรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยก่อน–หลังเข้าร่วมโปรแกรมด้วยสถิติ t-test แบบกลุ่มตัวอย่างสัมพันธ์ (paired t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรม พยาบาลมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เพิ่มขึ้นจาก 12.5 ± 3.2 เป็น 17.3 ± 2.1 (t = 6.12, p < .001) ทัศนคติเพิ่มขึ้นจาก 49.2 ± 8.1 เป็น 63.5 ± 6.4 (t = 7.45, p < .001) และทักษะเพิ่มขึ้นจาก 11.8 ± 3.5 เป็น 18.2 ± 1.9 (t = 8.21, p < .001) โดยมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมในระดับสูงมาก (เฉลี่ย 4.41–4.71 คะแนน)</p>
สว่างศิลป์ ภูหนองโอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
197
209
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคองต่อคุณภาพชีวิตและผลลัพธ์ การดูแลที่บ้าน โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4871
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง (One-group Pretest–Posttest Design) โดยพัฒนาและนำโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคองที่บ้านมาใช้ เพื่อเสริมสร้างการดูแลอย่างมีระบบ มีการมีส่วนร่วมของครอบครัว อาสาสมัคร และเครือข่าย รพ.สต. ในชุมชน ผลการศึกษามุ่งเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตและผลลัพธ์การดูแลของผู้ป่วยก่อนและหลังการได้รับโปรแกรม เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่บ้านมีมาตรฐาน ครอบคลุม และมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายที่เข้าร่วมโปรแกรมการดูแลแบบประคับประคองที่บ้าน โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน จำนวน 50 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ (อายุมากกว่า 60 ปี ร้อยละ 54) เพศชายและหญิงใกล้เคียงกัน (ร้อยละ 50) ส่วนใหญ่มีรายได้น้อยกว่า 10,000 บาทต่อเดือน และมีคู่สมรสเป็นผู้ดูแลหลัก (ร้อยละ 66) สะท้อนให้เห็นว่าครอบครัวยังคงเป็นกำลังหลักในการดูแลผู้ป่วยในบริบทชุมชนชนบท หลังการได้รับโปรแกรมการดูแลแบบประคับประคองที่บ้าน ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) โดยเฉพาะในด้านสมรรถนะการดำเนินชีวิต การบรรเทาอาการทางกาย เช่น อาการปวด เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ และท้องผูก รวมถึงด้านอารมณ์ เช่น ความกังวลและความหงุดหงิดลดลงอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ผลลัพธ์ด้านความพึงพอใจของผู้ป่วยและครอบครัวต่อการดูแลอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในด้านความเอาใจใส่ ความเข้าใจต่อความต้องการของผู้ป่วย การสื่อสารที่ดี และความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่ (ค่าเฉลี่ย 4.0–5.0 คะแนน) ทั้งนี้ ความพึงพอใจต่อการดูแลโดยรวมอยู่ในระดับ “ดีมาก” (ค่าเฉลี่ย 9.23 จาก 10 คะแนน)</p>
พิศาล สีสถาน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
210
219
-
การพัฒนารูปแบบการควบคุมระดับน้ำตาลสะสมในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลไทยเจริญ อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4872
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลไทยเจริญ อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 15 คน และ กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 115 คน โดยมีเครื่องมือการวิจัย ได้แก่ การสนทนากลุ่ม แบบสัมภาษณ์ ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือน พฤษภาคม - ตุลาคม 2568 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ เปรียบเทียบสถิติความรู้ พฤติกรรม และค่าระดับน้ำตาลสะสมในเลือดก่อนและหลังวิจัยด้วยสถิติ paired t-test</p> <p> ผลการศึกษาการพัฒนารูปแบบการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลไทยเจริญ อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร พบว่าหลังจากผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นระยะเวลา 13 สัปดาห์ โดยมีการทดสอบความรอบรู้ การประเมินพฤติกรรมสุขภาพ และการประเมินระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ก่อนและหลังวิจัยพบว่าหลังวิจัยกลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น และมีระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c)ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<br>(p-value<0.05)</p>
ยุพาภรณ์ สุทธิประภา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
220
229
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคที่ติดสุราและสารเสพติด โรงพยาบาลกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4873
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และปัญหา พัฒนารูปแบบการดูแล และศึกษาประสิทธิผลของการดูแลผู้ป่วยวัณโรคที่ติดสุราและสารเสพติด ระหว่างเดือนมกราคม ถึง กันยายน 2568 รวมระยะเวลา 9 เดือน กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ ได้แก่ ภาคีเครือข่ายสุขภาพการดูแลผู้ป่วยวัณโรค ทีมปฏิบัติการควบคุมโรคติดต่อ (CDCU) เจ้าหน้าที่งานคลินิกวัณโรค งานยาเสพติด กลุ่มงานเวชศาสตร์ชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และญาติผู้ป่วย จำนวน 24 คน เชิงปริมาณ ได้แก่ ผู้ป่วยวัณโรคที่ติดสุราและสารเสพติด จำนวน 38 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้เรื่องวัณโรค แบบประเมินทัศนคติต่อการรักษา แบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติตน และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมานในการทดสอบก่อนหลังพัฒนาด้วยสถิติ Paired t-test สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Qualitative content analysis)</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการพัฒนารูปแบบการดูแลแบบบูรณาการประกอบด้วย 7 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1) การประชาคมหมู่บ้าน 2) การกำกับดูแลการกินยา (DOT) 3) การติดตามเยี่ยมบ้าน 4) การจัดการสิ่งแวดล้อม 5) การค้นหาผู้สัมผัส 6) การบังคับบำบัดสารเสพติด 7) การรักษาโรคร่วม ประสิทธิผลของการนำรูปแบบไปใช้พบว่า ความรู้เรื่องวัณโรคเพิ่มขึ้นจาก 5.59±2.38 เป็น 8.97±1.23 คะแนน ทัศนคติต่อการรักษาดีขึ้นจาก 31.73±4.58 เป็น 38.76±3.21 คะแนน พฤติกรรมการปฏิบัติตนดีขึ้นจาก 32.51±5.43 เป็น 40.89±4.12 คะแนน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 7.58, 7.89, 7.68 ตามลำดับ)</p>
จันทนา เชื้อผู้ดี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
230
245
-
การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนปอดอักเสบและภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมกับภาวะคีโตนคั่งในเลือด : กรณีศึกษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4874
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนปอดอักเสบและภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมกับภาวะคีโตนคั่งในเลือด โดยศึกษาในผู้ป่วยเพศชาย อายุ 49 ปี มาด้วยอาการ มีไข้ ไอ หายใจเหนื่อย 8 ชั่วโมง ก่อนมาโรงพยาบาล มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคไตเรื้อรัง ระยะ 3</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ในช่วงระยะ 1 -2 วันแรก ผู้ป่วยมีปัญหาปอดอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด ระดับน้ำตาลในเลือดสูง จนเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตนคั่ง มีภาวะโปแตสเซียมสูง ภาวะของเสียคั่งในร่างกาย ภาวะซีด ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ฉีดอินซูลินเข้าใต้ผิวหนังตามผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ยาขับโปแตสเซียม ยาเสริมธาตุเหล็ก การพยาบาลที่สำคัญ คือ การประเมินระดับความรู้สึกตัว สัญญาณชีพ ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ประเมินลักษณะการหายใจผิดปกติ ดูแลให้เนื้อเยื่อร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ดูแลให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำอย่างเพียงพอ ดูแลให้ยาปฏิชีวนะ อินซูลิน ยาขับโปแตสเซียม ตามแผนการรักษา ลดปริมาณของเสียในเลือด และดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา อาหารที่มีธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามินบี 12 ซึ่งจำเป็นในการสร้างเม็ดเลือดแดง หลังได้รับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยมีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ของเสียในเลือดและระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น แพทย์พิจารณาให้ยาเพิ่มความดันโลหิต อินซูลินทางหลอดเลือดดำ และส่งรักษาต่อโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า รวมระยะเวลารักษาตัวในโรงพยาบาล 4 วัน</p>
วชิรา บุญประเสริฐ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
246
257
-
การพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะเบาหวานก่อนตั้งครรภ์ร่วมกับการคลอดไหล่ยาก : กรณีศึกษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4875
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะเบาหวานก่อนตั้งครรภ์ร่วมกับการคลอดไหล่ยาก คัดเลือกผู้คลอดที่มีภาวะเบาหวานก่อนตั้งครรภ์ร่วมกับการคลอดไหล่ยากจำนวน 1 ราย ให้การพยาบาลตามกระบวนการพยาบาล</p> <p> ผลการศึกษา: มารดาหญิงตั้งครรภ์อายุ 22 ปี G2P1D1L0 อายุครรภ์ 39 สัปดาห์ เป็นโรคเบาหวานก่อนการตั้งครรภ์ แพทย์นัดนอนโรงพยาบาลเพื่อวางแผนการคลอด เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช วันที่ 9 ตุลาคม 2567 ระยะก่อนคลอดเสี่ยงต่อภาวะ Hyperglycemia และ ภาวะ Hypoglycemia ทารกในครรภ์เสี่ยงต่อภาวะ Fetal distress เสี่ยงต่อการเกิดภาวะคลอดยาก ระยะคลอดมีภาวะคลอดติดไหล่ 4 นาที ให้การพยาบาลเตรียมความพร้อมและช่วยเหลือในระยะคลอด บรรเทาความเจ็บปวด ให้การช่วยเหลือทารกหลังคลอด มารดาปลอดภัย ทารกได้รับการการดูแลต่อเนื่องที่หอทารกป่วย ระยะหลังคลอดป้องกันการตกเลือดหลังคลอด สอนแนะนำการบีบน้ำนมให้กับทารก วันที่ 3 หลังคลอด มารดาและทารกไม่มีภาวะแทรกซ้อน น้ำนมไหลออกดีให้นมบุตรได้เอง แพทย์อนุญาตให้มารดาหลังคลอดกลับบ้านได้พร้อมบุตร รวมระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล 3 วัน</p>
กุลริศา โพธิจักร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
258
265
-
การศึกษาชนิด ปริมาณ และสัดส่วนแหล่งกำเนิดของสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในอากาศ ภายในอาคารสำนักงานในเขตเมือง
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4839
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) แบบสำรวจภาคสนาม (Field Measurement Study) และการวิเคราะห์เชิงประยุกต์ (Applied Analytical Study) เพื่อศึกษาชนิด ปริมาณ และสัดส่วนแหล่งกำเนิดของสารอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds: VOCs) ในอากาศภายในอาคารสำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร โดยเก็บตัวอย่างอากาศจากอาคารสำนักงาน 3 แห่งที่มีลักษณะแตกต่างกัน ได้แก่ อาคารใหม่ (สำนักงาน A) อาคารเก่า (สำนักงาน B) และอาคารเก่าที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ (สำนักงาน C) ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ต่อเนื่อง 6 วัน ครอบคลุมวันทำงานและวันหยุด ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงสิงหาคม พ.ศ. 2566 การเก็บตัวอย่างและวิเคราะห์ใช้มาตรฐานของ U.S. Environmental Protection Agency (U.S. EPA) ได้แก่ Method TO-15 (Canister–Preconcentrator–GC/MS) สำหรับ VOCs ทั่วไป และ Method TO-11A (DNPH–HPLC) สำหรับสารกลุ่มคาร์บอนิล ข้อมูลที่ได้ถูกนำมาวิเคราะห์ทางสถิติด้วยแบบจำลอง Positive Matrix Factorization (PMF) เพื่อแยกและประเมินสัดส่วนแหล่งกำเนิดของ VOCs</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ความเข้มข้นรวมของ VOCs ภายในอาคารมีค่าระหว่าง 72.81–148.35 ppb ซึ่งสูงกว่าภายนอกอาคาร (33.07–76.17 ppb) อย่างมีนัยสำคัญ โดยสำนักงาน A มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (148.35 ppb) รองลงมาเป็นสำนักงาน C (118.52 ppb) และสำนักงาน B มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (72.81 ppb) สารที่ตรวจพบหลักภายในอาคารคือ Formaldehyde มีสัดส่วนสูงสุด (32–35%) รองลงมาคือ Ethanol (12–20%) ขณะที่ภายนอกอาคารพบ Ethanol มีสัดส่วนสูงสุด (24–26%) รองลงมาคือ Formaldehyde (15–20%) การวิเคราะห์แบบจำลอง PMF พบแหล่งกำเนิดหลักภายในอาคาร 3 ประเภท ได้แก่ (1) ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด (60–61% ในสำนักงาน A และ C) (2) วัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ไม้ (46% ในสำนักงาน B) และ (3) สีทาอาคารและสารยึดติด (14–26%) โดยมีความแตกต่างกันระหว่างอาคารตามลักษณะการใช้งานและอายุของอาคาร ขณะที่ภายนอกอาคารพบแหล่งกำเนิดหลักจากไอเสียยานพาหนะ (42–52%) ความเข้มข้นพื้นฐาน (16-31%) การปลดปล่อยทางชีวภาพ (13-28%) และการประกอบอาหาร (19% ในสำนักงาน C)</p>
เพลินพิศ พงษ์ประยูร
สราวุธ เทพานนท์
วรรณา เลาวกุล
ศุภนุช รสจันทร์
อรจีรียา ช่างเหล็ก
ปรียา อุ่นวิเศษ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
266
277
-
การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด : กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4876
<p> การศึกษานี้เป็นการเปรียบเทียบกรณีศึกษา 2 ราย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและนำผลการศึกษาไปพัฒนาแนวทางการดูแลให้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน โดยศึกษาในผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดที่เข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย 1 โรงพยาบาลขอนแก่น ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม - 30 กันยายน พ.ศ. 2568 จำนวน 2 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูลโดยการรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วย การสัมภาษณ์และการสังเกต ใช้การประเมินภาวะสุขภาพผู้ป่วยตามแบบประเมิน FANCAS นำมากำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล</p> <p> ผลการศึกษา ผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 1 ชายไทย รับส่งต่อจากโรงพยาบาลขอนแก่น 2 ด้วยไข้ ไอ หายใจหอบ 1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล มีประวัติโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคไต แพทย์วินิจฉัย Pneumonia with sepsis ใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ ได้รับการพยาบาลครอบคลุม 7 ปัญหา ได้แก่ 1) เสี่ยงต่อภาวะช็อกจากการติดเชื้อ 2) มีภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนเนื่องจากพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนแก๊สลดลงและภาวะซีด 3) มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด 4) เสี่ยงต่อระดับความรู้สึกตัวลดลงเนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง 5) มีภาวะไม่สมดุลของสารน้ำและอิเล็กโตรลัยต์ 6) ความสามารถในการทำกิจกรรมลดลงเนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของปอดลดลง และ 7) ผู้ป่วยและญาติวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจ็บป่วย ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน นอนโรงพยาบาล 4 วัน จำหน่ายโดยแพทย์อนุญาต ผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 2 ชายไทย รับส่งต่อจากโรงพยาบาลหนองเรือด้วยไอ หายใจหอบ 3 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล มีประวัติโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และถุงลมโป่งพอง แพทย์วินิจฉัย Pneumonia with sepsis ใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ ได้รับการพยาบาลครอบคลุม 7 ปัญหา ได้แก่ 1) เสี่ยงต่อภาวะช็อกจากการติดเชื้อ 2) มีภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนเนื่องจากพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนแก๊สลดลง 3) มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด 4) เสี่ยงต่อระดับความรู้สึกตัวลดลงเนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำและระดับน้ำตาลในเลือดสูง 5) มีภาวะไม่สมดุลของสารน้ำและอิเล็กโตรลัยต์ 6) ความสามารถในการทำกิจกรรมลดลงเนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของปอดลดลง และ 7) ผู้ป่วยและญาติวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจ็บป่วย ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง นอนโรงพยาบาล 9 วัน จำหน่ายโดยแพทย์อนุญาต</p>
เกษริน สิงห์เกิด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
278
284
-
ผลของการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยแบบมีส่วนร่วม ในศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองร่มเกล้า
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4877
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pretest–Posttest Design) เพื่อศึกษาผลของการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองร่มเกล้า อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างคือเด็กปฐมวัยอายุ 9, 18, 30, 42 และ 60 เดือน จำนวน 30 ราย พร้อมผู้ปกครองของเด็กแต่ละราย จำนวน 30 ราย และพยาบาลในศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองร่มเกล้าจำนวน 5 ราย ซึ่งคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ดำเนินการส่งเสริมพัฒนาการตามแนวทางคู่มือ DSPM ภายใต้กรอบแนวคิด Self-Determination Theory ของ Ryan และ Deci เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แบบประเมินพัฒนาการเด็ก และคู่มือ DSPM 2) แนวทางการส่งเสริมพัฒนาการเด็กแบบมีส่วนร่วม 3) แบบสอบถามพฤติกรรมการมีส่วนร่วม 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ได้แก่ ร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, McNemar’s test, Wilcoxon signed-rank test และ Chi-square test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลังเข้าร่วมโครงการ เด็กปฐมวัยมีคะแนนพัฒนาการภาพรวมและรายด้านสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโครงการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) ผู้ปกครองและพยาบาลมีพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) นอกจากนี้ผู้ปกครองมีความพึงพอใจในระดับมากถึงมากที่สุด การมีส่วนร่วมดังกล่าวส่งผลให้เกิดการบูรณาการบทบาทระหว่างครอบครัวและพยาบาลในกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการเด็กอย่างเป็นระบบ</p>
วิไลลักษณ์ ศรีราช
นิยะดา บุญอภัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
285
294
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดตรัง
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4878
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบตัดขวาง (Survey research by Cross–Sectional Study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก ตัวบุคคลกับพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดตรัง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 254 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามออนไลน์ ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคล ปัจจัยภายในและภายนอก และพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ ตรวจสอบความเที่ยงตรง เชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิได้ค่า IOC 0.87 ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบความรู้โดยวิธี KR-20 เท่ากับ 0.78 แบบสอบถามทัศนคติมีค่า Cronbach’s alpha เท่ากับ 0.89 และแบบสอบถามพฤติกรรมเท่ากับ 0.77 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ความรู้เรื่องการคุมกำเนิด ความเพียงพอของรายได้ แรงสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อน และครู การรับรู้ความสามารถในการป้องกันตนเอง และการรับรู้ความรุนแรงของการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม การป้องกันการตั้งครรภ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.01 ส่วนอายุและความสัมพันธ์กับบุคคลในครอบครัวไม่มีความสัมพันธ์ อย่างมีนัยสำคัญ ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้พัฒนาแผนงานและรูปแบบการสร้างความรอบรู้ เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นจังหวัดตรังต่อไป</p>
รัตติยา สองทิศ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
295
303
-
การพัฒนารูปแบบการบริการลดละเลิกบุหรี่แบบครบวงจรโรงพยาบาลสุโขทัย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4879
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และปัญหา พัฒนารูปแบบการบริการ และประเมินผลลัพธ์การใช้รูปแบบการบริการลดละเลิกบุหรี่แบบครบวงจร ระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 รวมระยะเวลา 8 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ภาคีเครือข่ายสุขภาพ จำนวน 15 คน และ ผู้สูบบุหรี่ที่เข้ารับบริการคลินิก จำนวน 45 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แนวทางการสนทนากลุ่ม แบบทดสอบความรู้ แบบประเมินพฤติกรรม แบบประเมินความตระหนัก และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน (Paired t-test) ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการพัฒนารูปแบบการบริการลดละเลิกบุหรี่แบบครบวงจรประกอบด้วย 8 กระบวนการหลัก ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สถานการณ์และการประชุมทีมงาน 2) การหาแนวทางการดำเนินงานร่วมกัน 3) การกำหนดกลุ่มเป้าหมายและตัวชี้วัด 4) การประกาศเป็นนโยบายโรงพยาบาล 5) การติดตามและประเมินผล 6) การแก้ไขปัญหาการคัดกรองและการเข้าถึงบริการ 7) การสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วม และ 8) การพัฒนาทีมสหวิชาชีพและระบบงาน ผลลัพธ์การนำรูปแบบไปใช้พบว่า การคัดกรองผู้รับบริการอายุ 15 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 89.80 การเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษาเพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.17 การเลิกบุหรี่ได้อย่างน้อย 6 เดือนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 33.33 คะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่องบุหรี่เพิ่มขึ้น พฤติกรรมการเลิกบุหรี่เพิ่มขึ้น ความตระหนักการเลิกบุหรี่เพิ่มขึ้น และความพึงพอใจเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t= 8.95, 6.74, 10.58, 12.45 ตามลำดับ)</p>
เกษนภา กิ่งก้าน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
304
315
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสุวรรณภูมิ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4901
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ( Action Research ) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัญหาการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียและประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียที่พัฒนาขึ้น กลุ่มประชากรที่ศึกษาประกอบด้วย ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลของผู้ป่วยเด็กธาลัสซีเมียที่มารับบริการที่คลินิกเด็กธาลัสซีเมีย แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสุวรรณภูมิ ที่ผ่านเกณฑ์คัดเข้า และคัดออก จำนวน 35 ราย เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567- 30 กันยายน 2568 และพยาบาลวิชาชีพที่มีอายุงานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปที่ปฏิบัติงานในคลินิกเด็กธาลัสซีเมีย แผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลสุวรรณภูมิ ในช่วงเวลาที่ทำการศึกษาจำนวน 14 ราย รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบวัดคุณภาพของเด็กชีวิต 4 มิติ ที่พัฒนามาจาก แบบประเมินของ KINDLR โดยเน้นวัดคุณภาพชีวิตของเด็กและวัยรุ่นทั้งจากมุมมองของเด็กเอง (self-report) และผู้ปกครอง (proxy-report) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ปกครองหรือผู้ดูแล และ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในคลินิคเด็กธาลัสซีเมีย วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้วยสถิติ Paired sample t-test</p> <p> ผลการวิจัย : การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมีย ประกอบด้วย ขั้นตอนการประเมินผู้ป่วย การดูแลรักษา และการวางแผนจำหน่าย โดยใช้แนวทางการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียที่ปรับปรุงขึ้นโดยผู้วิจัยและทีมสหสาขาวิชาชีพ และสมุดประจำตัวสำหรับผู้ป่วยและผู้ปกครองที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น หลังการพัฒนาพบว่า คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเด็กดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกด้าน (p < 0.01) ความพึงพอใจของผู้ปกครองผู้ดูแลและผู้ป่วยเด็กหลังการพัฒนาอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย = 4.41, SD = 0.51) อุบัติการณ์การ re-admit ลดลง และไม่มีภาวะแทรกช้อนที่รุนแรงในกลุ่มเด็กป่วยด้วยธาลัสซีเมีย ภาพรวมความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้รูปแบบดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียหลังการพัฒนาอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย = 4.34, SD = 0.47)</p> <p> สรุปและข้อเสนอแนะ : การใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียแผนกผู้ป่วยนอกที่พัฒนาขึ้นส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเด็กดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกด้าน (p < 0.01) โดยผู้ป่วยทุกรายมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเฉลี่ยโดยรวมทุกด้านที่ 89.3% ความพึงพอใจของผู้ปกครองและพยาบาลประจำคลินิกอยู่ในระดับสูง</p>
สัมฤทธิ์ มังสระคู
เอมอร ทาระคำ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
316
325
-
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคม ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับของกลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งตับ ในตำบลตลาดไทร อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4829
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลังการทดลอง ใน 5 ประเด็นหลัก คือ ความรู้เกี่ยวกับโรคพยาธิใบไม้ตับ การประเมินอันตรายต่อสุขภาพ การประเมินการเผชิญปัญหา การปฏิบัติเพื่อป้องกันโรค และแรงสนับสนุนทางสังคม การวิจัยเป็นแบบกึ่งทดลองสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกโดยการสุ่มแบบสองขั้น จำนวน 100 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 50 คน และกลุ่มเปรียบเทียบ 50 คน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบสอบถาม 7 ส่วน และโปรแกรมสุขศึกษา 3 กิจกรรมตามทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค (Protection Motivation Theory: PMT) ร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน (Paired t-test และ Independent t-test) กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p < 0.05</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกตัวแปร (p<0.05) โดยความรู้เกี่ยวกับโรคพยาธิใบไม้ตับเพิ่มขึ้นสูงสุด (5.16 คะแนน, p<0.001) ตามด้วยแรงสนับสนุนทางสังคม (12.47 คะแนน) การรับรู้โอกาสเสี่ยง (3.53 คะแนน) การปฏิบัติเพื่อป้องกันโรค (2.70 คะแนน) และการรับรู้ความรุนแรง (2.60 คะแนน) เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่ากลุ่มทดลองมีการเปลี่ยนแปลงสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติใน 5 ตัวแปร ได้แก่ แรงสนับสนุนทางสังคม (ผลต่าง 8.09 คะแนน) ความรู้เกี่ยวกับโรคพยาธิใบไม้ตับ (ผลต่าง 4.31 คะแนน) การรับรู้ความรุนแรงของโรค (ผลต่าง 3.03 คะแนน) การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค (ผลต่าง 1.95 คะแนน) และการปฏิบัติเพื่อป้องกันโรค (ผลต่าง 1.38 คะแนน) ผลการตรวจอุจจาระหาไข่พยาธิใบไม้ตับหลังการทดลองพบว่าทั้งสองกลุ่มไม่พบผู้ติดเชื้อ</p>
สุวัฒน์ เขียนสันเทียะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
326
336
-
การพัฒนารูปแบบการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแบบบูรณาการโดยใช้กลไก พื้นที่ในจังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4904
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแบบบูรณาการโดยใช้กลไกพื้นที่ในจังหวัดศรีสะเกษ โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis และ McTaggart ประกอบด้วย 3 ระยะ ได้แก่ การวางแผน การปฏิบัติและสังเกตการณ์ และการสะท้อนผล กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยประชาชนในพื้นที่นำร่อง 400 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 50 คน และการสังเกตพฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัย 1,000 คัน ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2567 ถึงกันยายน 2568 การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปและข้อมูลพื้นฐาน ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน และค่าพิสัย และใช้สถิติเชิงอนุมานใช้ทดสอบสมมติฐานการวิจัย โดยใช้ Paired t-test, Chi-square Test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า “รูปแบบด่านชุมชนปากหวาน” สามารถเพิ่มอัตราการสวมหมวกนิรภัยของผู้ขับขี่จากร้อยละ 45.2 เป็นร้อยละ 78.9 และของผู้โดยสารจากร้อยละ 32.6 เป็นร้อยละ 65.4 รวมทั้งลดจำนวนอุบัติเหตุจาก 28 ครั้งเหลือ 15 ครั้งต่อ 6 เดือน และลดผู้เสียชีวิตจาก 9 คนเหลือ 3 คน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) นอกจากนี้ยังพบการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกด้านความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมความปลอดภัยทางถนนของประชาชนความสำเร็จของรูปแบบเกิดจากการบูรณาการองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ การสื่อสารเชิงบวกที่เหมาะสมกับวัฒนธรรม การมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง การพัฒนาอาสาสมัครอย่างเป็นระบบ การประสานงานระหว่างหน่วยงานผ่านกลไก ศปถ. และการติดตามประเมินผลต่อเนื่อง การประเมินความยั่งยืนพบว่าอาสาสมัครคงอยู่ร้อยละ 91 และมีความพึงพอใจสูง</p>
ธีรบูลย์ รัชตะวิมลรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
337
351
-
การพัฒนาการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลเรื่องไตในชุมชน อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4905
<p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (<strong>Action Research) </strong>วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาการใช้ยาในกลุ่มผู้ป่วยไตและกลุ่มเสี่ยง<strong>, </strong>การใช้สติ๊กเกอร์สี“รู้ไต”<strong>, </strong>ปัญหาการใช้ยาในผู้ป่วยที่มารับการรักษาในโรงพยาบาลและเยี่ยมบ้าน ความรอบรู้ด้านยาอย่างสมเหตุผลเรื่องไตในชุมชน การศึกษา แบ่งเป็น <strong>6 </strong>ระยะ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยไตและกลุ่มเสี่ยงที่มารับบริการในคลินิก <strong>NCD </strong>โรงพยาบาลสมเด็จ ที่มารับบริการระหว่างวันที่ <strong>1 </strong>กันยายน – <strong>30 </strong>กันยายน <strong>2568 </strong>วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (<strong>Descriptive statistics)</strong></p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาการใช้ยาในผู้ป่วยไตและกลุ่มเสี่ยง 51 ราย ส่วนใหญ่ไม่รู้ค่าไตว่าอยู่ระยะใด แต่รับรู้ว่าค่าไตดี/ไม่ดีร้อยละ 74.50, การควบคุมอาหารป้องกันไตร้อยละ 15.68,การดื่มน้ำตามระยะไตร้อยละ 56.86, กินยาอื่นร่วมด้วย ร้อยละ 15.69 และการใช้ยาแก้ปวด, ยาชุดและยาสมุนไพรมีผลต่อไตร้อยละ 62.74 การศึกษาการใช้สติ๊กเกอร์สี<strong>“</strong>รู้ไต<strong>”</strong>ในผู้ป่วยโรคไต 112 ราย พบว่า มี eGFRเฉลี่ย 46.59± 8.79 ml/min/1.73 m<sup>2</sup> เป็นผู้ป่วยไตระยะ 3a,3b และ 4 จำนวน 84, 24 และ 4 ราย ตามลำดับ รับรู้ว่าค่าไตดี/ไม่ดีร้อยละ 46.43, การปรับพฤติกรรมสามารถชะลอไตเสื่อมร้อยละ 21.43<strong>,</strong> ปรับอาหารป้องกันไตเสื่อมร้อยละ 53.57, ดื่มน้ำที่เหมาะสมตามระยะไต ร้อยละ 35.71 และข้อห้ามใช้ยาแก้ปวด, ยาชุดและยาสมุนไพรในผู้ป่วยไตร้อยละ 25.00 หลังให้ความรู้พบว่า ผู้ป่วยรู้เรื่องไตมากขึ้น ส่วนการศึกษาปัญหาการใช้ยาไม่เหมาะสมในผู้ป่วยที่มารับการรักษาในโรงพยาบาล พบว่า มี 6 ครั้ง ได้แก่ NSAIDs ทำให้เกิด AKI 2 ครั้ง, ยาชุด ทำให้เกิด AKI และHepatitis อย่างละ 1 ครั้ง, สมุนไพรทำให้เกิด AKI 1 ครั้ง และแพ้ยาจากยาต้านจุลชีพ 1 ครั้ง และการใช้ยาไม่เหมาะสมในผู้ป่วยเยี่ยมบ้าน มี 5 ครั้ง ได้แก่ ผู้ป่วยซื้อยาชุด 2 ราย และผู้ป่วย stroke ซื้ออาหารเสริม 3 ราย ส่วนความรอบรู้ด้านยาเรื่องไตในชุมชน ให้ความรู้ อสม. 18 ราย พบว่า ความรู้เกี่ยวกับโรคไตเรื้อรัง ก่อนและหลังให้ความรู้ได้คะแนนเฉลี่ย 80.26±2.12 และ 90.79±2.12 ตามลำดับ แล้วนำมาสอบถามในชุมชน 85 ราย พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีความรอบรู้เฉลี่ย 85.44±10.79 แบ่งเป็น ความรอบรู้เรื่องการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพร้อยละ 78, ทักษะการสื่อสารร้อยละ 64.29, ทักษะการตัดสินใจร้อยละ 73.24, การรู้เท่าทันสื่อร้อยละ 82.7 และการจัดการตนเอง ร้อยละ 84.35</p>
ภัทราพร ภูลิ้นลาย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
352
360
-
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเชิงบูรณาการแบบผสมผสานกับ การพยาบาลทางไกล (Tele Nursing) โรงพยาบาลทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4906
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเชิงบูรณาการแบบผสมผสานกับการพยาบาลทางไกล (Tele Nursing) โรงพยาบาลทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2568 ถึงกันยายน พ.ศ. 2568 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ทีมสหสาขาวิชาชีพ จำนวน 18 คน และผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จำนวน 116 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 58 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แนวคำถามการสนทนากลุ่ม แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้เรื่องโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเอง แบบประเมินคุณภาพชีวิต แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบเก็บข้อมูลผลลัพธ์ทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์เนื้อหา และการทดสอบก่อน-หลังการใช้รูปแบบด้วยสถิติ Paired t-test และ Independent t-test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า การพัฒนารูปแบบการพยาบาล ประกอบด้วย 14 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ หลักการและแนวคิด องค์ประกอบของรูปแบบ ขั้นตอนการคัดกรองและรับเข้า ขั้นตอนการวางแผนการดูแล การดูแลที่โรงพยาบาล การพยาบาลทางไกล การเยี่ยมบ้าน การจัดการยาและการใช้ยาพ่น การจัดการอาการกำเริบ การส่งเสริมการออกกำลังกายและการฟื้นฟู การดูแลด้านโภชนาการ ระบบการประสานงานและการสื่อสาร การติดตามประเมินผลและการปรับปรุง และข้อกำหนดการนำไปใช้และความยั่งยืน ประสิทธิผลของรูปแบบการพยาบาลพบว่า ความรู้เรื่องโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลางเป็นระดับดี พฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลางเป็นระดับมาก คุณภาพชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลางเป็นระดับดี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (t = 12.45, 15.28, 18.92 ตามลำดับ) ผลลัพธ์ทางคลินิกดีขึ้นในทุกตัวชี้วัด โดยอัตราการ Re-visit ที่ห้องฉุกเฉินลดลงจาก 254 เป็น 178 ครั้งต่อ 100 อัตราการ Re-admit ใน 28 วันลดลงจาก 40 เป็น 28 ครั้งต่อ 100 ผู้ป่วย ร้อยละการใช้ยาพ่นอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 61.58 เป็น ร้อยละ 87.25 และจำนวนวันเข้ารับการรักษาเฉลี่ยลดลงจาก 5.80 เป็น 4.20 วันต่อราย</p>
เกศินี จันทร์สุริยา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
361
367
-
ผลของการใช้โปรแกรมเสริมพลังอำนาจต่อภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ โรงพยาบาลแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4907
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองเบื้องต้น (Pre-Experimental Research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง (One-Group Pretest-Posttest Design) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเสริมพลังอำนาจต่อภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ โรงพยาบาลแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา โดยทำการศึกษาเป็นระยะเวลา 8 เดือน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - กันยายน 2567 กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้สูงอายุที่ได้รับการวินิจฉัยโรคซึมเศร้า จำนวน 30 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป 2) แบบวัดภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทย (TGDS) 3) แบบประเมินความพึงพอใจต่อโปรแกรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และเปรียบเทียบก่อน-หลังด้วยสถิติ Paired t-test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า โปรแกรมเสริมพลังอำนาจที่พัฒนาตามแนวคิดของ Gibson มีประสิทธิภาพในการลดภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ โดยดำเนินกิจกรรมเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 2-3 ชั่วโมง ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก คือ การค้นพบสถานการณ์จริง (สัปดาห์ที่ 1-2) การสะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณ (สัปดาห์ที่ 3-4) การตัดสินใจและลงมือปฏิบัติ (สัปดาห์ที่ 5-6) และการคงไว้ซึ่งการปฏิบัติที่มีคุณค่า (สัปดาห์ที่ 7-8) โดยใช้กิจกรรมที่หลากหลาย ได้แก่ กิจกรรมกลุ่ม การให้ความรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การชมวิดีทัศน์ การเยี่ยมบ้าน และการติดตามอย่างต่อเนื่อง จากการประเมินผลพบว่า คะแนนภาวะซึมเศร้าลดลงจาก 16.53±4.81 คะแนน เป็น 7.10±2.29 คะแนน โดยมีผลต่างค่าเฉลี่ย 9.43 คะแนน จากการทดสอบทางสถิติพบว่าเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (t=13.36, 95%CI=7.97-10.89, p<0.001) ผู้สูงอายุร้อยละ 96.67 กลับสู่ภาวะปกติ ความพึงพอใจต่อโปรแกรมอยู่ในระดับมาก (4.65±0.25 คะแนน)</p>
วิภารัตน์ ลครพล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
368
382
-
การพยาบาลผู้ป่วยปอดอักเสบติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพร่วมกับภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน : กรณีศึกษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4912
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยปอดอักเสบติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพร่วมกับภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ผู้ป่วยชายไทย อายุ 55 ปี อาชีพรับจ้าง มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง มารับการรักษาที่โรงพยาบาลวันที่ 17 เมษายน 2567 ด้วยอาการเหนื่อยหอบเฉียบพลันภายหลังมีอาการไข้ น้ำมูก ไอต่อเนื่องมาหนึ่งสัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษา ตรวจพบการติดเชื้อในปอดจากเชื้อ E.coli ESCR ร่วมกับภาพเอกซเรย์แสดงลักษณะ Infiltration ทั้งสองข้างของปอด ผลทางห้องปฏิบัติการพบภาวะเม็ดเลือดแดงต่ำ และมีภาวะ Hypokalemia ร่วมด้วย ปัญการพยาบาลที่สำคัญ ได้แก่ ภาวะการหายใจบกพร่อง ความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยา ภาวะโภชนาการไม่เพียงพอ อาการไม่สุขสบายจากไข้ ความสามารถในการทำกิจวัตรลดลง ความวิตกกังวลของผู้ป่วยและครอบครัว และการขาดความรู้ในการดูแลตนเองเมื่อกลับบ้าน แนวทางการพยาบาลเน้นการดูแลระบบทางเดินหายใจ การให้ยาปฏิชีวนะ Meropenem ตามผลเพาะเชื้อ การจัดการสารน้ำและสารอาหาร การลดไข้ การดูแลกิจวัตรประจำวัน การฟื้นฟูสภาพร่างกาย และการเตรียมความพร้อมก่อนจำหน่ายโดยใช้หลัก D-METHOD ร่วมกับการให้คำแนะนำแก่ผู้ดูแลและประสานงานการส่งต่อชุมชน หลังการรักษา 3 วัน ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หายใจดีขึ้น ไม่มีไข้ รับประทานอาหารได้ ตรวจติดตามทางห้องปฏิบัติการและเอกซเรย์ทรวงอกพบแนวโน้มการฟื้นตัวดี ได้รับการวางแผนจำหน่ายพร้อมติดตามอาการต่อเนื่อง ผู้ป่วยและญาติเข้าใจแนวทางการดูแลตนเองที่บ้าน รวมรักษาตัวในโรงพยาบาลนาน 3 วัน</p>
ศิริยา ปิ่นสันเทียะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
420
427
-
การพยาบาลผู้ป่วยปอดติดเชื้อร่วมกับภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและทางเดินปัสสาวะ : กรณีศึกษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4914
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยปอดติดเชื้อร่วมกับภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและทางเดินปัสสาวะ เป็นการนำเสนอกรณีศึกษาผู้ป่วยชายไทยอายุ 83 ปี เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการไอ แน่นหน้าอก และหายใจลำบาก ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โรคปอดอักเสบ (Pneumonia) ร่วมกับภาวะ ติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) และ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection: UTI) โดยผู้ป่วยมีประวัติป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพอง (COPD) และมีภาวะสารน้ำและเกลือแร่ผิดปกติ</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า การพยาบาลมุ่งเน้นดูแลด้านการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอด การป้องกันภาวะช็อกจากการติดเชื้อ การลดไข้ การดูแลภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ และให้การสนับสนุนจิตใจแก่ผู้ป่วยและญาติ โดยมีการติดตามประเมินอาการอย่างต่อเนื่องและการพยาบาลที่เน้นการดูแลแบบองค์รวม ผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษาได้ดี อาการเหนื่อยลดลง ไข้ลดลง ค่าเลือดและเกลือแร่กลับเข้าสู่เกณฑ์ปกติ ระยะเวลารักษาในโรงพยาบาล 5 วัน ก่อนจำหน่ายกลับบ้านพร้อมนัดติดตามอาการ</p>
ศศิธร ยศศักดิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
428
437
-
การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่มีภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว : กรณีศึกษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4915
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่มีภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว โดยศึกษาในผู้ป่วยชายไทย อายุ 73 ปี เข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช ด้วยอาการเวียนศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ และอ่อนเพลียเป็นเวลา 2 วัน มีประวัติแขนขาซ้ายชาและอ่อนแรงเป็นระยะสั้น ๆ ซ้ำสองครั้งก่อนมาโรงพยาบาล ร่วมกับภาวะความดันโลหิตสูงและระดับน้ำตาลในเลือดสูง</p> <p> ผลการศึกษา: จากผลตรวจพบความผิดปกติของสมองจากภาพถ่าย CT Brain ซึ่งพบรอยโรคสมองเก่าหลายตำแหน่ง และมีความเสี่ยงต่อภาวะสมองขาดเลือดซ้ำ การวินิจฉัยหลัก คือ Transient Ischemic Attack (TIA) ร่วมกับ Hypertension และ Hyperglycemia ผู้ป่วยมีประวัติเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่ขาดการรักษาต่อเนื่อง ไม่รับประทานยา และมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การดื่มสุราและสูบบุหรี่ แรกรับมีความวิตกกังวลสูง อาการเวียนศีรษะมาก การพยาบาลจึงมุ่งเน้นการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดสมองและระดับน้ำตาลสูง ร่วมกับการจัดลำดับตรวจเร็ว ให้การประเมินสัญญาณชีพและระบบประสาทอย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 15-17 ธันวาคม 2566 อาการทั่วไปดีขึ้น ไม่มีอาการแขนขาอ่อนแรงอีก และอาการเวียนศีรษะลดลง จึงจำหน่ายกลับบ้าน พร้อมแผนการดูแลตนเองที่บ้าน เช่น การรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย การติดตามผลการรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำ</p>
ขณัฏฐา โกวิทยากร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
438
446
-
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบที่มีภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน : กรณีศึกษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4916
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบที่มีภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ศึกษาในผู้ป่วยเด็กชายไทยอายุ 1 ปี เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลวันที่ 4 พฤษภาคม 2568 อาการสำคัญ ไข้ ไอ หายใจเหนื่อยหอบ 1 วันก่อนมาโรงพยาบาล ขณะดูแลผู้ป่วยมีภาวะพร่องออกซิเจน</p> <p> ผลการศึกษา: ดูแลบำบัดด้วยออกซิเจนอัตราการไหลสูง ให้ยาปฏิชีวนะ และให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ รวมถึงการให้ข้อมูลกับผู้ปกครอง ผู้ป่วยได้รับการบำบัดด้วยออกซิเจน 10 วัน ร่วมกับการทำกายภาพบำบัด เคาะปอด ดูดเสมหะลดการติดเชื้อ และเปลี่ยนให้ออกซิเจนทางหน้ากาก ได้ให้ความรู้และฝึกทักษะแก่ญาติในการดูแลผู้ป่วย ปฏิบัติได้ถูกต้อง จนอาการผู้ป่วยดีขึ้นตามลำดับ จำหน่ายกลับบ้านวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 รวมเวลารักษาตัวในโรงพยาบาล 11 วัน</p>
พัชรี บำเพ็ญทาน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
447
456
-
การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำร่วมกับไตวายระยะสุดท้ายที่ได้รับการล้างไตทางหน้าท้อง : กรณีศึกษา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4917
<p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำร่วมกับไตวายระยะสุดท้ายที่ได้รับการล้างไตทางหน้าท้อง ศึกษาในผู้ป่วยชายไทยอายุ 63 ปี มีโรคประจำตัวหลายโรค ได้แก่ เบาหวานชนิดที่ 2 (30 ปี), ความดันโลหิตสูง (10 ปี), และไตวายเรื้อรังระยะที่ 5 (3 ปี) โดยได้รับการล้างไตทางหน้าท้องเป็นเวลา 1 ปี เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากมีอาการซึม เวียนศีรษะ คล้ายหน้ามืดก่อนมาโรงพยาบาล 30 นาที</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า แพทย์วินิจฉัยว่าเกิดภาวะโคม่าจากน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemic coma) ร่วมกับภาวะติดเชื้อ พยาบาลได้ดำเนินการพยาบาลตามกระบวนการดูแลอย่างต่อเนื่องในแต่ละระยะของการรักษา ได้แก่ ระยะก่อนตรวจ ขณะตรวจ หลังตรวจ ติดตามเยี่ยม และก่อนจำหน่าย โดยเน้นการประเมินสภาพผู้ป่วยอย่างครอบคลุมตามแบบแผนของกอร์ดอน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม พร้อมทั้งเน้นการฟื้นฟูความรู้เกี่ยวกับโรค การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต การพยาบาลครอบคลุมการแก้ไขภาวะน้ำตาลต่ำ การป้องกันการเกิดซ้ำ การดูแลภาวะติดเชื้อบริเวณข้อเข่าและทางเดินสาย Tenckhoff ตลอดจนการเตรียมความพร้อมก่อนกลับบ้านตามหลัก DMETHOD เพื่อป้องกันการกลับมารักษาซ้ำ (Re-admission) นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุนด้านจิตใจแก่ผู้ป่วยและครอบครัว</p>
กุลรภัส เสนาวัตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
457
464
-
การพัฒนาโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวด เพื่อเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบ คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลองครักษ์ จังหวัดนครนายก
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4918
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวด เพื่อเข้าสู่โรคเบาหวานระยะสงบ ที่คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลองครักษ์ จังหวัดนครนายก โดยดำเนินการศึกษาระหว่างเดือนมกราคม -กันยายน 2568 รวม 9 เดือน กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพในขั้นตอนพัฒนาโปรแกรม ประกอบด้วย บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวม 15 คน กลุ่มตัวอย่างในขั้นตอนประเมินผลโปรแกรม ได้แก่ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 39 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แนวทางการสนทนากลุ่ม แบบประเมินความรู้เรื่องโรคเบาหวาน แบบประเมินทัศนคติ แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเอง และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน (Paired t-test) ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวดประกอบด้วย 8 กระบวนการหลัก ได้แก่ การพัฒนาระบบการดูแลแบบเชิงรุก การสร้างทีมสหวิชาชีพ การให้ความรู้เชิงลึกเรื่องโรคเบาหวานระยะสงบ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบมีระบบ การใช้เทคโนโลยีสนับสนุน การสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ป่วย การพัฒนาแผนอาหารเฉพาะเจาะจง และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง หลังการใช้โปรแกรม พบว่า ระดับ HbA1c ลดลงจาก 7.8 ± 1.2% เป็น 6.2 ± 0.8% น้ำหนักตัวลดลงเฉลี่ย 6.40 กิโลกรัม ดัชนีมวลกายลดลงจาก 27.4 ± 3.1 เป็น 24.8 ± 2.6 กิโลกรัม/ตารางเมตร คะแนนความรู้เพิ่มขึ้นจาก 12.68 ± 2.15 เป็น 15.82 ± 1.28 คะแนน พฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้นจาก 38.97 ± 12.17 เป็น 65.32 ± 10.68 คะแนน และคะแนนทัศนคติเพิ่มขึ้นจาก 32.60 ± 3.85 เป็น 34.68 ± 2.21 คะแนน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (t= 8.92, 12.85, 3.47 ตามลำดับ) ระบบที่พัฒนาขึ้นช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถเข้าสู่ระยะสงบและมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมในระดับมาก (39.71 ± 5.70 คะแนน)</p>
จริยา มูลมะณี
เนาวรัตน์ อาหมัด
ภาสวิชญ์ เรืองปานกัน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
465
475
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองต่อเนื่องจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน โรงพยาบาลกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4919
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองต่อเนื่องจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน ระหว่างเดือนตุลาคม 2567 ถึงกันยายน 2568 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ จำนวน 34 ราย เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แนวทางสนทนากลุ่ม แบบประเมินความรู้ แบบประเมินคุณภาพการดูแล แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบประเมินผลการดำเนินงาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Paired t-test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบการดูแลที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การประเมินและวางแผนการดูแลแบบองค์รวม การพัฒนาทีมสหวิชาชีพและเครือข่ายการดูแล การสร้างระบบการดูแลต่อเนื่องแบบไร้รอยต่อ การเสริมสร้างศักยภาพครอบครัวและชุมชน การจัดการอาการและยาอย่างมีประสิทธิภาพ และการติดตามประเมินผลและปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลพบว่า ความรู้เกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคองของพยาบาลวิชาชีพเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 69.17 เป็น ร้อยละ 90.83 คุณภาพการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลาง (68.42±12.34 คะแนน) เป็นระดับมาก (103.58±8.67 คะแนน) ความพึงพอใจของผู้ป่วยและครอบครัวเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลาง (52.35±9.87 คะแนน) เป็นระดับมาก (83.50±6.42 คะแนน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (t = 15.68, 23.47, 18.92 ตามลำดับ) การปรับปรุงตัวชี้วัดการดำเนินงานพบว่า ร้อยละการส่งต่อและติดตามดูแลต่อเนื่องเพิ่มขึ้นจาก 29.4 เป็น 88.2 ร้อยละผู้ป่วยที่ได้รับ Family Meeting/Advance Care Plan เพิ่มขึ้นจาก 38.2 เป็น 91.2 และร้อยละการเสียชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีเพิ่มขึ้นจาก 70.6 เป็น 91.2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสมของรูปแบบในระดับสูง (ร้อยละ 82.89)</p>
ฐณัชชา ต้นประสงค์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
476
481
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ที่มารับบริการที่คลินิกความดันโลหิตสูงของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวิหารขาว อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4924
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2567-กันยายน 2568 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ จำนวน 62 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 31 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ 10 สัปดาห์ ครอบคลุม 5 องค์ประกอบหลัก แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเอง และแบบบันทึกข้อมูลทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา Paired t-test และ Independent t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพมีประสิทธิผลอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่มทดลองมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลาง (103.2±18.6 คะแนน) เป็นระดับสูง (151.7±12.4 คะแนน) พฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลาง (2.95±0.58 คะแนน) เป็นระดับมาก (4.17±0.43 คะแนน) และอัตราการควบคุมความดันโลหิตเพิ่มขึ้นจาก 0% เป็น 87.1% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 การเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มควบคุมในทุกตัวแปรอย่างมีนัยสำคัญ ผู้เข้าร่วมมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมในระดับมาก (4.42±0.37 คะแนน)</p>
วรัญญา วิทยา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
503
507
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลแบบประคับประคองในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย โรงพยาบาลโคกสำโรง
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4927
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (2) พัฒนารูปแบบการดูแลแบบประคับประคองในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย โรงพยาบาลโคกสำโรง และ (3) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลดังกล่าว การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการ ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์สถานการณ์โดยการสนทนากลุ่มทีมผู้ให้บริการและการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ดูแลผู้ป่วย ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบโดยการจัดทำร่าง ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC=0.82) ทดลองใช้และปรับปรุงให้สมบูรณ์ และระยะที่ 3 การประเมินผลรูปแบบ โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย 32 คน และผู้ดูแล 32 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินผลลัพธ์การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care Outcome Scale: POS) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ดูแล และแบบสอบถามความพึงพอใจของทีมผู้ให้บริการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบค่าทีแบบจับคู่ (Paired t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการดูแลแบบประคับประคองที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) การวางแผนดูแลรักษาตนเองล่วงหน้า (Advance Care Planning) (2) การดูแลประคับประคองแบบองค์รวมตามแนวคิด “LIFESS” และ (3) การจัดการดูแลในวันสุดท้ายของชีวิต หลังการใช้รูปแบบ พบว่าค่าคะแนนผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง (POS) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) สะท้อนว่าผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมานลดลงและได้รับการดูแลที่เหมาะสม ความพึงพอใจของผู้ดูแลอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.08, SD = 0.108) และความพึงพอใจของทีมผู้ให้บริการอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.48, SD = 0.239)</p>
จิระมารถ กระเป๋าทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
517
525
-
การพัฒนารูปแบบการควบคุมป้องกันโรคเบาหวานแบบบูรณาการในตำบลหนองฮาง อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4882
<p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนารูปแบบการควบคุมป้องกันโรคเบาหวานแบบบูรณาการในตำบลหนองฮาง อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ มุ่งเน้นให้เกิดการส่งเสริมและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ด้วยระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิและการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลหนองฮาง อำเภอเบญจลักษ์จังหวัดศรีสะเกษ ดำเนินการในช่วงเดือนมีนาคม 2568 - กันยายน 2568 ผู้ร่วมวิจัยประกอบด้วยกลุ่มเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และภาคีเครือข่ายในชุมชน จำนวน 50 คน และกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน จำนวน 50 คน ดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และสะท้อนผลการปฏิบัติ จำนวน 2 วงรอบ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพแบบอุปนัย การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าเฉลี่ย ค่าสถิติ pair t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่ารูปแบบการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ด้วยระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิและการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลหนองฮาง อำเภอเบญจลักษ์จังหวัดศรีสะเกษคือ NONGHANG Model ได้แก่ 1) Networking for Health Alliance: การสร้างเครือข่ายสุขภาพ การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในชุมชน ในการร่วมวิเคราะห์ วางแผน และจัดให้มีรูปแบบการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยง 2) Observation & Outreach: การเฝ้าระวังและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยมีนโยบายการขับเคลื่อนและการดำเนินงานเป็นแนวทางเดียวกัน 3) Nutrition & Lifestyle Modification: การส่งเสริมโภชนาการและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ปฏิบัติยอมรับและเต็มใจ 4) Guideline-based Care: การดูแลตามแนวทางมาตรฐาน 5) Health Literacy & Empowerment: การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพดี ไม่มีโรคภัย การเพิ่มศักยภาพในการดูแลตนเองให้ประชาชนพฤติกรรมสุขภาพที่ดี 6) Active Community Participation: การมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างเข้มแข็ง ส่งเสริมให้ชุมชนมีบทบาทเป็นเจ้าของปัญหา 7) New Innovation & Sustainability: นวัตกรรมสุขภาพและความยั่งยืน ใช้นวัตกรรม จากผลการวิจัยพบว่ากลุ่มเสี่ยงโรคความเบาหวานมีการรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้โอกาสเสี่ยง ความคาดหวังในความสามารถแห่งตน ความคาดหวังในประสิทธิผลของการปฏิบัติตัว หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
กุณธีรา คำนึง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
526
536
-
การพัฒนารูปแบบการป้องกันการฆ่าตัวตายในกลุ่มวัยเรียนโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย กรณีศึกษาอำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4886
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันการฆ่าตัวตายในกลุ่มวัยเรียนโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย และศึกษาผลการใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น ดำเนินการตามกระบวนการ PAOR กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 220 คน ในโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่ง ในพื้นที่อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แนวทางการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างสำหรับการสนทนากลุ่ม แนวทางการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างสำหรับการสนทนากลุ่ม แบบสอบถามความรู้และทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย และแบบคัดกรองภาวะซึมเศร้าในเด็กด้วยแบบประเมิน Children's Depression Inventory (CDI) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Paired sample t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ก่อนการพัฒนารูปแบบ นักเรียนส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตายในระดับปานกลาง ร้อยละ 58.2 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 10.51, S.D. = 2.31) มีทัศนคติที่ถูกต้องในระดับสูง ร้อยละ 70.0 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 1.35, S.D. = 0.28) และมีภาวะซึมเศร้าที่มีนัยสำคัญทางคลินิก ร้อยละ 6.8 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 12.84, S.D. = 8.73) รูปแบบการป้องกันการฆ่าตัวตายที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) ระบบการป้องกัน 2 ระดับตามความเสี่ยง (2) โครงสร้างภาคีเครือข่าย (3) ระบบการคัดกรองและติดตาม (4) ระบบการจัดการวิกฤต โดยมีกิจกรรมหลัก 5 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมชั่วโมงแนะแนว "รู้ใจ วัยใส", เครือข่าย "เพื่อนช่วยเพื่อน", การให้ความรู้โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข, คลินิกสุขภาพจิตเคลื่อนที่ และการพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากร หลังการใช้รูปแบบ พบว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นเป็นระดับสูง ร้อยละ 76.4 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 12.24, S.D. = 1.87) มีทัศนคติที่ถูกต้องเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 88.2 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 1.47, S.D. = 0.23) และภาวะซึมเศร้าทางคลินิกลดลงเหลือร้อยละ 3.6 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 10.22, S.D. = 5.31) โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p < 0.001) นักเรียนที่มีภาวะซึมเศร้าทางคลินิกทั้งหมดได้รับการส่งต่อไปยังจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ร้อยละ 100</p>
รวิษฎา หิรัญภัทรภากุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
537
549
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ในผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4890
<p> การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมและเพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารของผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Designs) ทำศึกษาระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนเมษายน 2568 การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยคำนวณจากค่าขนาดอิทธิพลของการวิจัยแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง จำนวน 64 ราย วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป ด้วยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ก่อนและหลังในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ใช้สถิติ Pair t-test และเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยวิเคราะห์เปรียบเทียบทั้งก่อนและหลังการได้รับโปรแกรม ใช้สถิติ Independent-test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า โปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารของผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ระยะเวลา 8 สัปดาห์ ประกอบด้วยกิจกรรมอาหารคือชีวิต กิจกรรมห้องเรียนอาหารแบบท้องถิ่น กิจกรรมนักสืบฉลาก&โซเดียม กิจกรรมเมนูสองโลก กิจกรรมสมุดบันทึกสองมิติ กิจกรรมปรับตำรับ ปรับตำนาน และสูตรอาหารบรรพชนสู่คนรุ่นหลัง คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ภายหลังได้รับโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหาร สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) และคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงที่ ภายหลังได้รับโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001)</p>
ปาริฉัตร น้อยนาฎ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
550
559
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสันหลังแบบบูรณาการ ห้องผ่าตัด โรงพยาบาลสุโขทัย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4928
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดกระดูกสันหลังแบบบูรณาการ ห้องผ่าตัด โรงพยาบาลสุโขทัย ดำเนินการเดือนตุลาคม 2567-กันยายน 2568 รวม 12 เดือน กลุ่มตัวอย่างในการพัฒนารูปแบบ ประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพ 15 คน กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณในขั้นตอนประเมินผลรูปแบบ ได้แก่ ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง 32 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย รูปแบบการดูแลแบบบูรณาการ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้การดูแลผู้ป่วย แบบประเมินพฤติกรรมการดูแล แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบบันทึกตัวชี้วัดคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน (Paired t-test, χ²test) ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการดูแลที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การประเมินและเตรียมความพร้อมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดแบบบูรณาการ การดูแลระหว่างผ่าตัดด้วยมาตรฐานความปลอดภัย การป้องกันภาวะแทรกซ้อนอย่างเป็นระบบ การประสานงานทีมสหสาขาวิชาชีพ การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง หลังการใช้รูปแบบ พบว่า ความรู้การดูแลผู้ป่วยของพยาบาลเพิ่มขึ้นเป็น 18.6±2.4 คะแนน พฤติกรรมการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 78.9±6.2 คะแนน อุบัติการณ์การเลื่อนผ่าตัดลดลงเป็น 2.18% อุบัติการณ์แผลกดทับลดลงเป็น 3.85% อัตราการติดเชื้อแผลผ่าตัดลดลงเป็น 0.96% ระยะเวลาฟื้นตัวลดลงเป็น 3.1±1.2 วัน ความพึงพอใจของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 8.9±0.8 คะแนน อัตราการเตรียมผู้ป่วยได้สมบูรณ์เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 93.8 และอัตราการได้รับการดูแลตามมาตรฐานเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 90.6 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 8.45, 9.82, 4.23, 5.67, 2.89, 3.45, 6.78, χ² = 6.75, 6.85 ตามลำดับ)</p>
จินดา ทองคมขำ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
560
569
-
ผลของโปรแกรมการให้ข้อมูล แรงจูงใจในผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัดมะเร็งเต้านมต่อความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมการร่วมมือในการฟื้นฟู
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4896
<p> การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ข้อมูล แรงจูงใจในผู้ป่วยก่อนและหลังผ่าตัดมะเร็งเต้านมต่อความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมการร่วมมือในการฟื้นฟูตัวเอง กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 30 คน รวม 60 คน กลุ่มทดลอง คือ ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่เข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลอุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มเปรียบเทียบ คือ ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่เข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมที่สร้างขึ้นเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ กลุ่มเปรียบเทียบได้รับโปรแกรมปกติ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 2 ครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนานำเสนอด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มัธยฐาน เปอร์เซนต์ไทล์ที่ 25 และ 75 เปรียบเทียบผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนตัวแปรภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ paired t-test และระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติ Independent t-test กำหนดนัยสำคัญที่ระดับ 0.05</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลองผลต่างค่าเฉลี่ยคะแนนแรงจูงใจในการฟื้นฟูตัวเอง ความรู้ในการฟื้นฟูตัวเอง ทัศนคติต่อการฟื้นฟูตัวเอง และพฤติกรรมการฟื้นฟูตนเอง ของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
กัญญาณัฐ จันทร์ฉายเมธากุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
570
578
-
ผลการจัดการโปรแกรมชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหัวป่า อำพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4929
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบ Two-Group Pretest-Posttest Design มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดการโปรแกรมชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ดำเนินการเดือนพฤศจิกายน 2567-กันยายน 2568 รวม 11 เดือน กลุ่มตัวอย่างในการพัฒนาโปรแกรม ประกอบด้วย บุคลากรสาธารณสุข ผู้ป่วยเบาหวาน และผู้เชี่ยวชาญ รวม 18 คน กลุ่มตัวอย่างเชิงในขั้นตอนประเมินผลโปรแกรม ได้แก่ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะไตเสื่อม 70 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 35 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการจัดการเพื่อชะลอไตเสื่อม แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินพฤติกรรม แบบประเมินความรู้ แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบบันทึกข้อมูลทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน (Paired t-test, Independent t-test,X<sup>2</sup>test<sup>)</sup> ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 8 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การให้ความรู้ การพัฒนาทักษะการเข้าถึงข้อมูล การเสริมสร้างความเข้าใจและทักษะ การส่งเสริมทักษะการสื่อสารด้านสุขภาพ การพัฒนาพฤติกรรมด้านโภชนาการ การส่งเสริมการออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการปฏิบัติตามคำแนะนำ หลังการใช้โปรแกรม พบว่า พฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมเพิ่มขึ้นเป็น 167.4±18.9 คะแนน ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนไตเสื่อมเพิ่มขึ้นเป็น 26.8±3.2 คะแนน ค่าอัตราการกรองของไต (eGFR) เพิ่มขึ้นเป็น 78.9±16.4 ml/min/1.73m² ระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ลดลงเป็น 7.2±0.9% อัตราการควบคุมเบาหวานตามเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 68.6 และอัตราการชะลอการลดลงของ eGFR เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 77.1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 12.47, 9.83, 2.14, 7.65, X<sup>2</sup>= 8.17, 7.23 ตามลำดับ)</p>
ภาชญา กลิ่นกุหลาบ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
579
590
-
ผลการใช้โปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะการพยาบาลห้องคลอดในการป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอดในผู้คลอดที่เสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอด โรงพยาบาลอินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4930
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบ One Group Pretest-Posttest Design มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะการพยาบาลห้องคลอดในการป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอดในผู้คลอดที่เสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอด ทำการศึกษาระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน 2568 รวม 9 เดือน กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพในขั้นตอนพัฒนาโปรแกรม ประกอบด้วย พยาบาลห้องคลอด แพทย์ และผู้เชี่ยวชาญ รวม 15 คน กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณในขั้นตอนประเมินผลโปรแกรม ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ 8 คน และผู้คลอดที่เสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอด 64 ราย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะการพยาบาลห้องคลอด แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินสมรรถนะการพยาบาลผู้คลอด แบบประเมินความพึงพอใจ แบบประเมินความเสี่ยง และแบบบันทึกข้อมูลทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน (Paired t-test, X<sup>2</sup>test) ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 8 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การประเมินความเสี่ยง การพัฒนาแนวปฏิบัติ การจำลองสถานการณ์และซ้อมแผน การประเมินและติดตามผล การใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือ การทำงานเป็นทีมและประสานงาน การถ่ายทอดความรู้ และการประเมินผลและปรับปรุง หลังการใช้โปรแกรม พบว่า สมรรถนะการพยาบาลผู้คลอดเพิ่มขึ้นเป็น 138.7±12.4 คะแนน ความพึงพอใจต่อการดูแลเพิ่มขึ้นเป็น 68.9±6.7 คะแนน อัตราการเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดลดลงเป็นร้อยละ 0.8 อัตราการเสียชีวิตลดลงเป็นร้อยละ 0 และอัตราภาวะแทรกซ้อนลดลงเป็นร้อยละ 6.2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 8.45, 12.34, X<sup>2</sup> = 4.87, 5.23, 6.15 ตามลำดับ)</p>
ปาลิดา ภาคาเขต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
591
600
-
ผลของการส่งเสริมการใช้แนวปฏิบัติการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาในหอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4933
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi – Experimental Research) ชนิดหนึ่งกลุ่ม วัดก่อนและหลัง (One Group Pretest – Posttest Design) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการส่งเสริมการใช้แนวปฏิบัติการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาและประเมินความพึงพอใจของบุคลากรทางการพยาบาลต่อการส่งเสริม การใช้แนวปฏิบัติการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาในหอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย โรงพยาบาล สมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกันยายน 2568 กลุ่มประชากรที่ศึกษา คือ บุคลากรทางการพยาบาล จำนวน 19 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบบันทึกการสังเกต และการส่งเสริมการปฏิบัติ ประกอบด้วย การอบรม การให้ข้อมูลย้อนกลับ การติดโปสเตอร์เตือน การสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันร่างกายและอุปกรณ์การแพทย์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติไคสแควร์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการส่งเสริมการใช้แนวปฏิบัติการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา สัดส่วนการปฏิบัติที่ถูกต้องของบุคลากรทางการพยาบาลเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากร้อยละ 78.5 เป็นร้อยละ 94.1 (p < .000) และบุคลากรทางการพยาบาลมีความพึงพอใจต่อการส่งเสริมการใช้แนวปฏิบัติการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.83)</p>
กนกเพชร แก้วเกิด
อังคณา ผาลิกา
อริษา บุตรโคตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
601
613
-
บทบาทของพยาบาลในการป้องกันการติดเชื้อหลังผ่าตัดในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหาร : เปรียบเทียบแนวทางการพยาบาลในผู้ป่วยทั่วไปกับผู้ติดเชื้อ HIV ร่วม
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4934
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาบทบาทของพยาบาลในการป้องกันการติดเชื้อหลังผ่าตัดในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหาร: เปรียบเทียบตามทฤษฎีการปรับตัวของรอย ระยะเวลาตั้งแต่ 1 – 31 สิงหาคม 2568</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า รายที่ 1 เป็นผู้หญิงไทย อายุ 54 ปี มีประวัติทราบผลเลือดเอชไอวีปี2560 มีอาการมีอาการปวดท้อง อืดแน่นท้อง เป็นมา 5 เดือนแพทย์อายุรกรรมได้ส่งตรวจพิเศษ พบชิ้นเนื้อมีความผิดปกติ ส่งปรึกษาศัลยแพทย์เพื่อผ่าตัด หลังจากผ่าตัดผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลทั้งหมด 10 วัน ส่วนรายที่ 2 เป็นผู้หญิงไทย อายุ 57 ปี มีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือด มี มาด้วยอาการมีอาการปวดท้อง อืดแน่นท้อง เป็นมา 2 เดือนแพทย์อายุรกรรมได้ส่งตรวจพิเศษ พบชิ้นเนื้อมีความผิดปกติ ส่งปรึกษาศัลยแพทย์เพื่อเตรียมผ่าตัด ช่วงที่มาผ่าตัดผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล 15 วัน ทั้ง 2 รายมีความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินของโรค</p>
ปิ่นแก้ว คำสิงหา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
614
622
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ที่มารับบริการที่คลินิกความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหัวป่า อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4935
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบ Two-Group Pretest-Posttest Design มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของโปรแกรมต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ ทำการศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม 2567-กันยายน 2568 รวม 12 เดือน กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพในขั้นตอนพัฒนาโปรแกรม ประกอบด้วย ตัวแทนผู้ป่วย บุคลากรสาธารณสุข และผู้เชี่ยวชาญ รวม 45 คน กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณในขั้นตอนประเมินผลโปรแกรม ได้แก่ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ จำนวน 64 ราย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบประเมินพฤติกรรม แบบบันทึกข้อมูลทางคลินิก และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน (Paired t-test, Independent t-test, χ²test) ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 8 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง การพัฒนาทักษะการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ การเสริมสร้างความเข้าใจและทักษะการประเมินข้อมูลสุขภาพ การส่งเสริมทักษะการสื่อสารด้านสุขภาพ การพัฒนาพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านโภชนาการ การส่งเสริมพฤติกรรมการออกกำลังกาย การพัฒนาทักษะการจัดการความเครียด และการเสริมสร้างพฤติกรรมการปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์ หลังการใช้โปรแกรม พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นจากเป็น 165.87±16.43 คะแนน พฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น เป็น 119.4±12.8 คะแนน ความรู้เกี่ยวกับโรคเพิ่มขึ้นเป็น 17.8±2.1 คะแนน ค่าความดันโลหิตบีบตัวลดลงเป็น 138.2±8.9 mmHg ค่าความดันโลหิตคลายตัวลดลง เป็น 83.4±6.2 mmHg และอัตราการควบคุมความดันโลหิตได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 71.9 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 11.45, 9.82, 10.34, 8.67, 7.43, χ² = 24.38 ตามลำดับ)</p>
สุนันทา เอมน้อย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
623
632
-
ผลของการสนับสนุนในระยะคลอดที่ 1 ระหว่างพยาบาลกับบุคคลใกล้ชิดในครอบครัวผู้คลอดต่อระดับความเจ็บปวดและการแสดงพฤติกรรมการเผชิญความเจ็บปวด
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4936
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการประเมินระดับความเจ็บปวดของการคลอดของผู้คลอดในระยะที่ 1 ประเมินการแสดงพฤติกรรมการแสดงความเจ็บปวดในระยะที่ 1 และเพื่อเปรียบความพึงพอใจในระยะคลอดที่ 1 ระหว่าง 2 กลุ่ม ในกลุ่มสตรีตั้งครรภ์ที่มาคลอดที่แผนกห้องคลอด โรงพยาบาลวิเชียรบุรี ในระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 ถึงเดือน กันยายน พ.ศ. 2568 กลุ่มการศึกษาครั้งนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม จำนวน 50 คน คือ 1) กลุ่มตัวอย่างผู้คลอดที่ได้รับการดูแลจากพยาบาลวิชาชีพตามปกติ จำนวน 25 คน 2) กลุ่มผู้คลอดที่ได้รับการดูแลการเฝ้าคลอดจากบุคคลใกล้ชิดในครอบครัว จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป 2) แบบประเมินระดับความเจ็บปวดของผู้คลอดระหว่างรอคลอด 3) การแสดงพฤติกรรมการแสดงความเจ็บปวด 4) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการดูแล ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 4 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติอนุมานได้แก่ Mann-Whitney</p> <p> ผลการเปรียบเทียบระดับความเจ็บปวดของผู้คลอดระหว่างรอคลอดในกลุ่มที่ได้รับการดูแลจากพยาบาลมีระดับความเจ็บปวดน้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับการดูแลจากผู้ใกล้ชิดในครอบครัว ไม่มีความแตกต่างกัน การแสดงพฤติกรรมการเผชิญความเจ็บปวดในกลุ่มที่ได้รับการดูแลจากผู้ใกล้ชิดในครอบครัว พบว่ามีน้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับการดูแลจากพยาบาล ไม่มีความแตกต่างกัน และการแสดงความพึงพอใจในกลุ่มที่ได้รับการดูแลจากพยาบาลมีมากกว่ากลุ่มที่ได้รับการดูแลจากผู้ใกล้ชิดในครอบครัว ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ</p>
พิมพ์ใจ มากสกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
633
638
-
การพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดต่อมไทรอยด์โดยการส่องกล้องผ่านทางช่องปาก
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4937
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นกรณีศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 19 ปี ที่เข้ารับการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ผ่านทางช่องปากโดยการส่องกล้อง (Transoral Endoscopic Thyroidectomy Vestibular Approach: TOETVA) เนื่องจากพบก้อนที่คอซ้ายและได้รับการวินิจฉัยเป็น Left thyroid nodule ภายหลังการตรวจ Ultrasound และ Fine Needle Aspiration พบว่าเป็นก้อนชนิดไม่ร้ายแรง (Benign nodule) การพยาบาลครอบคลุมตั้งแต่ระยะก่อนผ่าตัด ระยะระหว่างผ่าตัด และระยะหลังผ่าตัด โดยมุ่งเน้นการลดความวิตกกังวล การป้องกันภาวะแทรกซ้อน การควบคุมการติดเชื้อ การเฝ้าระวังสัญญาณชีพ ภาวะอุณหภูมิต่ำ ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ป่วยและญาติมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลตนเองหลังผ่าตัด</p> <p> ผลการพยาบาลพบว่า ผู้ป่วยฟื้นตัวได้ดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อนสำคัญจากการผ่าตัดหรือยาระงับความรู้สึก อาการปวดลดลงตามลำดับ แผลในช่องปากสมานดี ไม่มีการติดเชื้อ ผู้ป่วยและญาติสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้องก่อนจำหน่าย การผ่าตัดแบบ TOETVA ช่วยลดการบาดเจ็บ เจ็บแผลน้อย ฟื้นตัวเร็ว และไม่มีแผลเป็นภายนอก พยาบาลจึงมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูล การดูแลอย่างต่อเนื่อง และการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยและเกิดผลลัพธ์ทางการพยาบาลที่ดีที่สุด</p>
สุภาภรณ์ งิมขุนทด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
639
646
-
ผลของการใช้ชุดคําวิถีมุสลิมในแบบประเมินสมรรถภาพสมอง Mini-cog ต่อการคัดกรองภาวะสมองเสื่อม ในคลินิกชราธิวาส โรงพยาบาลจะแนะ อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4938
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) โดยดำเนินการวิจัยทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ชุดคำวิถีมุสลิมในแบบประเมินสมรรถภาพสมอง Mini-Cog ต่อการคัดกรองภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุมุสลิม คลินิกชราธิวาส โรงพยาบาลจะแนะ ดำเนินการเดือนมกราคม-กันยายน พ.ศ. 2566 รวม 9 เดือน กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณในขั้นตอนประเมินผลโปรแกรม ได้แก่ ผู้สูงอายุมุสลิม 45 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมชุดคำวิถีมุสลิม แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมิน Mini-Cog มาตรฐาน แบบประเมิน Mini-Cog Muslim Chanae แบบบันทึกผลการประเมิน และแบบประเมินความพึงพอใจของบุคลากร วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน (Paired t-test, χ²test) ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า จากการวิเคราะห์ปัญหาจากการแปลผลคะแนนของทั้ง 2 ครั้ง ไม่แตกต่างกัน คาดการณ์ได้ว่าการคัดกรองภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุมุสลิมที่มีข้อจำกัดการใช้ภาษาไทยด้วย จากการใช้โปรแกรมชุดคำวิถีมุสลิมที่พัฒนาขึ้น หลังการใช้โปรแกรม พบว่า คะแนน Mini-Cog เพิ่มขึ้นเป็น 2.87±1.35 คะแนน ระยะเวลาในการประเมินลดลงเป็น 6.22±1.76 นาที ความมั่นใจของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 4.18±0.94 คะแนน ความแม่นยำในการคัดกรองเพิ่มขึ้นเป็น 84.76±9.87 เปอร์เซ็นต์ อัตราการมีผล Mini-Cog ปกติเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 57.78 และอัตราการจำคำได้ครบ 3 คำเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 66.67 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 5.24, 6.18, 8.93, 7.65, χ² = 7.68, 11.34 ตามลำดับ)</p>
นูรอามีลา วาเฮง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
647
655
-
เปรียบเทียบกรณีศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ที่มีภาวะระบบหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน และได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ ในสถาบันบำราศนราดูร กรณีศึกษา 2 ราย
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4940
<p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ที่มีภาวะระบบหายใจล้มเหลว เฉียบพลันและได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ ศึกษาข้อมูลจากประวัติผู้ป่วยนำมาเปรียบเทียบตามทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็ม ระยะเวลาตั้งแต่ วันที่11 มิถุนายน 2568 ถึง 25 สิงหาคม 2568</p> <p> ผลการศึกษาพบว่ารายที่ 1 หญิงไทยอายุ 95 ปี เชื้อชาติไทย มาโรงพยาบาลมีอาการ มีไข้ อ่อนเพลีย หายใจเหนื่อย O<sub>2</sub> Sat 88% แพทย์ทำการใส่ท่อช่วยหายใจและให้นอนโรงพยาบาลรายที่ 2 หญิงไทย อายุ 88 ปี มาด้วยอาการ หอบเหนื่อย O<sub>2</sub> Sat 90% หายใจเร็ว แพทย์ทำการใส่ท่อช่วยหายใจและให้นอนโรงพยาบาลให้การรักษาตามอาการ ทั้ง 2 รายได้รับระบบการพยาบาลเป็นระบบทดแทนทั้งหมด เนื่องจากผู้ป่วยอายุมากทำให้เกิดการติดเชื้อเพิ่ม ผู้ป่วยทั้ง 2 รายเสียชีวิตในเวลาต่อมา</p>
อนงค์ พรหมราช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
656
662
-
การพัฒนารูปแบบการฟื้นฟูสมรรถภาพร่วมกับการสร้างเสริมพลังใจผ่านการเยี่ยมบ้านทางไกลสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงที่ต้องดูแลต่อเนื่องที่บ้าน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4941
<p> งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงที่ต้องดูแลต่อเนื่องที่บ้าน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อพัฒนารูปแบบการฟื้นฟูสมรรถภาพร่วมกับการสร้างเสริมพลังใจผ่านการเยี่ยมบ้านทางไกลสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงที่ต้องดูแลต่อเนื่องที่บ้าน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเพื่อศึกษาผลการนำรูปแบบการฟื้นฟูสมรรถภาพร่วมกับการสร้างเสริมพลังใจผ่านการเยี่ยมบ้านทางไกลสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงที่ต้องดูแลต่อเนื่องที่บ้าน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มี 4 ระยะ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงที่ต้องดูแลต่อเนื่องที่บ้าน คัดเลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติ คือ มีคะแนนความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ระหว่าง 0 -11 คะแนน จำนวน 25 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามและแบบประเมิน Barthel ADL Index (Barthel Activities of Daily Living : ADL) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ย โดยใช้สถิติทดสอบ Paired t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) สถานการณ์พยาบาลวิชาชีพหน่วยบริการปฐมภูมิและเครือข่ายรับทราบนโยบายจากหัวหน้างาน เข้าใจนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุข ปัญหาที่พบในการดำเนินงานส่วนใหญ่ขาดทักษะในการส่งเสริมการจัดการตนเอง จำนวนผู้ป่วยมีจำนวนมากขึ้นทุกปี ขาดทักษะการใช้โปรแกรมการให้บริการ Telenursing 2) รูปแบบการฟื้นฟูสมรรถภาพและสร้างเสริมพลังใจผ่านการเยี่ยมบ้านทางไกลสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงที่ต้องดูแลต่อเนื่อง พัฒนาตามแนวทางพยาบาลทางไกลและกองการพยาบาล ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ 1) ระยะก่อนการให้บริการพยาบาลทางไกล 2) ระยะระหว่างการให้บริการพยาบาลทางไกล 3) ระยะหลังการให้บริการพยาบาลทางไกล เนื้อหามีความชัดเจน ครอบคลุม ปฏิบัติตามได้ง่าย ส่งผลให้พยาบาลปฏิบัติตามรูปแบบได้ในระดับมาก 3) ความสามารถของผู้ดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงที่ต้องดูแลต่อเนื่องที่บ้านหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
มนสิชา เวรุนัต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
663
673
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการควบคุมความดันในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสะเดา อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4955
<p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการควบคุมความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสะเดา อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่างกลุ่ม ๆ ละ 51 คน รวม 102 คน กลุ่มทดลองเป็นผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสะเดา อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ และกลุ่มเปรียบเทียบเป็นผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ประกอบด้วย การอบรมเชิงปฏิบัติการ การฝึกทักษะ การเยี่ยมบ้าน และการติดตามทางโทรศัพท์ ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับการดูแลตามปกติ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบวัดความรู้และการรับรู้ด้านสุขภาพ แบบวัดทักษะการดูแลตนเอง และแบบบันทึกค่าความดันโลหิต วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา paired t-test และ independent t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้เพิ่มขึ้นจาก 5.1±1.0 เป็น 8.2±1.1 คะแนน (p<0.001) มีการรับรู้ด้านสุขภาพและทักษะการดูแลตนเองดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทุกด้าน (p<0.001) 2) ระดับความดันโลหิตซิสโตลิกลดลงจาก 152.1±7.2 เป็น 138.4±6.8 มม.ปรอท และไดแอสโตลิกลดลงจาก 92.3±5.1 เป็น 85.2±4.3 มม.ปรอท (p<0.001) และ 3) มีผู้ป่วยร้อยละ 68.6 สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ตามเป้าหมาย เทียบกับร้อยละ 35.3 ในกลุ่มเปรียบเทียบ (p=0.001) เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่ากลุ่มทดลองมีผลลัพธ์ดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกตัวแปร (p<0.001)</p>
อรุณ เครือเนียม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
674
681
-
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตของผู้ป่วยบาดแผลไหม้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสระบุรี
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4926
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตของผู้ป่วยบาดแผลไหม้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสระบุรี เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง (Retrospective study) โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยบาดแผลไหม้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสระบุรี ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 30 กันยายน 2567 จำนวน 328 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบบันทึกข้อมูลที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง และผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC = 0.79) และค่าความเชื่อมั่นของครอนบาค (Cronbach’s alpha = 0.87) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ Chi-square test, Fisher’s exact test, t-test และการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติก (Logistic regression) โดยพิจารณาค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p < 0.05</p> <p> ผลการศึกษา: จากผู้ป่วยทั้งหมด 328 ราย พบว่าเป็นเพศชาย 210 ราย (64.02%) อายุเฉลี่ย 35.3±13.27 ปี พบอัตราการเสียชีวิต 18 ราย (5.49%) กลไกการเกิดแผลไหม้ที่พบบ่อยที่สุดคือจากเปลวไฟ (45.73%) โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (55.56%) อายุเฉลี่ย 58.24±9.08 ปี มีร้อยละของพื้นที่ผิวไหม้เฉลี่ย (%TBSA burn) 48.69% และพบการบาดเจ็บจากการหายใจ (Inhalation injury) ร้อยละ 33.33 สาเหตุการเสียชีวิตหลัก ได้แก่ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ร้อยละ 50 และภาวะช็อกจากการสูญเสียเลือดและสารน้ำ (Hypovolemic shock) ร้อยละ 33.33 การวิเคราะห์แบบพหุปัจจัยพบว่า อายุ (p=0.003), ร้อยละของพื้นที่ผิวไหม้ (%TBSA burn) (p<0.001), สาเหตุการไหม้จากเปลวไฟ และการบาดเจ็บจากการหายใจ (p=0.038) เป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
เมธัส ต่างวิวัฒน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
682
689
-
ประสิทธิผลของรูปแบบการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกโดยการมีส่วนร่วม ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน บริบทพื้นที่ชายแดน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4815
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา และศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก โดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน บริบทพื้นที่ชายแดน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านท่าตอน โดยรวบรวมข้อมูลประชุมเชิงปฏิบัติการ และสัมภาษณ์จากแกนนำเครือข่ายด้านสาธารณสุขตำบลท่าตอน จำนวน 11 คน วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความรู้ และทักษะการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก จากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวน 130 คน เปรียบเทียบข้อมูลดัชนีลูกน้ำยุงลาย และอัตราป่วยโรคไข้เลือดออก ก่อนและหลังการใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา, Wilcoxon signed rank test และ Paired t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนารูปแบบการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ 1) การเฝ้าระวังในชุมชน 2) วางแผน และพัฒนาความรู้ทักษะ 3) การปฏิบัติการต้านภัยโรคไข้เลือดออก 4) การสรุปประเมินผล และผลการศึกษาประสิทธิผล พบว่าหลังการใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น มีคะแนนความรู้ และคะแนนทักษะเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P<0.01 โดยมีค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P<0.05 และอัตราป่วยต่อแสนประชากรของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกลดลง</p>
ทศพร ศรีทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน
2025-10-31
2025-10-31
10 5
690
699