วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech <p><strong>Journal of Environmental and Community Health</strong><br /><strong>วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุ<wbr />ขภาพชุมชน</strong></p> <p><strong>Online ISSN: 6112-9248<br /></strong><strong>Print ISSN: 2672-9717<br /></strong></p> th-TH echjojack@gmail.com (ผศ.ดร.วรกร วิชัยโย) sirisak.dp@gmail.com (นายศิริศักดิ์ ดลพร) Fri, 28 Feb 2025 14:03:44 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ดูแลเด็กและพัฒนาการเด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลหนองกุงศรี อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3697 <p> การวิจัยนี้เป็นการศึกษากึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลัง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ดูแลเด็กและพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ดำเนินการในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่างคือผู้ดูแลเด็กและเด็กปฐมวัยจำนวน 50 คู่ คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง โปรแกรมประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ "เข้าใจโลกเด็กน้อย" "ขยับแขนขา พัฒนาไปด้วยกัน" "สนุกกับภาษา" และ "ทำได้ด้วยตัวเอง" เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและแบบบันทึกการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบ Wilcoxon signed ranks test และ McNemar test<br /> ผลการวิจัยพบการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสองประการ ประการแรก ผู้ดูแลเด็กมีความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) โดยคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 88.64 เป็น 102.46 คะแนน และสัดส่วนของผู้ที่มีความรอบรู้ระดับดีมากเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 14.0 เป็นร้อยละ 70.0 ประการที่สอง เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการสมวัยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.008) จากร้อยละ 78.0 เป็นร้อยละ 94.0 โดยพบการพัฒนาที่ดีขึ้นในด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา การเข้าใจภาษา การใช้ภาษา และการช่วยเหลือตัวเองและสังคม อย่างไรก็ตาม ไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในด้านการเคลื่อนไหว</p> พิมลดา ภูสีน้อย Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3697 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อความรู้และทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอศรีบุญเรือง https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3725 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อความรู้และทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอศรีบุญเรือง กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตอำเภอศรีบุญเรือง จำนวน 48 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 24 คน ซึ่งกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการอบรมการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานตามมาตรฐานปกติ เก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบทดสอบความรู้ แบบประเมินทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานและแบบประเมินความพึงพอใจ ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.0 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา paired t- test และ independent t-test<br /> ผลการศึกษา พบว่าคะแนนเฉลี่ยความรู้และทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานหลังได้รับโปรแกรมของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับการอบรมตามมาตรฐานปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt; .05, p&lt; .01 ตามลำดับ)</p> ราชวัช ทวีคูณ, สมจินตนา สมณะ, เบญจวรรณ สง่าลี Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3725 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ป่วยเบาหวานตามหลัก 3 Self ศูนย์สุขภาพชุมชนซำสูง อำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3729 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลรูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ป่วยเบาหวานตามหลัก 3 Self ณ ศูนย์สุขภาพชุมชนซำสูง อำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 พัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมฯ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยเบาหวานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ขั้นตอนที่ 2 ประเมินประสิทธิผลรูปแบบที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยเบาหวาน จำนวน 52 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 26 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แนวคำถามการสนทนากลุ่มเพื่อพัฒนารูปแบบ คู่มือการจัดกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ป่วยเบาหวานตามหลัก 3 Self แบบประเมินความรู้ ทัศนคติ และ พฤติกรรมการปฏิบัติตนตามหลัก 3 Self และแบบบันทึกผลลัพธ์ทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน <br /> ผลการวิจัย ขั้นตอนที่ 1 รูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ป่วยเบาหวานตามหลัก 3 Self ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ 1) รู้จักโรค รู้จักตัวเอง 2) 3 อ. ขอให้ทำ 3) ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และ 4) ทำดี มีรางวัล ขั้นตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ ทัศนคติ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามหลัก 3 Self ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ระยะหลังเข้าร่วมกิจกรรม และระยะติดตามผล พบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;.001 และ &lt;.001 ตามลำดับ) กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารและค่าน้ำตาลสะสมในเลือด เปรียบเทียบระหว่างระยะก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;.001 และ &lt;.001 ตามลำดับ)</p> อาทิตยา บุตรแสง, อรธิชา อันทราศรี Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3729 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการเตรียมความพร้อมก่อนให้ยาระงับความรู้สึกทางช่องไขสันหลังต่อความรู้ ความวิตกกังวล และภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยสูงอายุที่เข้ารับการผ่าตัด เปลี่ยนข้อเข่าเทียม โรงพยาบาลลำพูน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3807 <p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความรู้ ความวิตกกังวลของผู้ป่วยสูงอายุที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการเตรียมความพร้อมก่อนให้ยาระงับความรู้สึกทางช่องไขสันหลัง และศึกษาภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยสูงอายุที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมหลังได้รับโปรแกรม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยสูงอายุที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแบบไม่เร่งด่วนและได้รับยาระงับความรู้สึกทางช่องไขสันหลัง งานห้องผ่าตัดและงานวิสัญญี โรงพยาบาลลำพูน ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2567 ถึงวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 จำนวน 30 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการเตรียมความพร้อมก่อนให้ยาระงับความรู้สึกทางช่องไขสันหลัง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความรู้ แบบประเมินความวิตกกังวล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Paired t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า หลังได้รับโปรแกรมผู้ป่วยสูงอายุที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม มีคะแนนความรู้เกี่ยวกับการให้ยาระงับความรู้สึกทางช่องไขสันหลังและการปฏิบัติตัวเพิ่มสูงขึ้น และมีคะแนนความวิตกกังวลลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และไม่พบภาวะแทรกซ้อนหลังได้รับยาระงับความรู้สึกทางช่องไขสันหลัง</p> รัชฎาภรณ์ สุขจิตต์ , เจษฎาภรณ์ อิกำเหนิด Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3807 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้นอาจาโร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3808 <p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) เพื่อวิเคราะห์ระบบบริการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร จังหวัดสกลนคร 2) เพื่อพัฒนาระบบบริการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง งานห้องผ่าตัด โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และ 3) เพื่อประเมินผลระบบบริการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงอายุ60 ปีขึ้นไปเลือกแบบเจาะจง จำนวน 140 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามผู้ป่วยต้อกระจกเกี่ยวกับความรู้โรคต้อกระจก แบบบันทึกพฤติกรรมการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก และแบบสอบถามความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .85 การศึกษาแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเตรียมการ ระยะดำเนินการวิจัย และระยะประเมินผล เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการแจกแบบสอบถามผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกที่เข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงและบันทึกพฤติกรรมการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบทีแบบจับคู่<br /> ผลการศึกษา (1) ปัญหาของระบบริการ คือ จำนวนบุคลากรไม่เพียงพอกับการบริการผู้ป่วย รูปแบบการบริการไม่ชัดเจน ไม่มีจักษุแพทย์ประจำ (2) พัฒนารูปแบบบริการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก โดยกำหนดความรับผิดชอบในแต่ละหน้าที่ จัดทำแผ่นพับความรู้และการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคต้อกระจก การเตรียมความพร้อมก่อนและหลังผ่าตัด สื่อวิดิทัศน์ (3) ระดับความรู้เกี่ยวกับโรคต้อกระจกก่อนการใช้รูปแบบฯอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=10.74, S.D=.29) หลังการใช้รูปแบบฯมีระดับความรู้อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=16.98, S.D=.22 ) (3) ความ พึงพอใจของผู้ป่วยต้อกระจกที่ได้รับการผ่าตัดด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.38,S.D=.73) (4) พฤติกรรมการบริการของพยาบาลวิชาชีพก่อนการพัฒนาระบบบริการภาพรวมอยู่ในระดับพฤติกรรมที่ดี(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 2.78, S.D=.31) หลังการพัฒนาระบบบริการภาพรวมรวมอยู่ในระดับพฤติกรรมที่ดี(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 3.00, S.D=.00) (5) ความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาลในการให้บริการแก่ผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง อยู่ในระดับมากที่สุด(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.72, S.D=.26) (6) คะแนนความรู้หลังการพัฒนารูปแบบการบริการพยาบาลฯ สูงกว่าก่อนการพัฒนารูปแบบการบริการพยาบาลฯ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (8) ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพหลังการพัฒนารูปแบบการบริการพยาบาลฯ สูงกว่าก่อนการพัฒนา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p> ธันยพร อินทรภูมิ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3808 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการให้คำแนะนำแบบสั้นในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมความร่วมมือในการใช้ยาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3809 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment Research) แบบวัดก่อนหลังกลุ่มเดียวในกลุ่มทดลองจำนวน 53 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม โดยวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ในการหาค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation), ค่าต่ำสุด (Minimum), ค่าสูงสุด (Maximum) และสถิติใช้ในการเปรียบเทียบด้วยสถิติ paired simple t-test, , Repeated measures ANOVA กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05<br /> ผลการศึกษา: หลังจากกลุ่มทดลองเข้าร่วมโปรแกรม พบว่า เมื่อเปรียบเทียบความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานของผู้ป่วยโรคเบาหวานมีค่าเฉลี่ยความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c), ค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือด Fasting Blood Sugar (FBS) หลังดำเนินการ พบว่ามีค่าเฉลี่ยลดลงเมื่อเปรียบเทียบก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> สุปราณี บุตรสมบัติ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3809 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 แนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลทารกถูกทอดทิ้ง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกูฉินารายณ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3810 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะและปัญหาของทารกถูกทอดทิ้ง และศึกษาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลทารกถูกทอดทิ้ง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ มีระยะเวลาในการศึกษาระหว่าง เดือน พฤศจิกายน 2567 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2568 รวม 4 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ทารกถูกทอดทิ้ง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ จำนวน 5 ราย เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนและแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการศึกษา พบว่า ทารกถูกทอดทิ้ง ทั้ง 5 ราย พบว่า มารดามีปัญหาทางสังคม มีการใช้สารเสพติด ประเภท Amphetamine มีภาวะเจ็บป่วย พบประวัติตั้งครรภ์ 4 ราย และทารกทั้ง 5 รายได้รับการดูแลตามแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลทารกถูกทอดทิ้ง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกูฉินารายณ์ มีอาการปลอดภัยและได้รับการดูแลตามมาตรฐาน ร้อยละ 100 และความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลทารกถูกทอดทิ้ง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ พบว่า โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด</p> อัจฉรา ชัยโสภา Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3810 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมเตรียมความพร้อมหญิงตั้งครรภ์ก่อนเข้ารับการระงับความรู้สึกทางช่องน้ำไขสันหลัง ต่อความรู้ ทัศนคติและความวิตกกังวลในหญิงตั้งครรภ์ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องครรภ์แรก โรงพยาบาลลำพูน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3811 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการกึ่งทดลองหนึ่งกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเตรียมความพร้อมหญิงตั้งครรภ์ก่อนเข้ารับการระงับความรู้สึกทางช่องน้ำไขสันหลัง ต่อความรู้ ทัศนคติและความวิตกกังวลในหญิงตั้งครรภ์ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องครรภ์แรก โรงพยาบาลลำพูน กลุ่มตัวอย่าง คือ หญิงตั้งครรภ์แรกที่ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องครรภ์แรกที่เข้ารับการผ่าตัด จำนวน 45 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และสถิติทดสอบที<br /> ผลการวิจัยพบว่าภายหลังได้รับโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ และทัศนคติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ของกลุ่มตัวอย่างก่อนเข้าโปรแกรมเท่ากับ 6.98 หลังเข้าโปรแกรมเท่ากับ 9.87 และค่าเฉลี่ยคะแนนทัศนคติของกลุ่มตัวอย่างก่อนเข้าโปรแกรมเท่ากับ 7.56 หลังเข้าโปรแกรมเท่ากับ 14.09 ภายหลังได้รับโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนความวิตกกังวลลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) ค่าเฉลี่ยคะแนนความวิตกกังวลของกลุ่มตัวอย่างก่อนเข้าโปรแกรมเท่ากับ 21.80 หลังเข้าโปรแกรมเท่ากับ 12.11</p> ปุณณัตถ์ บุญมา , ทิพนันท์ บูรณะกิติ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3811 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านคำเตย ตำบลคำเตย อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3812 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 2) เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยศึกษาการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ความรอบรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน และการควบคุมระดับน้ำตาลสะสมในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ที่มีค่า HbA1c ≥7 mg% คัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในผู้ป่วยเบาหวาน 2) แบบสัมภาษณ์ด้านข้อมูลทั่วไป ความรอบรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและพฤติกรรมสุขภาพ และ 3) แบบบันทึกค่าระดับน้ำตาลสะสมในเลือดก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการ มีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ เปรียบเทียบสถิติความรู้ พฤติกรรม และค่าระดับน้ำตาลในเลือดสะสมก่อนและหลังวิจัยด้วยสถิติ paired t-test<br /> ผลการศึกษาการพัฒนารูปแบบการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านคำเตย ตำบลคำเตย อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร พบว่าหลังจากผู้ป่วยเบาหวานกลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมกิจกรรมตามโปรแกรมเป็นระยะเวลา 13 สัปดาห์ โดยมีการทดสอบความรอบรู้ การประเมินพฤติกรรมสุขภาพ และการประเมินระดับน้ำตาลสะสมในเลือด(HbA1c) ก่อนและหลังจากผู้ป่วยเบาหวานกลุ่มตัวอย่างเข้าร่วมกิจกรรมตามโปรแกรมเป็นระยะเวลา 13 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p-value&lt;0.05) โดยกลุ่มตัวอย่างได้รับการให้ความรู้โดยเจ้าหน้าที่ตามโปรแกรม ได้สื่อสารและซักถามประเด็นปัญหาต่าง ๆ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ สนทนากลุ่ม (Focus Group) เกี่ยวกับโรคเบาหวานนัดร่วมกันทำกิจกรรมทุกสัปดาห์ และได้รับการติดตามเยี่ยมบ้านโดยเจ้าหน้าที่และ อสม. รวมทั้งได้รับการสร้างแรงจูงในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ และผลการประเมินพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มตัวอย่าง พบว่ามีค่าเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพอยู่ในระดับมากทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการควบคุมอาหาร ด้านการออกกำลังกาย ด้านการรับประทานยา และผลการตรวจระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.05)</p> รักษ์ชัย ไชยรักษ์ , ชลธิชา นาคโนนหัน, รัตนา ไชยรักษ์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3812 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ที่มีกลุ่มอาการเมแทบอลิก : กรณีศึกษา เปรียบเทียบ 2 ราย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3813 <p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบกระบวนการพยาบาลผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ที่มีกลุ่มอาการเมแทบอลิก จำนวน 2 ราย ที่มารับบริการที่งานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลหนองฮี โดยใช้ทฤษฎี แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน เป็นกรณีศึกษาผู้ป่วย 2 รายเพื่อเปรียบเทียบผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์มีกลุ่มอาการเมแทบอลิก ที่มารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลหนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด โดยศึกษาในผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 1 วันที่ มิถุนายน 2567 และศึกษาในผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 2 วันที่ สิงหาคม 2567 การเก็บข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์ การสังเกต และเวชระเบียน ประเมินสุขภาพผู้ป่วยแบบองค์รวมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ โดยใช้ทฤษฎีทางการพยาบาลของกอร์ดอนเป็นกรอบแนวคิดในการศึกษา กำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลร่วมกับใช้แนวคิดทางการพยาบาลมาประยุกต์ใช้ในกระบวนพยาบาลผู้ป่วย<br /> ผลการศึกษา: เปรียบเทียบผู้ป่วยสองราย พบว่า สิ่งที่เหมือนกันคือเริ่มเข้าสู่ระบบบริการ และมีกลุ่มอาการเมแทบอลิกมาด้วยอาการเหมือนๆกัน ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลเรื่องการเจ็บป่วยของตนเองที่เป็นอยู่ คือกลัวความลับถูกเปิดเผยและสังคมรังเกียจ และกังวลเกี่ยวกับกลุ่มอาการเมแทบอลิกที่เพิ่มขึ้น ส่วนที่แตกต่างกันคือ พฤติกรรมการับประทานอาหารที่ยังไม่เหมาะสม การดื่มสุรา สูบบุหรี่ การรับประทานอาหารรสหวาน การจัดการตนเองเมื่อเกิดความเครียด ทั้งสองรายมีความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ ต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้นพยาบาลจึงมีบทบาทในการ ส่งเสริมความสามารถในการดูแลตนเอง ซึ่งนอกจากการให้ความรู้การให้คำแนะนำ การเป็นที่ปรึกษา และให้กำลังใจเมื่อผู้ป่วยเกิดปัญหาแล้ว ยังเป็นผู้ประสานความร่วมมือระหว่างบุคลากรทีมสุขภาพ โดยการมีส่วนร่วม ในการตัดสินใจและเคารพสิทธิ์ของผู้ป่วย เพื่อการมีสุขภาพดี และรับการรักษาต่อเนื่อง ผลการศึกษาครั้งนี้ นำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพทีม เป็นแนวทางในการประเมินและดูแลผู้ป่วยที่มีกลุ่มอาการเมแทบอลิก และภาวะแทรกซ้อนจากโรคอื่นๆอีกด้วย</p> กัลญา สุทธิธรรม Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3813 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง : กรณีศึกษา 2 ราย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3814 <p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการดำเนินโรค การรักษา การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จำนวน 2 รายที่มารับการรักษา โรงพยาบาลจังหาร การศึกษารายกรณีนี้เป็นการเปรียบเทียบผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จำนวน 2 ราย โดยศึกษาในผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 1 ที่เข้ามารับบริการที่โรงพยาบาลจังหาร วันที่ 18 มีนาคม 2567 และศึกษาในผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 2 วันที่ 8 พฤษภาคม 2567 การเก็บข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์ สังเกต และเวชระเบียนใช้แนวคิดการประเมินภาวะสุขภาพผู้ป่วยตามแบบแผนสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอน และกำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลร่วมกับแนวคิดกระบวนการพยาบาลมาประยุกต์ใช้ในการพยาบาลผู้ป่วย<br /> ผลการศึกษา ผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 1 ชายไทยสูงอายุ 86 ปี ป่วยเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเมื่อ 10 ปีที่แล้วรับยาพ่นขยายหลอดลม 1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาลมีไข้ หายใจไม่อิ่ม หอบเหนื่อย ไอมีเสมหะ แรกรับแพทย์วินิจฉัย COPD with AE ได้รับยาขยายหลอดลม ได้รับออกซิเจนและสารน้ำทางหลอดเลือดดำรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ ได้ยาปฏิชีวนะ ดูแลตามแผนการพยาบาล 6 แผนอาการดีขึ้นจำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้าน ผู้ป่วยกรณีศึกษารายที่ 2 ชายไทยอายุ 49 ปีป่วยเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก่อนมาโรงพยาบาล 3 ชั่วโมง มีอาการไอ หายใจหอบ มีอาการเหนื่อย นอนราบไม่ได้พ่นยาเองที่บ้าน 5 ครั้งอาการไม่ทุเลา แรกรับแพทย์วินิจฉัย COPD with AE ให้การพยาบาลตามแผนการรักษา 5 แผนอาการดีขึ้นจำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้าน ผู้ป่วยทั้ง 2 รายได้รับการรักษาพยาบาลตาม GOLD guideline 2017 for COPD Management</p> พรทิพย์ โรจนกร Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3814 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นผ่านแอพลิเคชันไลน์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3815 <p> การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการป้องกันโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นผ่านแอปพลิเคชันไลน์ กลุ่มตัวอย่างเป็นวัยรุ่นอายุ 13-19 ปีที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เลือกแบบเจาะจง จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้การวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ โปรแกรมการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ โดยประยุกต์ใช้รูปแบบ แอปเปิ้ลโมเดล (APPLE Model) เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง แบบประเมินพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ แบบวัดความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ และแบบวัดทัศนคติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบทีแบบจับคู่<br /> ผลการศึกษา ผู้ตอบแบบสอบถามเคยมีเพศสัมพันธ์ร้อยละ 20 มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับแฟน ร้อยละ 87.5 เหตุผลในการมีเพศสัมพันธ์เพราะชอบ/รัก ร้อยละ 50 วิธีป้องกันในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกโดยใช้ถุงยางอนามัย ร้อยละ 75 ปัจจุบันเมื่อมีเพศสัมพันธ์มีวิธีการป้องกันโดยใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ร้อยละ 75 เหตุผลในการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ร้อยละ 75 เหตุผลที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัยเพราะไม่เป็นธรรมชาติ ร้อยละ 87.5 เคยมีอาการโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ร้อยละ 25 โดยมีแผล ตุ่มที่อวัยวะเพศร้อยละ 12.5 และปัสสาวะแสบขัด ร้อยละ 12.5 ความรู้โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์หลังได้รับโปรแกรมป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นผ่านแอปพลิเคชันไลน์สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และทัศนคติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นหลังได้รับโปรแกรมการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นผ่านแอปพลิเคชันไลน์สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p> วันทนีย์ ทิพชาติ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3815 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการเสริมสร้างการดูแลตนเองและครอบครัว ในผู้ป่วยวัณโรค โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3816 <p> การศึกษานี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยวัณโรคและศึกษาแนวทางการเสริมสร้างการดูแลตนเองและครอบครัว ในผู้ป่วยวัณโรคโรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ มีระยะเวลาในการศึกษาระหว่าง เดือนตุลาคม 2567 ถึง เดือน กันยายน 2567 รวม 12 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยวัณโรค โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 207 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามและเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Independent t – test และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ความรู้ความเข้าใจการดูแลตนเองในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม โรควัณโรค อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ของ ญาติ/ผู้ดูแลและผู้ป่วย หลังดำเนินการ อยู่ในระดับมากที่สุดความรู้ความเข้าใจการดูแลตนเองในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม โรควัณโรค อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ของญาติ/ผู้ดูแล และผู้ป่วย ก่อนและหลังการดำเนินงาน พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยที่ หลังการดำเนินงานความรู้ความเข้าใจการดูแลตนเองในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม โรควัณโรค อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ของญาติ/ผู้ดูแล ดีกว่าก่อนการดำเนินงาน ผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องของโรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2564 – 2567 พบว่า ความสำเร็จในการรักษา (ร้อยละ88) และ อัตราขาดยา &lt; 5 ผ่านเกณฑ์ตัวชี้วัด ส่วนตัวชี้วัด อัตราตาย &lt; 5 ยังไม่ผ่านเกณฑ์</p> อภิรดี ยิ่งคงดี , กาญจนา พะวินรัมย์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3816 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3817 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความเข้าใจของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และศึกษารูปแบบการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีระยะเวลาในการศึกษาระหว่าง เดือนพฤศจิกายน 2567 ถึง เดือน ธันวาคม 2567 รวม 2 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ตัวแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านดงกลาง ตำบลดงสมบูรณ์ อำเภอท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 45 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ความเข้าใจของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่า โดยรวมและรายด้าน ก่อนดำเนินการ อยู่ในระดับปานกลาง หลังดำเนินการ อยู่ในระดับมากที่สุดและความเข้าใจของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ก่อนและหลังการดำเนินงาน พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่หลังการดำเนินงาน การเปรียบเทียบความเข้าใจของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนการดำเนินการ</p> เพชรรัตน์ วงค์ไชยชาญ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3817 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน ตำบลทัพเสด็จ อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3818 <p> การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Method Research Design) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทและสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน ตำบลทัพเสด็จ อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน ตำบลทัพเสด็จ อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว และเพื่อประเมินผลการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน ตำบลทัพเสด็จ อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย จำนวน 75 คน โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยวัณโรค และกลุ่มที่ 2 ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกต การสนทนากลุ่ม การประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนา สถิติอนุมาน (Inferential statistic) ในการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย โดยใช้สถิติ Paired sample t-test และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการวิจัย 1) บริบทและสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน ตำบลทัพเสด็จ อำเภอตาพระยา ที่ยังขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน 2) ได้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน ตำบลทัพเสด็จ อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้วที่มีความเหมาะสมกับบริบทพื้นที่ และ 3) ภายหลังการนำรูปแบบมาใช้ คะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับวัณโรคและคะแนนพฤติกรรมการปฏิบัติตามแผนการรักษาของผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน คะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับวัณโรคและการมีส่วนร่วมของการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากก่อนการพัฒนารูปแบบฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และอัตราความสำเร็จการรักษาผู้ป่วยวัณโรค ร้อยละ 100.0 ไม่พบอัตราการขาดยาและอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยวัณโรค เท่ากับ 0</p> สันติสุข ลีสีสุข Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3818 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรในวัยรุ่นหญิง จังหวัดศรีสะเกษ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3820 <p> การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรในวัยรุ่นหญิง จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างเป็นวัยรุ่นหญิงในจังหวัดศรีสะเกษ ที่มีอายุ 10-14 ปี จำนวน 417 คน โดยใช้สูตรการคำนวณสูตรของ Wayne ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบ Multistage Random Sampling แบ่งสัดส่วนตามอำเภอในจังหวัดศรีสะเกษ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และและสถิติเชิงอนุมาน โดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value&lt;.05<br /> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่าง มีอายุเฉลี่ย 12.84 ปี (SD=0.26) กำลังศึกษาในระดับประถมศึกษา ร้อยละ 58.8 กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรในวัยรุ่นหญิง โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=14.22, SD=3.28) ระดับพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรในวัยรุ่นหญิงภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=53.64, SD=12.58) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพทุกองค์ประกอบ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรในวัยรุ่นหญิง จังหวัดศรีสะเกษ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value &lt; .05 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value&lt;0.05</p> ชัยยะ เผ่าผา , อุมาพร สังขฤกษ์, ปิยนุช พันธ์ศิริ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3820 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยทางการบริหารและปัจจัยแห่งความสำเร็จที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของทีมหมอครอบครัว ในอำภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3821 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปัจจัยทางการบริหารและปัจจัยแห่งความสำเร็จที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของทีมหมอครอบครัวในอำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว เป็นการวิจัยแบบสำรวจ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ ทีมหมอครอบครัวมีการปฏิบัติงานในรูปแบบสหวิชาชีพ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว จํานวน 56 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสอบถาม แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติอนุมาน ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และมีการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ<br /> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยทางการบริหาร ปัจจัยแห่งความสำเร็จ และการปฏิบัติงานของทีมหมอครอบครัว โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก จากผลทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยทางการบริหารด้านความมั่นคงและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานมีผลต่อการปฏิบัติงานของทีมหมอครอบครัวในอำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว โดยตัวแปรด้านความมั่นคงและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานสามารถร่วมกันทำนายการปฏิบัติงานของทีมหมอครอบครัวในอำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว ได้ร้อยละ 60 และปัจจัยแห่งความสำเร็จด้านความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานมีผลต่อการปฏิบัติงานของทีมหมอครอบครัวในอำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว โดยตัวแปรด้านความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานสามารถร่วมกันทำนายการปฏิบัติงานของทีมหมอครอบครัวในอำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว ได้ร้อยละ 71</p> ชัชชญา ธิราวิทย์ , บัญชาการ เหลาลา Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3821 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายในการผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง กรณีศึกษา 2 ราย โรงพยาบาลน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3822 <p> การศึกษาครั้งนี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยได้รับยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายในการผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง จำนวน 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลน้ำพอง ดำเนินการศึกษาระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 ถึง เดือน มกราคม พ.ศ. 2568 โดยศึกษาประวัติผู้ป่วยจากงานเวชระเบียนผู้ป่วยใน การซักประวัติผู้ป่วยและญาติ การสังเกตพยาธิสภาพและอาการทางคลินิก การวิเคราะห์ข้อมูล และการใช้กรอบแนวคิดกระบวนการพยาบาลเพื่อประเมินสุขภาพของผู้ป่วย ให้มีความสอดคล้องตามกรอบการประเมินภาวะสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอน<br /> ผลการศึกษาพบว่ากรณีศึกษาเป็นเพศหญิง รายที่ 1 อายุ 24 ปี มีประวัติภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์และทารกมีภาวะตัวโต เป็นกรณีวางแผนการผ่าตัดล่วงหน้า ส่วนกรณีศึกษารายที่ 2 อายุ 18 ปี ไม่มีโรคประจำตัวใดๆแต่ได้รับการผ่าตัดแบบฉุกเฉิน จำเป็นต้องได้รับการประเมินความเสี่ยงและเตรียมความพร้อมก่อนได้รับการระงับความรู้สึกก่อนผ่าตัด ผลลัพธ์การพยาบาลพบว่าผู้ป่วยกรณีศึกษาทั้ง 2 ราย ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนใดๆและสามารถจำหน่ายกลับบ้านได้</p> จิตรกร วิเศษปัสสา Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3822 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะท้ายแบบองค์รวมชนิดประคับประคอง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3823 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณลักษณะและปัญหาผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะท้ายและศึกษารูปแบบการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะท้ายแบบองค์รวมชนิดประคับประคอง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ มีระยะเวลาในการศึกษาระหว่าง เดือนตุลาคม 2566 ถึง เดือน กันยายน 2567 รวม 12 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะท้าย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ ทั้งหมด 490 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามและเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยได้รับการดูแลตามแนวทางทั้งหมด 490 คน สามารถแบ่งกลุ่มผู้ป่วยที่เข้ารับบริการภายใต้การตรวจรักษาของแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ครอบครัว ในรายที่เริ่มมีอาการของโรคมากและใกล้เสียชีวิต การตรวจรักษาของแพทย์เฉพาะทางอายุรศาสตร์ไต ในรายที่อาการของโรคยังคงที่และมีการปรับยาเฉพาะราย ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะท้าย (ระยะที่ 5) ได้รับข้อมูลการบำบัดทดแทนไต (Renal replacement therapy; RRT) ทุกราย ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะท้าย (ระยะที่ 5) ที่ไม่ฟอกไตและครอบครัวเข้าสู่กระบวนการการวางแผนและเป้าหมายล่วงหน้า (Advance care planning) มากกว่าร้อยละ 90 ผู้ป่วยที่เข้าสู่ช่วงระยะสุดท้ายได้รับการจัดการอาการที่เหมาะสม ลดความแออัด และลดระยะเวลารอคอยในการตรวจรักษาในโรงพยาบาล ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในกรณีที่ผู้ป่วยเข้าสู่ระยะสุดท้ายและความพึงพอใจของญาติผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะท้ายแบบองค์รวมชนิดประคับประคอง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ พบว่า โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ดาริน วะสัตย์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3823 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของการใช้โปรแกรมการวางแผนจำหน่ายต่อความรู้และการปฏิบัติการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บสมองระดับเล็กน้อย แผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลกุมภวาปี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3779 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยบาดเจ็บสมองระดับเล็กน้อยต่อความรู้และการปฏิบัติการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วย แผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลกุมภวาปี การวิจัยเป็นแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental) โดยใช้รูปแบบการทดลองกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pre-test Post-test Design) กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บสมองระดับเล็กน้อยที่รักษาในโรงพยาบาล จำนวน 34 คน คัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการวางแผนจำหน่ายโดยใช้แนวทาง D-METHOD และแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้และการปฏิบัติการดูแล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการแจกแจงความถี่ และสถิติเชิงอนุมาน Paired t-test <br /> ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยของผู้ดูแลหลังการทดลองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.011) โดยคะแนนเฉลี่ยก่อนการทดลองอยู่ที่ 17.70 (S.D. = 4.82) และเพิ่มขึ้นเป็น 20.20 (S.D. = 3.11) หลังการทดลอง การปฏิบัติการดูแลของผู้ดูแลเพิ่มขึ้นเช่นกัน (p-value &lt; 0.001) โดยคะแนนเฉลี่ยก่อนการทดลองอยู่ที่ 9.05 (S.D. = 1.51) และเพิ่มขึ้นเป็น 11.08 (S.D. = 1.62)</p> สุกัญญา บัณฑิตกุล Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3779 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการบริการสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองน้ำใส หลังถ่ายโอนภารกิจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3782 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแรงสนับสนุนทางสังคมของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองน้ำใสที่มีต่อการบริการสุขภาพแก่ประชาชน 2) ศึกษาความพึงพอใจของประชาชน และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา สิทธิ์การรักษา จำนวนครั้งในการเข้าถึงบริการสุขภาพ และปัจจัยแรงสนับสนุนทางสังคม กับความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการบริการสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองน้ำใส หลังถ่ายโอนภารกิจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่มีชื่อในทะเบียนราษฎร์และอยู่จริงในเขตตำบลหนองน้ำใส อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 312 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ไคว์สแคว สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และสเปียแมน<br /> ผลการศึกษา พบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองน้ำใสในระดับมาก 2) กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจในการให้บริการสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองน้ำใส ในระดับมาก และ 3) เพศมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์ทางลบในระดับต่ำมากกับความพึงพอใจของประชาชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อายุมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำมากกับความพึงพอใจของประชาชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปัจจัยแรงสนับสนุนทางสังคมทั้งด้านอารมณ์ ด้านการประเมินผล ด้านข้อมูลข่าวสาร และด้านเครื่องมือ มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงกับความพึงพอใจของประชาชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แต่สิทธิ์การรักษา และจำนวนครั้งในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ไม่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของประชาชน</p> ปรียานุช ใยยอง, จีระศักดิ์ ทัพผา Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3782 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบสารสนเทศในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อสนับสนุนการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จังหวัดสุพรรณบุรี : Cov19-Suphanburi Platform https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3836 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาระบบสารสนเทศในสถานการณ์ฉุกเฉิน สำหรับสนับสนุนการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของจังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบด้วย (1) การวางแผนและกำหนดความต้องการโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิ และการศึกษาข้อมูลจากเอกสาร (2) การพัฒนาต้นแบบการออกแบบและโดยผู้ใช้ (3) การสร้างระบบ (4) การทดสอบระบบและการเปลี่ยนระบบ กลุ่มตัวอย่างคือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน จำนวน 183 คน เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม และแบบบันทึกผลการดำเนินงาน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ สถิติพรรณนา และการทดสอบค่าที (One-sample t-test) ผลการศึกษาพบว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของจังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างปี 2563 ถึง 2565 พบผู้ป่วยจำนวน 11, 14,662 และ 35,304 ราย ตามลำดับ ซึ่งเป็นการระบาดเพิ่มมากขึ้น ต้องพัฒนาระบบสารสนเทศให้สามารถจัดเก็บ และบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงสร้างแอปพลิเคชัน ที่ชื่อว่า Cov19-Suphanburi Platform<br /> ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าระบบสารสนเทศด้วยระบบจัดการข้อมูลเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการคัดกรองและเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สามารถใช้บูรณาการข้อมูลเฝ้าระวังโรคในกลุ่มเสียงเพื่อประกอบการตัดสินใจในการกำหนดมาตรการควบคุมโรคระดับจังหวัดได้ ส่วนโครงสร้างทางวิศวกรรมซอฟต์แวร์ทีพัฒนาขึ้นสามารถต่อยอดใช้เป็นต้นแบบและต้นทุนเพื่อรับมือกับโรคระบาดอื่นๆ ในอนาคตได้ และเมื่อศึกษาผลการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พบว่าการพัฒนาระบบและการปรับแก้ในระยะเวลาที่จำกัดช่วงภาวะฉุกเฉิน ความร่วมมือระหว่างทีมตระหนักรู้สถานการณ์ และทีมเทคโนโลยีสารสนเทศที่รวดเร็ว ทำให้ทีมตระหนักรู้สถานการณ์สามารถลดเวลาในการดำเนินงานในแต่ละวันได้ ทำให้สามารถส่งรายงานได้ทันเวลา ลดปัญหาความเครียดของเจ้าหน้าที่ ทีมสอบสวนโรคในแต่ละพื้นที่ได้รับการส่งต่อและคืนข้อมูลกันได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำและอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยของระบบข้อมูล และขยายกลุ่มผู้ใช้งานไปยังกลุ่มต่างๆ ในระบบการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน</p> สัญญา สุขขำ, ชัยณรงค์ สุขขำ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3836 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 โปรแกรมการบำบัดด้วยดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการป้องกันการกลับไปเสพซ้ำของผู้ติดสารเสพติดแอมเฟตามีน: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมาน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3838 <p> การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา และรายงานผลของโปรแกรมการบำบัดด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในการส่งเสริมการป้องกันการกลับไปเสพซ้ำของผู้ติดสารเสพติดแอมเฟตามีน. โดยการสืบค้นข้อมูลอย่างเป็นระบบระหว่างเดือนสิงหาคม - ตุลาคม 2567 โดยใช้ฐานข้อมูล PubMed, CINAHL และ Cochrane เพื่อค้นหางานวิจัยตามเกณฑ์การคัดเลือก โดยเป็นงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษในช่วงปี พ.ศ. 2557 – 2567 การศึกษาครั้งนี้ได้นำ The Preferred Reporting Items for Systematic reviews and Meta-Analyses (PRISMA) มาใช้เพื่อเป็นแนวทางในการค้นหาและรายงานผลการวิจัย โดยมีผู้วิจัยสองคนประเมินคุณภาพของการศึกษาเชิงระเบียบวิธีวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยเป็นอิสระต่อกัน และมีผู้วิจัยคนที่สามเป็นผู้พิจารณากรณีมีความคิดเห็นที่แตกต่าง<br /> งานวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม จำนวน 7 เรื่อง ได้ถูกนำมาทบทวนอย่างเป็นระบบ ซึ่งมีงานวิจัย 3 เรื่องที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการวิเคราะห์อภิมานจากกลุ่มตัวอย่าง 271 คน เนื่องจากมีความแตกต่างของงานวิจัยที่นำมาศึกษาสูง ผู้วิจัยจึงทำการวิเคราะห์กลุ่มย่อยโดยใช้โมเดลแบบคงที่พบว่า โปรแกรมการบำบัดด้วยดิจิทัลโดยการใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงกระตุ้นให้เกิดความอยากในการใช้ยาเสพติดได้มากกว่ากลุ่มควบคุม (หลักฐานมีคุณภาพต่ำ) แม้ว่าประสิทธิผลของโปรแกรมการบำบัดด้วยดิจิทัลยังไม่สามารถสรุปได้เนื่องจากมีความแตกต่างของงานวิจัยที่นำมาศึกษาสูง มีจำนวนการศึกษาค่อนข้างจำกัดในการวิเคราะห์อภิมาน และหลักฐานมีคุณภาพต่ำ</p> ไกรวุฒิ ศรีจันทร์ , รัชณีย์ วรรณขาม , ปณิตา แคล้วอ้อม , กมลชนก จงวิไลเกษ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3838 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยกลไกการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม สำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและแกนนำเยาวชน ในการเฝ้าระวังและควบคุมการบริโภคยาสูบ อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3839 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยกลไกการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมสำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และแกนนำเยาวชนในการเฝ้าระวังและควบคุมการบริโภคยาสูบ อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด การวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ โดยระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์การเฝ้าระวังและควบคุมการบริโภคยาสูบ ระยะที่ 2 พัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยกลไกการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมสำหรับ อสม.และแกนนำเยาวชนในการเฝ้าระวังและควบคุมการบริโภคยาสูบ และระยะที่ 3 ศึกษาผลการพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 168 คน โดยการเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์การคัดเข้าและการคัดออก เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือเชิงคุณภาพ 2 ชุด ผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้านความตรงเชิงเนื้อหาและโครงสร้างจากผู้เชี่ยวชาญ 3 คน และเครื่องมือเชิงปริมาณ 2 ชุด ตรวจสอบความเชื่อมั่นโดยใช้วิธีหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้ค่า Cronbach’s Alpha Coefficient เท่ากับ 0.900 และ 0.878 ตามลำดับ<br /> ผลการวิจัย พบว่า สถานการณ์การเฝ้าระวังและควบคุมการบริโภคยาสูบ อัตราการสูบบุหรี่ของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป เท่ากับ ร้อยละ 12.90 กลุ่มอายุที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงสุด คือ 25 - 40 ปี ร้อยละ 22.24 ผู้ที่มีโรคประจำตัว มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ จำนวน 61 คน มีร้านค้าของชำที่มีการจำหน่ายบุหรี่ จำนวน 132 ร้าน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับไม่ดี ร้อยละ 58.93 และมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและควบคุมการบริโภคยาสูบอยู่ในระดับต่ำ ค่าเฉลี่ย 0.64 ผลการเฝ้าระวังและควบคุมการบริโภคยาสูบ ประเด็นการเฝ้าระวัง ณ จุดขาย และการโฆษณาผ่านสื่อ พบว่าส่วนใหญ่ร้านค้าขายผลิตภัณฑ์ยาสูบโดยปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ร้อยละ 75.52 โดยประเด็นปฏิบัติไม่ถูกต้อง ได้แก่ การขายผลิตภัณฑ์ยาสูบนอกสถานที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาตขายยาสูบ โดยมีการจำหน่ายในงานประเพณีชุมชนที่มีการแสดงมรสพ การเฝ้าระวังพฤติกรรมการซื้อและพฤติกรรมการขายบุหรี่ พบว่ามีคนขายที่อายุอายุต่ำกว่า 18 ปีขายผลิตภัณฑ์ยาสูบในวัดและในสวนสาธารณะเมื่อมีงานประเพณีชุมชนหรือมีมหรสพ รวมถึงการขายหรือให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบแก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และมีการแบ่งซองขายเป็นมวน การเข้าถึงบริการเลิกบุหรี่ พบว่าผู้สูบบุหรี่ได้รับคำแนะนำจาก อสม.และแกนนำเยาวชนให้เลิกบุหรี่จนสามารถเลิกบุหรี่ได้ จำนวน 328 คน ลดลงร้อยละ 3.11 และผู้ที่มีโรคประจำตัวสามารถเลิกบุหรี่ได้ ร้อยละ 80.33</p> วิม เหมโส Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3839 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ได้รับยาเคมีบำบัดกลุ่ม Antimetabolite ที่เกิดกลุ่มอาการมือและเท้า (Hand Foot Syndrome : HFS) และอาการชาปลายประสาท: กรณีศึกษา https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3840 <p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหา และการพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ได้รับยาเคมีบำบัดกลุ่ม Antimetabolite สูตร XELOX ซึ่งประกอบด้วยยา Capecitabine, Oxaliplatin ซึ่งส่งผลข้างเคียงที่รุนแรงกับผู้ป่วย ได้แก่ กลุ่มอาการมือและเท้า พิษต่อตับ อาการชาปลายประสาท วิธีดำเนินการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในงานการพยาบาลผู้ป่วยนอกเคมีบำบัด โรงพยาบาลมะเร็งลพบุรี โดยการซักประวัติจากผู้ป่วย เก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียน และแบบประเมินภาวะสุขภาพผู้ป่วยตามกรอบแนวคิดของการประเมินภาวะสุขภาพ 11 แบบ แผนของมาร์จอรีย์ กอร์ดอน กำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล โดยใช้แนวคิด และทฤษฎีระบบการพยาบาลแบบสนับสนุนและให้ความรู้ของโอเร็มมาเป็นกรอบแนวคิดในการวางแผนปฏิบัติการพยาบาล<br /> ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 78 ปี มาตามแพทย์นัดเพื่อรับการรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัด การวินิจฉัยโรค CA lower rectum staging probable III T2 or T3, N1M0 ได้รับการผ่าตัด Abdominoperineal resection (APR) with colostomy และรักษาด้วยยาเคมีบำบัด Adjuvant chemotherapy สูตร XELOX ระหว่างรับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด พบเกิดผลกระทบต่อระบบผิวหนัง ได้แก่ อาการแดง บวม เจ็บ หรือผิวลอกบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ผื่นแดง หรือ ผิวลอก (Hand Foot Syndrome : HFS) ซึ่งปัญหาดังกล่าวสามารถป้องกันและบรรเทาได้ หากผู้ป่วยได้รับการอธิบายถึงวิธีการเตรียมตัวก่อนรับยาเคมีบำบัด ระหว่างรับยาเคมีบำบัด และการปฏิบัติตัวหลังรับยาเคมีบำบัด เนื่องจากผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดสูตรนี้เป็นการรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะในโรงพยาบาล แต่การรักษายังคงต่อเนื่องเมื่อกลับไปอยู่บ้าน การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและญาติในการดูแลป้องกันบรรเทาอาการ การป้องกันการบาดเจ็บจะเป็นการลดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงให้แก่ผู้ป่วยได้</p> สุจิตรา ทองทรัพย์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3840 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาศักยภาพแกนนำชุมชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3841 <p> การศึกษานี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสถานการณ์โรคไข้เลือดออกและรูปแบบการพัฒนาศักยภาพแกนนำชุมชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาจารย์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ มีระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย ระหว่างเดือนตุลาคม 2567 ถึง เดือน ธันวาคม 2567 รวม 3 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ แกนนำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาจารย์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 45 คน ประกอบด้วย ผู้นำชุมชน และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 5 คน จำนวน 9 หมู่บ้าน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า หลังดำเนินการ โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกแกนนำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาจารย์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ก่อนและหลังการดำเนินงาน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยที่ หลังการดำเนินงานความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกแกนนำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาจารย์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ ดีกว่าก่อนการดำเนินงาน</p> สมิง กมลเลิศ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3841 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพด้วยหลัก 3อ 2ส เพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะโภชนาการเกิน ในอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3789 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ภาวะโภชนาการเกิน ความรู้และพฤติกรรมตามหลัก 3อ 2ส ของอาสาสมัครสาธารณสุขในพื้นที่อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น และพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพตามหลัก 3อ 2ส เพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะโภชนาการเกิน รวมทั้งประเมินผลจากการใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขในพื้นที่อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการประเมินรูปแบบจำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงโครงสร้างประกอบการสนทนากลุ่ม รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพที่พัฒนาขึ้น และแบบสอบถามความรู้ และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าร้อยละ (Percentage) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD.) ค่าฐานนิยม (Mode) และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ก่อน หลังการใช้รูปแบบฯ ด้วยสถิติ Paired t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า 1. ก่อนการใช้รูปแบบกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีดัชนีมวลกายในภาวะปกติ รองลงมาคือมีน้ำหนักเกิน และภาวะอ้วน มีคะแนนเฉลี่ยความรู้ และพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพตามหลัก 3 อ 2 ส อยู่ในระดับปานกลาง 2. รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพเพื่อการแก้ไขภาวะโภชนาการเกินที่ร่วมกันพัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) คณะทำงาน 2) เนื้อหา และทฤษฎี 3) รูปแบบกิจกรรม 4) ระยะเวลา 5) สถานที่จัดกิจกรรม 6) การประเมินผล 3. ผลจากการใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้นพบว่า ความรู้ และพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพตามหลัก 3 อ 2 ส หลังการใช้รูปแบบมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยก่อนการใช้รูปแบบอยู่ในระดับปานกลาง หลังจากใช้รูปแบบอยู่ในระดับสูง 4. ดัชนีมวลกายของกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านภาพรวมก่อนการใช้รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพที่พัฒนาขึ้น และหลังการใช้รูปแบบมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยหลังการใช้รูปแบบค่าดัชนีมวลกายมีแนวโน้มลดลง</p> อารดา หายักวงษ์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3789 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้สูงอายุสมองเสื่อมในระบบการดูแลระยะยาว:กรณีศึกษากรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3850 <p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติการพยาบาลผู้สูงอายุสมองเสื่อมในระบบการดูแลระยะยาว การศึกษาเพื่อเปรียบเทียบผู้ป่วยสมองเสื่อม จำนวน 2 ราย ที่ได้รับการดูแลแบบระยะยาวที่ศูนย์สุขภาพชุมชน โรงพยาบาลพล อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ดำเนินการศึกษา ระหว่างวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2567 ถึง วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567 เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบเก็บรวบรวมข้อมูล เวชระเบียนผู้ป่วย การสัมภาษณ์ การสังเกต การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน พยาธิสภาพของโรค การรักษา การวางแผนและปฏิบัติการพยาบาลตามข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล และประเมินผลลัพธ์ทางการพยาบาล<br /> ผลการศึกษา :พบว่าผู้ป่วยทั้ง 2 ราย ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองเสื่อม มีโรคร่วมคือโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยรายที่ 1 เพศหญิง อายุ 72 ปี หลานสาวเป็นผู้ดูแลหลัก สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้แต่ต้องมีคนคอยกำกับดูแล มีพฤติกรรมและอารมณ์ไม่เหมาะสม ผู้ป่วยรายที่ 2 เพศหญิง อายุ 76 ปี สามีเป็นผู้ดูแลหลัก ไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ มีพฤติกรรมและอารมณ์ไม่เหมาะสม ผู้สูงอายุสมองเสื่อมทั้ง 2 ราย ได้รับการดูแลตามกระบวนการพยาบาลร่วมกับแนวทาง Dementia Management (A-N) พบว่าผู้ป่วยรายที่ 1สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้บางส่วน รายที่ 2 ต้องการการดูแลทำกิจวัตรประจำวันขั้นพื้นฐาน ผู้ป่วยทั้ง 2 ราย มีพฤติกรรมและอารมณ์ไม่เหมาะสมลดลง ปลอดภัย ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ผู้ดูแลมีความรู้ความเข้าใจการดูแลผู้สูงอายุสมองเสื่อม ภาระการดูแลลดลง ผู้ป่วยและผู้ดูแลมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความพึงพอใจในระบบการดูแลมาก</p> สุปัญญา นนทะเสน Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3850 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การจัดการความปวดผู้ป่วยหลังผ่าตัด ตึกผู้ป่วยศัลยกรรมทั่วไป และศัลยกรรมกระดูกและข้อ โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3851 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณลักษณะและปัญหาผู้ป่วยหลังผ่าตัด และศึกษาการจัดการความปวดผู้ป่วยหลังผ่าตัด ตึกผู้ป่วยศัลยกรรมทั่วไป และศัลยกรรมกระดูกและข้อ โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ มีระยะเวลาในการศึกษาระหว่าง เดือนพฤศจิกายน 2567 ถึง เดือน ธันวาคม 2567 รวม 2 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยหลังผ่าตัด ตึกผู้ป่วยศัลยกรรมทั่วไป และศัลยกรรมกระดูกและข้อ โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 168 ราย เก็บข้อมูลจากเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการศึกษา พบว่า หลังการจัดการความปวด ระดับความปวดผู้ป่วยหลังผ่าตัด มีตั้งแต่ 1 – 6 โดยที่ระดับที่ปวดมากที่สุด ได้แก่ ระดับ 6 ร้อยละ 39.9 รองลงมา ระดับ 4 ร้อยละ 22.0 และระดับ 5 ร้อยละ 13.7 ตามลำดับ ระดับความปวดผู้ป่วยหลังผ่าตัด ตึกผู้ป่วยศัลยกรรมทั่วไป และศัลยกรรมกระดูกและข้อ โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ก่อนและหลังการจัดการความปวด มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่หลังการจัดการความปวดสามารถลดความลงได้</p> รชยา เรืองช่อ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3851 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาศักยภาพแกนนำชุมชนในการเฝ้าระวังโรควัณโรค โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านกุงเก่า อำเภอท่าคันโท https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3852 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความรอบรู้และความเข้าใจในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม โรควัณโรคในชุมชน แกนนำชุมชนและศึกษารูปแบบการพัฒนาศักยภาพแกนนำชุมชนในการเฝ้าระวังโรควัณโรค โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านกุงเก่า อำเภอท่าคันโท มีระยะเวลาในการศึกษาระหว่าง เดือนพฤศจิกายน 2567 ถึง เดือน มกราคม 2568 รวม 3 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ตัวแทนแกนนำชุมชนในการเฝ้าระวังโรควัณโรค โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านกุงเก่า อำเภอท่าคันโท จำนวน 55 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ความรอบรู้และความเข้าใจ การเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม โรควัณโรคในชุมชน แกนนำชุมชนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านกุงเก่า อำเภอท่าคันโท พบว่า โดยรวมและรายด้าน ก่อนการดำเนินงาน อยู่ในระดับปานกลาง หลังการดำเนินงาน อยู่ในระดับมากที่สุด การเปรียบเทียบความรอบรู้และความเข้าใจในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม โรควัณโรคในชุมชน แกนนำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านกุงเก่า อำเภอท่าคันโท ก่อนและหลังการดำเนินงาน พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่หลังการดำเนินงาน ความรอบรู้ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม โรควัณโรคในชุมชน แกนนำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านกุงเก่า อำเภอท่าคันโท มีค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนการดำเนินการ</p> ศิริชัย ไกรเสน Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3852 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการพยาบาลวิถีใหม่ในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 โรงพยาบาลอุดรธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3793 <p> การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการพยาบาลวิถีใหม่ในการดูแลผู้ป่วย โควิด 19 และ 2) ศึกษาผลการพยาบาลวิถีใหม่ในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 โรงพยาบาลอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานที่หอผู้ป่วยแยกโรค 84 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) แนวทางการพยาบาลวิถีใหม่ในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 แนวทางการบริหารอัตรากำลังพยาบาลในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ของกองการพยาบาล แนวทางการบริหารอัตรากำลังพยาบาล ของกลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลอุดรธานี แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการ ติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกรมการแพทย์ แนวทางเวชปฏิบัติของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เรื่องการดูแลรักษาสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด 19 แผนประคองกิจการ เพื่อรองรับการระบาดในกรณีโรค โควิด 19 ของโรงพยาบาลอุดรธานี แผนการประชุมระดมสมอง และ 2) แบบทดสอบวัดความรู้ และ 4) แบบประเมินความ พึงพอใจของพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ paired t-test<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1. กลุ่มการพยาบาล มีการบริหารอัตรากำลังบุคลากรพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด และมีค่าผลิตภาพทางการพยาบาลอยู่ในเกณฑ์ 2. แนวทางการพยาบาลวิถีใหม่ในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ประกอบด้วย การซักประวัติและการประเมินผู้ป่วยแรกรับ การพยาบาลและการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนภาวะวิกฤตขณะรับการรักษา การพยาบาลเพื่อป้องกันการติดเชื้อและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ การเก็บสิ่งส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ การวางแผนจำหน่าย การประสานการดูแลต่อเนื่องกับเครือข่าย และการบันทึกทางการพยาบาล 3. ผลลัพธ์การใช้แนวทางการพยาบาลวิถีใหม่ในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ได้แก่ ด้านผู้ให้บริการ พบว่า มีความรู้ และทักษะการปฏิบัติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความพึงพอใจของผู้ให้บริการต่อการใช้แนวทางการพยาบาลวิถีใหม่ฯ อยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.45, SD = 0.49) ด้านความปลอดภัยของผู้ให้บริการและผู้รับบริการ พบว่าบุคลากรพยาบาลมีการติดเชื้อโควิด 19 ลดลง และอุบัติการณ์ความเสี่ยงในการย้ายผู้ป่วยไปหอผู้ป่วยแยกโรควิกฤตลดลง</p> เนาวนิตย์ พลพินิจ, สมไสว อินทะชุบ, วรัญรดา เชื้อตายา, ณัฐชยา สิมมะลี Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3793 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลการพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจขณะส่งต่อ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3804 <p> การวิจัยครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้ และทักษะการดูแลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจของพยาบาลวิชาชีพขณะส่งต่อผู้ป่วย ก่อนและหลังพัฒนาสมรรถนะ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มเดียววัดซ้ำก่อนหลัง กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 23 ราย มาจากการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง การเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 ถึง พฤศจิกายน 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความรู้ และแบบประเมินทักษะการดูแลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจของพยาบาลวิชาชีพขณะส่งต่อผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (x ̅) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และวิเคราะห์ผลการเปรียบเทียบความรู้ และทักษะ ก่อนหลังโดยใช้สถิติ paired sample t-test.<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความรู้ก่อน และหลังการการพัฒนาสมรรถนะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ทักษะการดูแลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจขณะส่งต่อหลังการพัฒนาสมรรถนะมีความแตกต่างกับก่อนการพัฒนาสมรรถนะอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลลัพธ์อาการทางคลินิกของผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลในระหว่างส่งต่อด้วยการใช้เครื่อง Transfer Ventilator พบว่า มีอาการ SpO2 drop 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.54 พยาบาลให้การพยาบาลผุ้ป่วยและส่งต่อสำเร็จ และได้รับการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่มีอุบัติการผู้ป่วยเสียชีวิตร้อยละ 100</p> วีรยาพร ความเพียร , ณีรนุช วงค์เจริญ , ภูมินทร์ ดวงสุริยะ , นิตยา ทานันท์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3804 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยต่ออุบัติการณ์การถอดท่อช่วยหายใจ โดยไม่ได้วางแผนในผู้ป่วยผู้ใหญ่ หอผู้ป่วยหนักผู้ใหญ่ โรงพยาบาลวานรนิวาส https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3855 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของระบบการดูแลผู้ป่วยต่ออุบัติการณ์การถอดท่อช่วยหายใจโดยไม่ได้วางแผน (Unplanned Extubation: UE) ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ หอผู้ป่วยหนักผู้ใหญ่ โรงพยาบาลวานรนิวาส ประชากรในการศึกษานี้คือ ผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีการใส่ท่อช่วยหายใจ หอผู้ป่วยหนักผู้ใหญ่ โรงพยาบาลวานรนิวาส จำนวน 24 คน โดยใช้แนวทางการประเมินความเสี่ยงผ่านคะแนน MASS (Motor Activity Assessment Scale) และกระบวนการ PDCA (Plan-Do-Check-Act) แนวทางที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยการประเมินความเสี่ยงการถอดท่อช่วยหายใจโดยไม่ได้วางแผน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การหย่าเครื่องช่วยหายใจ การประเมินความเจ็บปวดและการผูกยึดร่างกายที่เหมาะสม ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์เปรียบเทียบผลลัพธ์ด้วยสถิติ paired t-test, Independent t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า เจ้าหน้าที่พยาบาลมีความคิดเห็นต่อความเป็นไปได้ในการนำแนวปฏิบัติไปใช้อยู่ในระดับมากที่สุด การศึกษาสภาพปัญหาพบว่าผู้ป่วยที่มีคะแนน MASS สูง (5.0 ขึ้นไป) มีความเสี่ยงต่อการเกิด UE มากที่สุด และพบการเกิด UE ร้อยละ 25 ในผู้ป่วยที่มีคะแนน MASS สูง (5.0 ขึ้นไป) ขณะที่กลุ่มผู้ป่วยที่มีคะแนน MASS ต่ำ (2.0-4.0) ไม่มีเหตุการณ์ UE ด้านผลลัพธ์การดูแลพบว่า ระยะเวลาการใส่ท่อช่วยหายใจหลังการพัฒนามีค่าเฉลี่ยลดลง 1.2 วันในกลุ่มผู้ป่วยทั้งหมด</p> นาถอนงค์ สุโพ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3855 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ของบุคลากร โรงพยาบาลขอนแก่น https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3856 <p> การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ของบุคลากร โรงพยาบาลขอนแก่น และนำผลการพัฒนารูปแบบไปใช้ในการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย กระบวนการวิจัยครอบคลุม 4 ระยะดังนี้ ระยะที่ 1 ศึกษาปัญหาในเรื่องพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน รูปแบบการวิจัย การวิจัยเชิงสำรวจและการสนทนากลุ่ม ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบในการแก้ปัญหาโดยการยกร่างโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตามแนวคิดของการรับรู้สมรรถภาพแห่งตน ระยะที่ 3 การประเมินผลรูปแบบ กลุ่มตัวอย่างมาจากการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 50 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1. เครื่องมือที่เป็นรูปแบบโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 2.เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม ระยะเวลาดำเนินการ 12 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความแตกต่างค่าคะแนนเฉลี่ย วิเคราะห์ด้วยสถิติPaired Sample t-test ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05<br /> ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มทดลองที่เข้าร่วมโปรแกรม มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าก่อนการทดลอง มีค่าเฉลี่ยดัชนีมวลการและค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือดลดลงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value&lt;.05 และมีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้สมรรถภาพแห่งตนและค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพเพิ่มขึ้นกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value&lt;.05 ระยะที่ 4 การขยายผลการวิจัยโดยนำรูปแบบที่พัฒนาไปทดลองในกลุ่มที่มีค่าดัชนีมวลกายเกินเกณฑ์ขึ้นไป ร่วมกับมีระดับน้ำตาลในเลือดระหว่าง 100-125 mg % เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเอง ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน เมื่อนำไปทดสอบซ้ำ พบว่ามีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ค่าดัชนีมวลกาย และระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> สงกรานต์ กลั่นด้วง , เพ็ญนภา ศรวิเศษ, ศศิกร ไชยประทุม , พิมพร รุจิรกุล Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3856 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3857 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 239 คน โดยการเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์การคัดเข้าและเกณฑ์การคัดออก เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบสัมภาษณ์พฤติกรรมสุขภาพ และแบบรายงานข้อมูลค่าความดันโลหิต วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการวิจัย พบว่า บริบทชุมชนเป็นสังคมชนบทอีสาน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม นิยมใช้ปลาร้าเป็นส่วนประกอบสำคัญของการปรุงอาหารและรับประทานข้าวเหนียวเป็นหลัก มีการออกกำลังกายตามวิถีชีวิต เป็นเพศหญิง ร้อยละ 57.32 มีค่าดัชนีมวลกายเฉลี่ย 27.66 Kg/m<sup>2</sup> ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพอยู่ในระดับไม่ดี ร้อยละ 56.07 และร้อยละ 53.97 ตามลำดับ หลังการดำเนินงาน กลุ่มตัวอย่างมีค่าความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 78.24 ค่าดัชนีมวลกายเฉลี่ยลงดลงเป็น 25.04 Kg/m<sup>2</sup> และมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 82.85</p> เฉลิมขวัญ มลิพันธ์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3857 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจก https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3845 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบ 1) ความรู้เกี่ยวกับต้อกระจกและการดูแลสุขภาพตนเอง 2) แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ และ 3) พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจก ก่อนและหลังการทดลองโปรแกรมการส่งเสริมการดูแลตนเอง ใช้กรอบแนวคิดความรู้ พฤติกรรม และแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพในการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้สูงอายุที่ได้รับการผ่าตัดโรคต้อกระจก ณ แผนกจักษุวิทยา โรงพยาบาลแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในช่วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2567 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที<br /> ผลการศึกษา พบว่า 1) ก่อนการทดลอง กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับต้อกระจกและการดูแลสุขภาพตนเอง อยู่ในระดับปานกลาง หลังการทดลอง มีความรู้เกี่ยวกับต้อกระจกและการดูแลสุขภาพตนเองอยู่ในระดับมาก โดยกลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับต้อกระจกและการดูแลสุขภาพตนเอง หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ก่อนการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง หลังการทดลอง มีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพอยู่ในระดับมาก โดยกลุ่มตัวอย่างมีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ก่อนการทดลอง กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง อยู่ในระดับน้อยที่สุด หลังการทดลอง มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองอยู่ในระดับมาก โดยกลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อัญชลี ทวีวรรณคีรี, จีระศักดิ์ ทัพผา Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3845 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของการนวดเต้านมร่วมกับการประคบร้อนต่อการไหลของน้ำนมในมารดาหลังคลอดปกติ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3842 <p> การศึกษาวิจัยแบบกึ่งทดลองนี้ (Quasi-experimental Research) เป็นแบบ 2 กลุ่ม วัดผลหลังการทดลอง (Two Groups Post Test only Design) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของการนวดเต้านมร่วมกับการประคบร้อนต่อการไหลของน้ำนมในมารดาหลังคลอดปกติ กลุ่มตัวอย่าง คือ มารดาหลังคลอด จำนวน 30 คน แบ่งออกเป็น กลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลสำหรับมารดาหลังคลอดตามปกติ จำนวน 15 คน และกลุ่มทดลองที่ได้รับการสอนรูปแบบการนวดกระตุ้นเต้านมด้วยตนเองร่วมกับการประคบร้อน จำนวน 15 คน โดยเปรียบเทียบคะแนนระดับการไหลของน้ำนมหลังการทดลองระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ (1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ รูปแบบการนวดเต้านมด้วยตนเอง ประกอบด้วย แผนการสอนการนวดเต้านมด้วยตนเอง คู่มือการนวดเต้านมด้วยตนเอง อุปกรณ์ ในการประคบเต้านม และแบบประเมินทักษะในการนวดเต้านมด้วยตนเองในระยะตั้งครรภ์ (2) เครื่องมือที่ใช้กำกับการทดลอง ได้แก่ แบบบันทึกการนวดเต้านมด้วยตนเองในระยะหลังคลอด (3) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบประเมินการไหลของน้ำนม เครื่องมือดังกล่าวได้ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงด้านเนื้อหา เท่ากับ .80 ทดสอบความเที่ยงระหว่างผู้สังเกตของแบบประเมินการไหลของน้ำนม ได้ค่าเท่ากับ .90<br /> ผลการวิจัย พบว่ามารดาหลังคลอดที่ได้รับรูปแบบการนวดเต้านมด้วยตนเองร่วมกับการประคบร้อนมีคะแนนเฉลี่ยการไหลของน้ำนม หลังการทดลองในชั่วโมงที่ 12, 24, และ 48 หลังทารกคลอดสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (x̄ =1.47, SD = 0.52 , p &lt;.05), (x̄ =2.27, SD = 0.46 , p &lt;.05), (x̄ =2.87, SD = 0.35 , p &lt;.05) ตามลำดับ</p> สายหยุด ภาชะนนท์, พิมพ์ใจ ลังการ์พินธุ์, นันทภัค สมฤทธิ์, กฤตยา วงศ์ใหญ่ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3842 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมส่งเสริมการมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรีอายุ 30 - 60 ปี ศูนย์สุขภาพชุมชนตำบลสว่างแดนดิน โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3890 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลของการใช้โปรแกรมส่งเสริมการมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก กลุ่มตัวอย่างคือ สตรีอายุ 30 - 60 ปี ในเขตศูนย์สุขภาพชุมชนตำบลสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ที่ไม่เคยมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก แบ่งกลุ่มโดยวิธีการสุ่มอย่างง่ายเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบทียบ มีจำนวนผู้เข้าร่วมกลุ่มละ 40 คน กลุ่มทดลองได้รับกิจกรรมตามโปรแกรมส่งเสริมการมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่ผู้วิจัยออกแบบไว้ ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบจะได้รับการให้บริการตามปกติจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ เชิงพรรณนาด้วย จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และสถิติเชิงอนุมานด้วย paired sample t - test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05<br /> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดโรค ความคาดหวังในความสามารถของตนเอง ความคาดหวังในประสิทธิผลของการตอบสนอง และแรงสนับสนุนทางสังคม เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าก่อนการทดลอง และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติค่า <em>P - value</em> &lt; 0.001 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม หลังการทดลองพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติค่า <em>P - value</em> &lt; 0.001 และ สัดส่วนของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ (5.7 เท่า) โดยกลุ่มทดลองทุกคนมาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกราย คิดเป็น ร้อยละ 100 ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบมาเพียง 7 ราย คิดเป็น ร้อยละ 17.5</p> วิมลศรี ศิริบำรุง Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3890 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบกรณีศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนักที่ได้รับการผ่าตัดเปิดลำไส้ทางหน้าท้อง (Colostomy) สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3891 <p> การศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนักที่ได้รับการผ่าตัดเปิดลำไส้ทางหน้าท้อง (Colostomy) สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการดูแลพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับการผ่าตัดเปิดลำไส้ทางหน้าท้อง (Colostomy) และเพื่อส่งเสริมความสามารถในการดูแลตนเองและครอบครัวของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่มีภาวะร่วมกับโรคเรื้อรังก่อนผู้ป่วยกลับบ้านให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยกลุ่มตัวอย่างกรณีศึกษาครั้งนี้เป็นผู้ป่วย 2 รายที่มีภาวะโรคร่วม ได้แก่ โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคตับ การศึกษามุ่งเน้นการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม ครอบคลุมการจัดการด้านร่างกาย จิตใจ และการสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวและลดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด<br /> ผลการศึกษา พบว่า การดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัด โดยอาศัยการดูแลแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และการสนับสนุนจากครอบครัว การพยาบาลที่เน้นการจัดการด้านร่างกายและจิตใจ ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนการให้คำแนะนาเกี่ยวกับการดูแลตนเอง ช่วยเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้ป่วยและครอบครัว การส่งเสริมให้ครอบครัวมีบทบาทในการสนับสนุนผู้ป่วยส่งผลให้การฟื้นตัวทางจิตใจและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และการสนับสนุนจากครอบครัวช่วยให้ผู้ป่วยมีความพร้อมในการปรับตัวกับชีวิตใหม่ และลดผลกระทบในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ประศาสตร์พร ชื่นใจ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3891 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร เพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นอำเภอเมืองจังหวัดชลบุรี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3895 <p> การวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาความรู้ข้อมูลบนฉลากผลิตภัณฑ์อาหาร, ความเชื่อด้านสุขภาพตามการรับรู้ พฤติกรรมการบริโภคอาหาร และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ข้อมูลบนฉลากกับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น อำเภอเมืองจังหวัดชลบุรี จำนวน 392 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคเพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นอำเภอเมืองจังหวัดชลบุรี วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และหาความสัมพันธ์โดยใช้สถิติ Chi-square Test ระหว่างเดือน มกราคม-ธันวาคม 2567<br /> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 55.4 ภาวะโภชนาการสมส่วน ร้อยละ 59.9 อ้วนและเริ่มอ้วน ร้อยละ 19.3 ความรู้ข้อมูลบนฉลากผลิตภัณฑ์อาหารระดับดี ร้อยละ 36.0 ความเชื่อด้านสุขภาพตามการรับรู้ ระดับปานกลาง ร้อยละ 71.2 ด้านความสัมพันธ์พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ข้อมูลบนฉลากผลิตภัณฑ์อาหารกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารลด หวาน มัน เค็ม เพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง พบว่าไม่มีความสัมพันธ์กัน และ พบว่าความเชื่อด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<strong>p&lt; 0.05</strong><strong>)</strong> กลุ่มที่มีความเชื่อด้านสุขภาพในระดับดี มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ดีถึงร้อยละ <strong>87.5</strong></p> ทรัสลักษมณ์ ก่อเกียรติธัญกร , จุฑานภ พุ้ยน้อย Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3895 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาศักยภาพในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยเบาหวานของแกนนำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านบอน อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3896 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความเข้าใจในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยเบาหวาน ของแกนนำชุมชน และศึกษารูปแบบการพัฒนาศักยภาพในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยเบาหวานของแกนนำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านบอน อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีระยะเวลาในการศึกษาระหว่าง เดือนพฤศจิกายน 2567 ถึง เดือน ธันวาคม 2567 รวม 2 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ แกนนำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านบอน อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 50 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ความเข้าใจในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยเบาหวาน ของแกนนำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านบอน อำเภอสมเด็จจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยรวมและรายด้าน ก่อนดำเนินการ อยู่ในระดับมาก หลังดำเนินการ อยู่ในระดับมากที่สุด และความเข้าใจในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยเบาหวาน ของแกนนำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านบอน อำเภอสมเด็จจังหวัดกาฬสินธุ์ ก่อนและหลังการดำเนินงาน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่หลังการดำเนินงาน ความเข้าใจในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยเบาหวาน ของแกนนำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านบอน อำเภอสมเด็จจังหวัดกาฬสินธุ์ มีค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนการดำเนินการ</p> อภิญญา โคตรลาคำ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3896 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการใช้โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง ประชาชน อายุ 35 ปีขึ้นไป ศูนย์แพทย์วัดหนองแวงพระอารามหลวง กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลขอนแก่น https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3897 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทปัญหา พัฒนาและใช้รูปแบบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง ประชาชน อายุ 35 ปีขึ้นไป ทำการศึกษาดำเนินการวิจัย 13 เดือน ระหว่างเดือนเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2565 - มีนาคม พ.ศ.2566 กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพคือภาคีเครือข่ายสุขภาพ 45 คน เชิงปริมาณคือกลุ่มเสี่ยงประชาชน อายุ 35 ปีขึ้นไป จำนวน 386 คน เครื่องมือ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกในการสนทนากลุ่ม โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แบบเก็บข้อมูลทั่วไป แบบทดสอบความรู้ทางสุขภาพ แบบประเมินพฤติกรรม และ แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ใช้สถิติ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ paired t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนารูปแบบการใช้โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพกลุ่มเสี่ยงเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงในประชาชน อายุ 35 ปีขึ้นไป ประกอบด้วย 8 รูปแบบ ดังนี้ 1) วางระบบการคัดกรองที่ชัดเจน 2) พัฒนาแบบฟอร์มการเก็บรวบรมข้อมูลผ่าน google form 3) ทำงานเป็นทีมประสานงานและติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4) การประชาสัมพันธ์โครงการ 5) พัฒนาศักยภาพ อสม. 6) การใช้นวัตกรรม 7) การวิเคราะห์รวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ 8) การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผลลัพธ์ของการใช้รูปแบบพบว่า ความรอบรู้ทางสุขภาพ พฤติกรรมการป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และความพึงพอใจ เพิ่มขึ้น ภายหลังการพัฒนาอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ p &lt;.05, t = 6.42, 7.80, 10.16 ตามลำดับ</p> ณิชกานต์ กากแก้ว, ศุภลักษณ์ เอกอุเวชกุล Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3897 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะผู้ปกครอง ต่อความรู้และพฤติกรรมของผู้ปกครองเด็กโรคปอดอักเสบ โรงพยาบาลสุโขทัย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3899 <p> การวิจัยเชิงกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนหลังเพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะผู้ปกครองที่ส่งผลต่อ ความรู้เกี่ยวกับโรคปอดอักเสบ พฤติกรรมการดูแลเด็กโรคปอดอักเสบในผู้ปกครอง และอัตราการกลับมารักษาซ้ำด้วยโรคปอดอักเสบในเด็ก โรงพยาบาลสุโขทัย กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ปกครองและเด็กโรคปอดอักเสบอายุ 1 เดือน – 5 ปี โรงพยาบาลสุโขทัย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม และกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 39 คน คัดเลือกโดยเฉพาะเจาะจง เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะผู้ปกครอง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ t-test<br /> ผลการศึกษา พบว่า หลังการทดลองผู้ปกครองกลุ่มทดลองมีความรู้เกี่ยวกับโรคปอดอักเสบ และพฤติกรรมการดูแลเด็กโรคปอดอักเสบสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม และสูงกว่ากลุ่มควบคุม แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt; 0.001) ผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบกลุ่มทดลอง มีอัตราการกลับมารักษาซ้ำต่ำกว่ากลุ่มควบคุม แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt; 0.05)</p> ภัทราวรรณ ศิรินันทยา , นภาพร อินทร์เรือง Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3899 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการให้คำปรึกษาผ่านระบบเภสัชกรรมทางไกล ในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3898 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทปัญหา พัฒนาและใช้รูปแบบการให้คำปรึกษาผ่านระบบเภสัชกรรมทางไกลในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ทำการศึกษาดำเนินการวิจัย 12 เดือน ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2565-กันยายน พ.ศ.2566 กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพคือภาคีเครือข่ายสุขภาพ 45 คน เชิงปริมาณคือผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 35 คน เครื่องมือ ได้แก่ ระบบการให้คำปรึกษาทางไกลผ่านแอปพลิเคชันสำหรับให้คำปรึกษารายบุคคลแบบออนไลน์ สื่อวิดีโอการให้ความรู้ออนไลน์ทางไกลเรื่องโรคความดันโลหิตสูง แบบสัมภาษณ์เชิงลึกในการสนทนากลุ่ม แบบเก็บข้อมูลทั่วไป แบบทดสอบความรอบรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง แบบประเมินพฤติกรรมการรับประทานอาหาร แบบประเมินปัญหาด้านใช้ยา แบบประเมินความร่วมมือในการใช้ยา และ แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ใช้สถิติ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ paired t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนารูปแบบประกอบด้วย 6 รูปแบบ ดังนี้ ประกอบด้วย 8 รูปแบบสำคัญดังนี้ 1) วางระบบการดำเนินการให้คำปรึกษาผ่านแอปพลิเคชันสำหรับให้คำปรึกษารายบุคคลแบบออนไลน์ 2) พัฒนาระบบสื่อออนไลน์ เพื่อเพิ่มแนวทางการส่งเสริมการเข้าถึงองค์ความรู้โรคความดันโลหิตสูง ผ่านสื่อวิดีโอออนไลน์ 3) ทำงานเป็นทีมประสานงานและติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4) ประชาสัมพันธ์โครงการ 5) จัดกิจกรรมอบรมพัฒนาศักยภาพ อสม. 6) ใช้นวัตกรรมสื่อและระบบให้คำปรึกษา ให้ครอบคลุมทั้งหมดทุกชุมชน 7) วิเคราะห์รวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ 8) จัดเวที แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผลการใช้รูปแบบพบว่า ความรู้เรื่องโรคความดันโลหิตสูง เพิ่มมากขึ้น พฤติกรรมการบริโภคอาหาร ปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ความร่วมมือการใช้ยา ดีขึ้นมีปัญหาลดลง และ ความพึงพอใจ ภาพรวมไปในทิศทางที่ดีขึ้น ภายหลังการพัฒนาอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ p &lt;.05, t = 6.62, 6.86, 4.36, 8.62 ตามลำดับ</p> ศิรินภา พลเยี่ยม Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3898 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาโปรแกรมการจัดการตนเองสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ได้ : ศูนย์แพทย์ประชาสโมสร โรงพยาบาลขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3900 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการณ์ ปัญหา และความต้องการ ในการจัดการตนเองสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ศูนย์แพทย์ประชาสโมสร โรงพยาบาลขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น พัฒนาและศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการจัดการตนเองสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ทำการศึกษาดำเนินการวิจัย 12 เดือน ระหว่างเดือนสิงหาคม 2565-เดือนกรกฎาคม 2566 กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ คือสหวิชาชีพและภาคีเครือข่ายผู้ดูแลผู้ป่วยเบาหวาน 10 คน เชิงปริมาณ คือผู้ป่วยเบาหวานชนิด 2 ที่ควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ได้จำนวน 30 คน เครื่องมือ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกในการสนทนากลุ่ม โปรแกรมการจัดการตนเอง แบบเก็บข้อมูลทั่วไป แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ใช้สถิติ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ paired t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาโปรแกรม ประกอบด้วย 6 รูปแบบ ดังนี้ ประกอบด้วย 1) การให้ความรู้เรื่องโรคเบาหวาน 2) การควบคุมน้ำตาล 3) การพัฒนาทักษะการจัดการตนเอง 4) ประโยชนของการจัดการตนเองและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสร้างแรงจูงใจ 5) การส่งเสริมฝึกทักษะให้ตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง 6) การฝึกเขียนบันทึกเพื่อตั้งเป้าหมายและแผนการจัดการตนเอง ผลการวิจัยพบว่า ระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) พฤติกรรมการจัดการตนเอง และ ระดับความพึงพอใจ เพิ่มขึ้น ภายหลังการใช้โปรแกรมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ p &lt;.05, t = -6.86, 8.42, 9.21 ตามลำดับ</p> นันทิยา ไทยภักดี , อรอนงค์ เจ็กภู่ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3900 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาแนวทางการส่งเสริมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด เครือข่ายอนามัยแม่และเด็กจังหวัดหนองคาย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3902 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการส่งเสริมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด เครือข่ายอนามัยแม่และเด็กจังหวัดหนองคาย ดำเนินการระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ถึง วันที่ 30 มิถุนายน 2567 กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มที่นำแนวทางการส่งเสริมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด เครือข่ายอนามัยแม่และเด็กจังหวัดหนองคายไปปฏิบัติ จำนวน 83 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แนวทางปฏิบัติงานการส่งเสริมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด จังหวัดหนองคาย แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อแนวทางปฏิบัติงานการส่งเสริมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด จังหวัดหนองคาย แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อวิธีการส่งเสริมการปฏิบัติการส่งเสริมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด และแบบบันทึกการสังเกตการปฏิบัติการส่งเสริมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติ Paired t - test ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการส่งเสริมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด เครือข่ายอนามัยแม่และเด็กจังหวัดหนองคาย ประกอบด้วย 1) การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ 2) การทบทวนความรู้ 3) การประเมินผลและให้ข้อมูลย้อนกลับ 4) การกระตุ้นเตือนโดยใช้แผ่นพับ และ 5) การสนับสนุนแนวทางปฏิบัติงานการส่งเสริมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด จังหวัดหนองคาย หลังสิ้นสุดกิจกรรมการส่งเสริมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด เครือข่ายอนามัยแม่และเด็กจังหวัดหนองคาย โดยใช้แนวทางที่พัฒนาขึ้น พบว่า ภาพรวมของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขรับผิดชอบงานอนามัยแม่และเด็กในโรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โดยการให้ความรู้หญิงตั้งครรภ์ในการดูแลตนเองลดพฤติกรรมเสี่ยง การคัดกรองความเสี่ยงต่อภาวะการคลอดก่อนกำหนด การกำหนด MOU-EDC การส่งต่อหญิงตั้งครรภ์ และการติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง ก่อนและหลังการส่งเสริมการปฏิบัติการส่งเสริมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนดมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> จรรยา คำอุ่น , ขนิษฐา นาหนองตูม Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3902 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการดูแลระยะกลางโดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวต่อผลลัพธ์ ทางด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลมุกดาหาร https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3903 <p> งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมการดูแลระยะกลางโดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวต่อผลลัพธ์ทางด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลมุกดาหาร ศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ที่มารับบริการในศูนย์เรียนรู้การดูแลผู้ป่วยต่อเนื่อง กลุ่มงานการพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลมุกดาหาร ทำการศึกษาในระหว่างเดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม 2567 จำนวน 35 คน เปรียบเทียบก่อนและหลังชนิดแบบ 1 กลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของผู้ดูแล (Care givers) แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง แบบสอบถามความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และแบบสอบถามคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เครื่องมือที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพ และเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการส่งเสริมการดูแลระยะกลางโดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวต่อผลลัพธ์ทางด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลมุกดาหาร และคู่มือการการส่งเสริมการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลมุกดาหาร การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โดยสถิติเชิงพรรณนาหาความถี่ ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างเพื่อเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ Paired t-test<br /> ผลการศึกษา : พบว่า 1) พฤติกรรมในการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของกลุ่มตัวอย่างหลังการทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของกลุ่มตัวอย่างหลังการทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของกลุ่มตัวอย่างหลังการทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> วลัยลักษณ์ จันเต็ม Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3903 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาทุ่ง ตำบลกุดประทาย อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3910 <p> การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาทุ่ง ตำบลกุดประทาย อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 57 คน รวม 114 คน กลุ่มทดลอง คือ ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาทุ่ง ตำบลกุดประทาย อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มเปรียบเทียบ คือ ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโนนกอย ตำบลกุดประทาย อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 2 ครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างวันที่ 3 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2568 เปรียบเทียบผลต่างของคะแนนเฉลี่ยของตัวแปรภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ paired t-test และระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติ Independent t-test กำหนดนัยสำคัญที่ระดับ 0.05<br /> ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลองผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ทัศนคติเกี่ยวกับโรคเบาหวาน ความตั้ใจในการดูแลตนเอง แรงสนับสนุนทางสังคมในการดูแลตนเอง การรับรู้ความสามารถของตนในการดูแลตนเอง และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากผลการทดลองแสดงว่าโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาทุ่ง ตำบลกุดประทาย อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ได้ผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้</p> ชูศรี สอนสา Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3910 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุในระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3911 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตและผลการใช้รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ในชุมชนระดับผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ตามแนวคิดของ Kemmis และMcTaggart คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงมี 2 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มตัวอย่างในการจัดเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพและพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ โดยเลือกแบบเจาะจง จำนวน 12 คนและ (2) ผู้สูงอายุทดลองใช้รูปแบบจำนวน 100 คน เข้าร่วมกระบวนการวิจัยที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกุดขาคีม อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ระหว่างเดือนสิงหาคม – ธันวาคม 2567 เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม<br /> ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยการดำเนินการส่งเสริมสุขภาพจิตในผู้สูงอายุ 4 ขั้นตอน คือ 1) การดูแลสุขภาพกายและจิตอย่างสม่ำเสมอ ด้วยบุคลากรในครอบครัว 2) การสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้สูงอายุ 3) การมีส่วนร่วมกิจกรรมตามประเพณี และ 4) การสร้างคุณค่า และศักดิ์ศรีแก่ผู้สูงอายุ หลังการใช้รูปแบบรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ ในชุมชนระดับผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ พบว่า ค่าความแตกต่างเฉลี่ยการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น การประเมินความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.05) ผู้สูงอายุมีความคิดเห็นต่อรูปการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุโดยรวมอยู่ในระดับมาก และการคัดกรองภาวะสุขภาพจิตผู้สูงอายุผู้สูงอายุไม่มีภาวะซึมเศร้า ร้อยละ 93 และมีความวิตกกังวลเล็กน้อย ร้อยละ 71</p> สุราษฎร์ บุญปัญญา Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3911 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริการพยาบาลวิสัญญีผู้ป่วยผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ โรงพยาบาลเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3904 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหา พัฒนา และใช้พัฒนารูปแบบการบริการพยาบาลวิสัญญีผู้ป่วยผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ โรงพยาบาลเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ทำการศึกษาระหว่างมกราคม – ตุลาคม 2567 เดือน รวมระยะเวลา 10 เดือน กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ ได้แก่ บุคลากรห้องผ่าตัด จำนวน 22 คน เชิงปริมาณ ได้แก่ ผู้ป่วยผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ จำนวน 65 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แนวคำถามปลายเปิดการสนทนากลุ่ม สื่อให้ความรู้ในการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ แบบเก็บข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความเหมาะสมรูปแบบทางการพยาบาลวิสัญญีในผู้ป่วยผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ แบบประเมินความพึงพอใจรูปแบบการพยาบาลวิสัญญีในผู้ป่วยผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเชิงเนื้อหาแบบสามเส้า เชิงปริมาณใช้สถิติพรรณนา และเปรียบเทียบก่อนหลังด้วยสถิติ paired-t test<br /> ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการพัฒนารูปแบบประกอบด้วย 6 รูปแบบสำคัญ ดังนี้ 1) พัฒนาคลินิกประเมินและเตรียมความพร้อมผู้ป่วยก่อนการระงับความรู้สึกที่ให้บริการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับและการผ่าตัดแผลเล็ก 2) พัฒนาแนวทางการเตรียมผู้ป่วยสำหรับให้ยาระงับความรู้สึกผู้ป่วยผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ 3) พัฒนาสื่อเอกสารคำแนะนำสำหรับผู้มารับบริการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ 4) พัฒนาการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบวันเดียวกลับ (Colonoscope ODS) 5) ประชาสัมพันธ์โครงการผ่าตัดวันเดียวกลับให้ทราบทั่วทั้งองค์กรและในพื้นที่ 6) ทบทวนบทบาทหน้าที่ขบวนการทำงานมอบหมายให้ชัดเจนและทำงานเป็นทีมมากขึ้น ผลของรูปแบบส่งผลให้ ความพึงพอใจผู้มารับบริการดีขึ้นอย่างมีนัยยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05, t=8.82 ผลลัพธ์การใช้แนวปฏิบัติ ส่งผลให้ความเหมาะสมในการปฏิบัติในพยาบาลวิสัญญีในการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับดีขึ้น อุบัติการณ์ความไม่พร้อมในการผ่าตัดลดลง และภาวะแทรกซ้อนจากการดูแลตนเองหลังผ่าตัดแบบวันเดียวกลับลดลง ความรู้เตรียมตัวผ่าตัดแบบวันเดียวกลับดีขึ้น</p> ระพีภรณ์ ใจมั่น , โสภา ถวิล Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3904 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3912 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ศึกษาภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุ ศึกษาการมีส่วนร่วมการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะซึมเศร้า และการป่วยเป็นโรคของผู้สูงอายุ เพื่อกำหนดรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ศึกษาการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ เก็บข้อมูลในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 - 31 มกราคม 2568 ทำการสุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย จำนวน 400 ตัวอย่าง เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที และสถิติการวิเคราะห์ค่าถดถอยพหุคูณ<br /> ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุมีความคิดเห็นต่อการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ อยู่ในระดับมาก ความรู้สึกในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาของผู้สูงอายุอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ มีความหดหู่ เศร้า ท้อแท้ สิ้นหวัง และรู้สึกเบื่อ ทำอะไรไม่เพลิดเพลิน ร้อยละ 18.00 ผู้สูงอายุมีความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ อยู่ในระดับมาก ศาสนา อาชีพ จำนวนสมาชิกในครอบครัว โรคที่เป็น และรายได้ ส่งผลต่อภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และพบว่า รายได้ อายุ เพศ ศาสนา อาชีพ จำนวนสมาชิกในครอบครัว และผู้ดูแล ส่งผลต่อการป่วยเป็นโรคของผู้สูงอายุอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผู้ทรงคุณวุฒิมีความคิดเห็นว่าความเหมาะสมของรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ อยู่ในระดับมากที่สุด และพบว่าทุกด้านมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ผู้ดูแล ศาสนา อาชีพ รายได้ โรคที่เป็น และจำนวนสมาชิกในครอบครัว</p> สุริชัย เศษจันทร์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3912 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่นพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนบ้านหนองเรือ หมู่ที่ 8 ตำบลคอแลน อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3913 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่นพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนบ้านหนองเรือ หมู่ที่ 8 ตำบลคอแลน อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลอง คือประชาชนบ้านหนองเรือ หมู่ที่ 8 ตำบลคอแลน อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 36 คน และ กลุ่มเปรียบเทียบ คือประชาชนบ้านแสงอุดม หมู่ที่ 12 ตำบลคอแลน อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 36 คน ทดลองใช้โปรแกรมจำนวน 12 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ถึง วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ paired t-test และ Independent t-test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05<br /> ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้เรื่องการบริโภค ทัศนคติเกี่ยวกับการบริโภค แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ แรงสนับสนุนทางสังคม การรับรู้ความสามารถของตน และพฤติกรรมการบริโภคสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ณัฏฐโชติ สมนึก Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3913 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การดูแลทารกและหญิงหลังคลอดที่ใช้สารเสพติดแอมเฟตามีน โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3905 <p> การศึกษา การดูแลทารกและหญิงหลังคลอดที่ใช้สารเสพติดแอมเฟตามีน โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณลักษณะและปัญหาทารกและหญิงหลังคลอดที่ใช้สารเสพติดแอมเฟตามีน และศึกษาการดูแลทารกและหญิงหลังคลอดที่ใช้สารเสพติดแอมเฟตามีน โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment) มีระยะเวลาในการศึกษาระหว่าง เดือนพฤศจิกายน 2567 ถึง เดือน กุมภาพันธ์ 2568 รวม 4 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ทารกและหญิงหลังคลอดที่ใช้สารเสพติดแอมเฟตามีน ที่มารับบริการที่หอผู้ป่วยสูติกรรมหลังคลอดและนรีเวช โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 7 ราย เก็บข้อมูลจากเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูลโดย การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการศึกษา พบว่า หญิงหลังคลอดที่ใช้สารเสพติดแอมเฟตามีน โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ มีจำนวนทั้งสิ้น 7 ราย อายุระหว่าง 19 – 37 ปี คลอดปกติ และ ผ่าคลอด สามารถดูแลทารกได้ มารดาต้องการเลี้ยงนมผง ได้มีการนัดพบจิตแพทย์ นัดพบกุมารแพทย์ และนัดตรวจพัฒนาการ</p> เนาวนา ภูจ่าพล Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3905 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 แนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดโรงพยาบาลห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3906 <p> การศึกษา แนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดโรงพยาบาลห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และปัญหาการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดและแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดโรงพยาบาลห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment) มีระยะเวลาในการศึกษาระหว่าง เดือน ธันวาคม 2567 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2568 รวม 3 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดโรงพยาบาลห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 38 คน เก็บข้อมูลจากเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการศึกษา พบว่า หลังการจัดทำแนวปฏิบัติ ผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดที่มารับบริการที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์ ระหว่าง 1 ธันวาคม 2567 ถึง เดือน 15 กุมภาพันธ์ 2568 จำนวน 38 คน Refer จาก ER โรงพยาบาลห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 10 ราย คิดเป็นร้อยละ 26.31 ลดลงจากก่อนการจัดทำแนวปฏิบัติ</p> กนกพร โชคดีทวีทรัพย์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3906 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบลักษณะทางคลินิกและผลการรักษาภาวะเลือดเป็นกรดคีโตนจากเบาหวานในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 ในโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3917 <p> การศึกษาย้อนหลัง (Retrospective study) ในผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรดคีโตนจากเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 15 ปี เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2562 ถึง 30 มิถุนายน 2565 รวบรวมข้อมูลจากแฟ้มประวัติผู้ป่วยในในผู้ที่ได้รับวินิจฉัยภาวะเลือดเป็นกรดคีโตนจากเบาหวาน หรือภาวะ Euglycemic diabetes ketoacidosis (ระดับคีโตนในเลือด ≥ 3 mmol/L หรือระดับคีโตนในปัสสาวะ ≥ 2+ และมี pH ≤ 7.3 หรือ serum bicarbonate ≤ 18 mmol/L และอาจพบ anion gap ≥ 10 mmol/L) การวิจัยนี้ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช<br /> ผลการวิจัย : ผู้ป่วยทั้งหมด 156 ราย เป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จำนวน 36 ราย และเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 120 ราย พบว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีอายุเฉลี่ย ดัชนีมวลกายมากกว่าผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 มีระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ยแรกรับสูงกว่าผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (554.58 ± 214.37 มก./ดล. เปรียบเทียบกับ 437.02 ± 198.35 มก./ดล. ตามลำดับ) ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นไม่แตกต่างกัน โดยสาเหตุของการเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากคึโตนที่พบมากที่สุดในทั้งสองกลุ่มคือภาวะติดเชื้อ ในด้านการรักษา พบว่า ปริมาณสารน้ำและปริมาณอินซูลินที่ได้รับทางหลอดเลือดทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน แต่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ได้รับปริมาณโพแทสเซียมมากกว่า ขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้รับปริมาณ NaHCO3 มากกว่า สำหรับระยะเวลาการหายจากภาวะเลือดเป็นกรดคีโตนจากเบาหวานในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 คือ 45.36 ± 33.12 ชั่วโมงไม่แตกต่างกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งใช้เวลา 52.8 ± 30.24 ชั่วโมง แต่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ใช้ระยะเวลานอนโรงพยาบาล 6.03 ± 2.96 วัน มากกว่าผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ใช้ระยะเวลา 5.44 ± 2.79 วันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value 0.039) ในส่วนภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 พบภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังการรักษามากกว่าผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่อัตราการเสียชีวิตไม่แตกต่างกันในทั้งสองกลุ่ม</p> สุภัทรา จงศิริกุล Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3917 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 3 อ. ต่อการควบคุมระดับความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ ตำบลท้ายตลาด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3918 <p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 3 อ.ที่มีผลต่อความรู้ การรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคของผู้ป่วย พฤติกรรมการปฏิบัติในการดูแลสุขภาพตนเอง ระดับค่าความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมของผู้ป่วยตำบลท้ายตลาด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้ป่วยจำนวน 30 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์คุณสมบัติที่กำหนด แบบสอบถามก่อนและหลังได้รับโปรแกรม และแบบบันทึกระดับความดันโลหิต การวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (Paired t-test)<br /> ผลการศึกษาพบว่า ประสิทธิผลของการใช้โปรแกรมโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 3 อ. ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมีพฤติกรรมการปฏิบัติตนเพื่อการควบคุมระดับความดันโลหิต ก่อนได้รับโปรแกรมอยู่ระดับน้อย และเพิ่มขึ้นเป็นระดับปานกลางหลังได้รับโปรแกรม ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ การรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้ต่อโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค และความคาดหวังในผลลัพธ์เกี่ยวกับความดันโลหิตสูงของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง หลังได้รับโปรแกรมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เกี่ยวกับการควบคุมระดับความดันโลหิตสูง ด้านความรู้เรื่องการบริโภคอาหาร และการออกกำลังกาย ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมมีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และระดับความดันโลหิตลดลง มากกว่าก่อนรับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (Mean=131.52 SD=12.26/75.98 SD=7.01)</p> นิพล รวมเจริญ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3918 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านบางอ้อ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3920 <p> การวิจัยเชิงสำรวจมีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง และ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านบางอ้อ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในพื้นที่ตำบลบางอ้อ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก จำนวน 195 คน ระยะเวลาการวิจัยระหว่าง เดือนธันวาคม 2567 - กุมภาพันธ์ 2568 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยลักษณะส่วนบุคคลและข้อมูลปัจจัย โดยใช้สถิติพรรณนา (descriptive statistics) และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง ปัจจัยลักษณะส่วนบุคคล ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริมกับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ด้วยสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s correlation coefficient)<br /> ผลการศึกษา ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเอง พบว่าอายุ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=.369, p&lt;.01) ระดับการศึกษา มีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=-.208, p&lt;.01) สถานภาพสมรส มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=.164, p&lt;.05) และรายได้ต่อเดือน มีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=-.161, p&lt;.05) ปัจจัยนำ ความรู้เรื่องโรคเบาหวาน การรับรู้ความรุนแรงของโรคเบาหวาน การรับรู้ประโยชน์และอุปสรรค มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=.217, .233, .298 p&lt;.01) ปัจจัยเอื้อ การเข้าถึงบริการทางสุขภาพ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=.276 p&lt;.01)</p> สาคร นันทโกวัฒน์, นิลภา จิระรัตนวรรณะ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3920 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพของ Human factor engineering ต่อกระบวนการรายงานผล ทางห้องปฏิบัติการ ของกลุ่มงานเทคนิคการแพทย์ โรงพยาบาลลำพูน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3894 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของระบบการแจ้งเตือนจากระบบการรายงานผลทางห้องปฏิบัติการที่ออกแบบโดยการนำหลักการของ Human factor engineering มาประยุกต์ใช้กับระบบการรายงานผลทางห้องปฏิบัติการ เพื่อลดการรายงานผลผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการรายงานค่าวิกฤติทางห้องปฏิบัติการ กลุ่มงานเทคนิคการแพทย์ โรงพยาบาลลำพูน โดยการศึกษาได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากระบบระบบสารสนเทศห้องปฏิบัติการ(Laboratory information system: LIS) จากโปรแกรมการรายงานอุบัติการณ์ของโรงพยาบาลลำพูน (Healthcare risk management system : HRMS) ตั้งแต่ปี 2565-2567 โดยเปรียบเทียบผลกับข้อมูลในปี 2564 ก่อนที่จะมีการเริ่มใช้ระบบป้องกัน<br /> ผลการศึกษา : พบว่าอัตราการรายงานผลผิดพลาดคลาดเคลื่อนหลังการตั้งระบบเพื่อป้องกันการรายงานผลผิดพลาดเกิดอุบัติการณ์การรายงานผลผิดลดลง พบอัตราการรายงานผลผิดพลาดการตรวจวิเคราะห์ Creatine kinase(CPK) , Magnesium , covid rapid test, urine amphetamine และรายการตรวจวิเคราะห์ Coagulation test ลดลง ร้อยละ 0.057,0.016,0.043,0.045และ 0.005 และพบว่าประสิทธิภาพต่อการรายงานผลทางห้องปฏิบัติการพบว่าอัตราการรายงานค่าวิกฤติมีแนวโน้มที่สูงขึ้น โดยการเก็บข้อมูลในในปี 64-67 ก่อนและหลังการติดตั้งระบบ LIS Alert พบว่าอัตราการรายงานค่าวิกฤติทางห้องปฏิบัติการเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 84,92 ,99.5 และ 100 ตามลำดับ</p> พัชรี โนโชติ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3894 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองยาว อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3921 <p> การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองยาว อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 46 คน รวม 92 คน กลุ่มทดลอง คือ ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองยาว อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มเปรียบเทียบ คือ ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ตำบลแก้ง อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 2 ครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ถึง วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 เปรียบเทียบผลต่างของคะแนนเฉลี่ยของตัวแปรภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ paired t-test และระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติ Independent t-test กำหนดนัยสำคัญที่ระดับ 0.05<br /> ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลองผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ทัศนคติเกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรับรู้ความสามารถของตน แรงสนับสนุนทางสังคม และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> จิตรา เหลี่ยมดี Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3921 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง แบบบูรณาการการมีส่วนร่วม แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพระทองคำเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3958 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาระบบการคัดกรองผู้ป่วยเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมองแบบบูรณาการการมีส่วนร่วม แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพระทองคำเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ระหว่างเดือน เมษายน 2565 - เมษายน 2566 กลุ่มตัวอย่าง คือ ทีมสุขภาพ 15 คนและ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 5 คน รวมจำนวน 20 คน เครื่องมือในการวิจัยคือ แบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Paired t-test<br /> ผลการวิจัย พบว่า พยาบาลที่รพสต พยาบาล OPD ความรู้ในการคัดกรองผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันพบว่าก่อนการพัฒนาคิดเป็นร้อยละ 84.23 และหลังการพัฒนาคิดเป็นร้อยละ 100 คะแนนค่าเฉลี่ยความรู้ในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หลังการพัฒนาเพิ่มขึ้นกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติติที่ระดับ .05 ทีมสุขภาพมีการปฏิบัติตามแนวทางการคัดกรองผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ร้อยละ 93.5 เพิ่มขึ้นหลังการพัฒนา มีความพึงพอใจของทีมสุขภาพต่อระบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 100 (X = 13.75 ,5.D= 0.84)</p> ปรียาภรณ์ รีสันเทียะ , เพ็ชรผกา อธิโรจน์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3958 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูกที่มีความเสี่ยงต่อภาวะช็อก https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3959 <p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและให้การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์นอกมดลูกที่เสี่ยงต่อภาวะช็อก และนำผลการศึกษาไปใช้เป็นแนวทางวางแผนการพยาบาลได้อย่างถูกต้อง เป็นกรณีศึกษาหญิงตั้งครรภ์นอกมดลูก 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกนรีเวชกรรม สถาบันบำราศนราดูร ปี 2566 โดยศึกษาจากข้อมูลผู้ป่วย ประวัติการรักษาพยาบาล จากเวชระเบียน ใช้แบบประเมิน 11 แบบแผนของกอร์ดอน นำมากำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล และแก้ไขปัญหาสุขภาพโดยใช้กระบวนการพยาบาล 5 ขั้นตอน ตั้งแต่แรกรับจนถึงจำหน่าย<br /> ผลการศึกษา กรณีศึกษาที่ 1 เป็นหญิงชาวลาว ตั้งครรภ์ครั้งที่ 1 มีอาการปวดท้องน้อยมาก ตรวจอัลตร้าซาวด์ พบการตั้งครรภ์นอกมดลูกบริเวณท่อนำไข่ข้างซ้ายแตก มีความเสี่ยงต่อภาวะช็อก และได้รับการผ่าตัดแบบเร่งด่วน หลังผ่าตัดฟื้นตัวดี รู้สึกตัวดี ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนใดๆ กรณีศึกษาที่ 2 เป็นหญิงไทย ตั้งครรภ์ครั้งที่ 1 มาฝากครรภ์ มีอาการปวดหน่วงท้องน้อย ตรวจอัลตร้าซาวด์ พบการตั้งครรภ์นอกมดลูกบริเวณท่อนำไข่ข้างซ้ายยังไม่แตก และได้รับการเตรียมผ่าตัดเป็นอย่างดี หลังผ่าตัดรู้สึกตัวดี ได้รับการดูแลและให้การพยาบาลไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนใดๆ</p> ประภาพร ขำสา Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3959 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลแผลกดทับในชุมชนสำหรับผู้ป่วยติดเตียง โดยคลินิกหมอครอบครัว อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3960 <p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลแผลกดทับในชุมชน ภายใต้การดำเนินงานของ คลินิกหมอครอบครัว อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเป็นการวิจัยกึ่งทดลองในผู้ป่วยติดเตียง 30 รายที่มีแผลกดทับระดับ 2–3 รูปแบบการดูแลประกอบด้วย แนวทาง Wound Bed Preparation (WBP) ควบคู่กับ การฝึกสอนและเสริมศักยภาพผู้ดูแล และการติดตามผลผ่านระบบ Telemedicine กระบวนการหายของแผล ประเมินโดยใช้แบบ PUSH Tool Version 3.0 และเฝ้าระวังภาวะแผลกดทับติดเชื้อในสัปดาห์ที่ 2 และ 4 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ Paired sample t-test เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนน PUSH และใช้ McNemar's test เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของจำนวนผู้ป่วยที่มีภาวะแผลกดทับติดเชื้อ ก่อนและหลังการใช้รูปแบบการดูแล<br /> ผลการศึกษา พบว่า คะแนน PUSH ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) โดยค่าเฉลี่ยของคะแนนลดลงจาก 12.26 ± 2.67 เป็น 10.43 ± 3.26 ในสัปดาห์ที่ 2 และ 8.73 ± 4.44 ในสัปดาห์ที่ 4 และพบภาวะแผลกดทับติดเชื้อลดลงจากร้อยละ 80.0 เป็นร้อยละ 6.7 ในสัปดาห์ที่ 2 และร้อยละ 10.0 ในสัปดาห์ที่ 4 (p &lt; 0.001)</p> พัชราภรณ์ ปินตา , กษิพัฒน์ เชียงแรง Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3960 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่มีภาวะปอดอักเสบ: กรณีศึกษา https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3961 <p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่มีภาวะปอดอักเสบ โดยศึกษาในผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 77 ปี เข้ารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก วันที่ 5 มิถุนายน 2567 ด้วยอาการสำคัญไข้ หายใจหอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ และเจ็บแน่นหน้าอก 1 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีประวัติเป็นโรคหัวใจขาดเลือดปี 2560 ทำบอลลูน 3 เส้น พบแพทย์ตามนัดต่อเนื่อง<br /> ผลการศึกษา พบว่าระยะก่อนตรวจเสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน เนื่องจากประสิทธิภาพการหายใจลดลง ไม่สุขสบายเนื่องจากมีไข้ ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เสี่ยงจากภาวะแพร่กระจายเชื้อโคโรน่าไวรัส ผู้ป่วยและญาติวิตกกังวล ระยะแพทย์ตรวจ มีการติดเชื้อโคโรน่าไวรัสในร่างกาย เกิดภาวะแทรกซ้อนปอดอักเสบ ระยะหลังตรวจ ผู้ป่วยและญาติวิตกกังวลกลัวอาการทรุดหนัก เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายขณะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปห้องผู้ป่วยแยกโรค ได้ให้การพยาบาลตามมาตรฐานการพยาบาลผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยปลอดภัยเข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยแยกโรค สามารถจำหน่ายกลับบ้านในวันที่ 15 มิถุนายน 2567 รวมระยะเวลารักษาในโรงพยาบาล 10 วัน</p> วรรณดี ไตรสังข์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3961 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการให้บริการผ่าตัดไส้เลื่อนที่ขาหนีบแบบวันเดียวกลับ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3964 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลในการให้บริการผ่าตัดไส้เลื่อนที่ขาหนีบ และศึกษารูปแบบการพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลในการให้บริการผ่าตัดไส้เลื่อนที่ขาหนีบแบบวันเดียวกลับ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ โดยมีระยะเวลาการวิจัยระหว่างเดือน มิถุนายน2567 – สิงหาคม 2567 จำนวน 3 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผ่าตัดไส้เลื่อนที่ขาหนีบแบบวันเดียวกลับ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ จำนวน 145 ราย เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนและแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ผลการให้บริการผ่าตัดไส้เลื่อนที่ขาหนีบแบบวันเดียวกลับ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ พบว่า มีจำนวนผู้ป่วยที่นัดผ่าตัดในโครงการผ่าตัดวันเดียวกลับทั้งหมด 145 ราย มาผ่าตัดตามนัดจำนวน 140 ราย คิดเป็นร้อยละ 96.55 ไม่มาจำนวน 5 ราย พบว่าสาเหตุที่ไม่มาผ่าตัดตามนัดคือ มีอาการเจ็บป่วยก่อนวันผ่าตัดที่จำเป็นการเลื่อนผ่าตัด 5 ราย และ พบว่าติดต่อผู้ป่วยทางโทรศัพท์เพื่อก่อนผ่าตัดไม่ได้ 4 ราย ได้ติดต่อให้จนท.รพสต.เยี่ยมก่อนผ่าตัดให้ ได้ทั้ง 4 ราย และการเปรียบเทียบความเข้าใจในเข้าการให้บริการและการเตรียมตัวก่อนการให้บริการผ่าตัดไส้เลื่อนที่ขาหนีบแบบวันเดียวกลับ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ ก่อนและหลังการผ่าตัด พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยที่หลังการดำเนินงานความเข้าใจในเข้าการให้บริการและการเตรียมตัวก่อนการให้บริการผ่าตัดไส้เลื่อนที่ขาหนีบแบบวันเดียวกลับ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ ดีกว่าก่อนการผ่าตัด</p> เจตนาพร ศรีทอง Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3964 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบบริการผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติด แบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายอำเภอโนนไทย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3965 <p> การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติด การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย อำเภอโนนไทย มีระยะเวลาในการศึกษา 1 ปี ระหว่างเดือนตุลาคม 2564 – กันยายน 2565 กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มเครือข่ายสุขภาพจิตชุมชน 286 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบโดยวิธีเจาะจง ตามเกณฑ์คัดเข้าคัดออก เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ กระบวนการสนทนากลุ่ม และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาโดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างก่อนและหลังพัฒนาด้วย independent t-test และข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการสรุปเนื้อหาจริยธรรมวิจัย<br /> ผลการศึกษา พบว่าหลังการพัฒนาเครือข่ายมีความรู้ในระดับดีเพิ่มขึ้น คะแนนเฉลี่ยการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) การมีส่วนร่วมของเครือข่ายเพิ่มขึ้น ผู้ดูแลมีภาระการดูแลผู้ป่วยลดลง มีความรู้ในระดับดีเพิ่มขึ้น คะแนนเฉลี่ยความสามารถในการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น การดูแลผู้ป่วยหลังพัฒนามีอาการทรงตัวร้อยละ 85.3 ความสามารถในกิจวัตรประจำวันร้อยละ 48.4 พบว่า สถานการณ์และการพัฒนาเครือข่าย ประกอบไปด้วย นโยบายและปัจจัยนำเข้าระบบบริการสุขภาพผู้ป่วยจิตเวชสารเสพติด การมีส่วนร่วมตามบทบาทของเครือข่าย การมีส่วนร่วมค้นหาปัญหาผู้ป่วยจิตเวชสารเสพติดในชุมชน การมีส่วนร่วมตามบทบาท การมีส่วนร่วมติดตามและประเมินผล ก่อนการพัฒนาและหลังการพัฒนา การมีส่วนร่วมตามบทบาทของเครือข่าย ประกอบไปด้วย การมีส่วนร่วมค้นหาปัญหาผู้ป่วยจิตเวชสารเสพติดในชุมชน การมีส่วนร่วมตามบทบาท การมีส่วนร่วมติดตามและประเมินผล</p> พวงเพชร ชูจอหอ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3965 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลการนวดรักษาแบบราชสำนักร่วมกับการกักน้ำมันสมุนไพรในผู้ป่วยโรค Office Syndrome คลินิกการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลอุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3966 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับอาการปวดกล้ามเนื้อบ่า และระดับองศาการเคลื่อนไหวของคอ ก่อนและหลังการทดลอง ภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่มที่ได้รับการนวดรักษาแบบราชสำนักร่วมกับกักน้ำมันสมุนไพรกับกลุ่มที่ได้รับการนวดรักษาแบบราชสำนักเพียงอย่างเดียว กลุ่มละ 30 คน กลุ่มทดลองได้รับการนวดรักษาแบบราชสำนักเป็นเวลา 45 นาที ร่วมกับกักน้ำมันสมุนไพรเป็นเวลา 30 นาที จำนวน 6 ครั้ง กลุ่มควบคุมได้รับการนวดจำนวน 6 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามของกลุ่มตัวอย่าง แบบประเมินระดับอาการปวดกล้ามเนื้อบ่า และแบบประเมินระดับองศาการเคลื่อนไหวของคอ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Paired t-test และ Independent t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่าภายหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.06 (S.D.=1.01) ลดลงกว่าก่อการทดลอง (Mean=8.05; S.D.=0.82) และลดลงมากกว่ากลุ่มควบคุม (Mean=5.13; S.D.=1.00) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) เช่นเดียวกับค่าเฉลี่ยระดับองศาการเคลื่อนไหวของคอ พบว่าหลังการทดลอง กลุ่มทดลอง มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นกว่าก่อนการทดลองและกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001)</p> สุรัสวดี เพชรคง , สิธาพร ผดุงยุทธ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3966 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้เพื่อพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ตำบลหลวงเหนือ อำเภองาว จังหวัดลำปาง https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3940 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ตำบลหลวงเหนือ อำเภองาว จังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 30 คน โดยใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย โปรแกรมพัฒนาขึ้นตามแนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพและดำเนินกิจกรรมเป็นเวลา 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลประกอบด้วยแบบสอบถามวัดความรู้ การรับรู้ และพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและ Independent t-test<br /> ผลการวิจัยพบว่า ก่อนการทดลอง ทั้งสองกลุ่มมีคะแนนความรู้อยู่ในระดับปานกลาง (กลุ่มทดลอง M = 8.73, กลุ่มควบคุม M = 8.83) หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้เพิ่มขึ้นเป็นระดับสูง (M = 12.00) อย่างมีนัยสำคัญ (p &lt; 0.001) ในขณะที่กลุ่มควบคุมยังคงอยู่ในระดับปานกลาง (M = 9.07) การรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคในกลุ่มทดลอง (M = 4.38, 4.19) สูงกว่ากลุ่มควบคุม (M = 3.70, 3.79) อย่างมีนัยสำคัญ (p &lt; 0.001) พฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มทดลองดีขึ้นในทุกด้าน โดยเฉพาะการรับประทานยา (M = 5.00) เทียบกับกลุ่มควบคุม (M = 4.98) ด้านผลลัพธ์ทางคลินิก กลุ่มทดลองมีความดันโลหิตซิสโตลิกลดลงมากกว่า (จาก 150.07 เป็น 131.37 mmHg) เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (จาก 154.17 เป็น 138.07 mmHg) อย่างมีนัยสำคัญ (p &lt; 0.001) </p> อักษร พรหมเมศร์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3940 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบที่มีเนื้อตาย ร่วมกับมีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดและความดันโลหิตสูง : กรณีศึกษา https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3950 <p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษามีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัญหาและการพยาบาลผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบที่มีเนื้อตายร่วมกับมีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดและความดันโลหิตสูง โดยศึกษาในผู้ป่วยชาย อายุ 72 ปี มาด้วยอาการสำคัญ ปวดทั่วท้อง มีไข้ ถ่ายอุจจาระเหลว สะอึกและอาเจียน 7 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล<br /> จากการศึกษาพบว่า ปัญหาสำคัญในระหว่างการดูแล มีดังนี้ 1) ระยะก่อนผ่าตัด ได้แก่ มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด เสี่ยงต่อเกิดภาวะเนื้อเยื่อร่างกายพร่องออกซิเจน ปวดท้อง มีภาวะไม่สมดุลของสารน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย มีไข้สูง ผู้ป่วยและญาติมีความวิตกกังวลและกลัวการผ่าตัด 2) ระยะหลังผ่าตัด ได้แก่ เสี่ยงต่อการหายใจไม่มีประสิทธิภาพ เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด 24 ชั่วโมงแรก (เลือดออกในช่องท้อง ภาวะไม่สมดุลของสารน้ำ) ปวดแผลผ่าตัด เสี่ยงเกิดการติดเชื้อแผลผ่าตัด ท้องอืดหลังการผ่าตัดเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง วิตกกังวลจากขาดความรู้ในการปฏิบัติตนเมื่อกลับบ้าน หลังจากได้รับการรักษาพยาบาล พบว่า ทุกปัญหาได้รับการแก้ไขจนผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นและปลอดภัย แพทย์จึงจำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้าน </p> จันทิมา เอี่ยมภูมิ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3950 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่นพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาวตำบลบุ่งไหม อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3962 <p> การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาวตำบลบุ่งไหม อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 30 คน รวม 60 คน กลุ่มทดลอง คือ ผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาวตำบลบุ่งไหม อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มเปรียบเทียบ คือ ผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาวตำบลคำขวาง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 2 ครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2568 เปรียบเทียบผลต่างของคะแนนเฉลี่ยของตัวแปรภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ paired t-test และระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติ Independent t-test กำหนดนัยสำคัญที่ระดับ 0.05<br /> ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลองผลต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้เรื่องการดูแลตนเอง แรงสนับสนุนทางสังคม คุณภาพชีวิต พฤติกรรมการรับประทานยา และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาวของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> จุฬาภรณ์ จิตพิลา Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3962 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของการส่งเสริมชุดการดูแลในการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบที่ได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะหอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมอุบัติเหตุ โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3963 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง (One-group pretest-posttest design) เพื่อศึกษาผลของการส่งเสริมการใช้ชุดการดูแล (care bundle) ในการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบ ที่ได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะ ดำเนินการในหอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมอุบัติเหตุ โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ประชากรที่ศึกษาประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพจำนวน 13 ราย และผู้ป่วยจำนวน 24 ราย เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) ชุดการดูแลตาม APSIC guideline เพื่อป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะ 2) คู่มือการใช้ชุดการดูแลสำหรับพยาบาล 3) แผนการอบรมเชิงปฏิบัติการและสื่อประกอบการสอน 4) แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ 5) แบบสังเกตการปฏิบัติตามชุดการดูแล 6) แบบบันทึกข้อมูลการคาสายสวนปัสสาวะ เช่น วันที่ใส่ วันที่ถอด ระยะเวลาการคา 7) แบบบันทึกการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อ CAUTI ที่ผ่านการตรวจสอบความตรง ของเนื้อหาและความเชื่อมั่น แล้วนำไปวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ความแตกต่าง ของค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ คะแนนการปฏิบัติการพยาบาล โดยใช้สถิติ Paired t-test<br /> ผลการศึกษาพบว่า ค่าคะแนนความรู้ของพยาบาลวิชาชีพก่อนและหลังให้ความรู้มีความ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.0001) คะแนนการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อการป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ (CAUTI) ในผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบที่ได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะหลังการส่งเสริมการใช้ชุดการดูแล (care bundle) สูงกว่าก่อนการส่งเสริมการใช้ชุดการดูแล (care bundle) มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.0001) และอัตราอุบัติการณ์การติดเชื้อลดลงจาก 5.27 เหลือ 2.18 ครั้งต่อ 1,000 วันคาสายสวนปัสสาวะ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ (p&lt;0.0001) <span style="text-decoration: line-through;"> </span></p> ณัฐรินีย์ วงศ์ศรีจันทร์ , ณัฐวิภา บุญเกิดรัมย์, จรรยา ชมชายผล, ณัฐธยาน์ พันธุออน Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3963 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมสร้างตนเอง 2 ตำบลคำเขื่อนแก้ว อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3967 <p> การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมสร้างตนเอง 2 ตำบลคำเขื่อนแก้ว อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม รวม 175 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 99 คน คือ ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ตำบลคำเขื่อนแก้ว อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 76 คน คือ ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ตำบลคันไร่ อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ กลุ่มเปรียบเทียบได้รับโปรแกรมปกติ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 2 ครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ถึง 5 มกราคม 2568 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนานำเสนอด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มัธยฐาน เปอร์เซนต์ไทล์ที่ 25 และ 75 เปรียบเทียบผลต่างของคะแนนเฉลี่ยของตัวแปรภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ paired t-test และระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติ Independent t-test กำหนดนัยสำคัญที่ระดับ 0.05<br /> ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลองผลต่างคะแนนเฉลี่ยของความรอบรู้ทางสุขภาพด้านการเข้าถึง ความรอบรู้ทางสุขภาพด้านการเข้าใจ ความรอบรู้ทางสุขภาพด้านการไต่ถาม ความรอบรู้ทางสุขภาพด้านการตัดสินใจ ความรอบรู้ทางสุขภาพด้านการนำไปใช้ แรงสนับสุนทางสังคมในการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> วิลาวรรณ ผิวทน Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3967 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของตึกผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3994 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบและศึกษาผลการพัฒนารูปแบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตึกผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองรับการรักษาจำนวน11คน เครื่องมือและการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง เวชระเบียนผู้ป่วย แนวคำถามการสนทนากลุ่ม แบบประเมินการปฏิบัติกิจกรรมคัดกรอง แบบประเมินความรู้การคัดกรอง แบบสอบถามความคิดเห็นต่อการใช้รูปแบบการคัดกรอง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบค่าที ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br /> ผลการศึกษา: รูปแบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 1) แนวปฏิบัติการคัดกรองผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 2) แบบฟอร์มการคัดกรองและบันทึกการติดตามอาการผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและ 3) Flow การให้บริการผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองงานอุบัติเหตุและฉุกเฉินโรงพยาบาลโพนพิสัย และพบว่าภายหลังการใช้รูปแบบการคัดกรองค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และการปฏิบัติกิจกรรมคัดกรองถูกต้องเพิ่มขึ้นจากก่อนการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ (p&lt;0.05) รูปแบบความเหมาะสมโดยมีค่าเฉลี่ยในระดับมากถึงมากที่สุด ด้านผลลัพธ์พบว่าระยะเวลาเมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลได้รับการคัดกรองเฉลี่ย 4 นาที ได้รับการตรวจจากแพทย์ที่ ER เฉลี่ย 8 นาที ได้รับการทำ CT เฉลี่ย 23 นาที ได้รับยาละลายลิ่มเลือด เฉลี่ย 57 นาที</p> ลักขณา ทิพย์สมบัติ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3994 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 รายงานการสอบสวนการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนรถปิคอัพ บริเวณหน้าโรงน้ำคูลสปริง บ้านเปือย อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3995 <p> อุบัติเหตุชนกันระหว่างรถจักรยานยนต์และรถปิกอัพ เกิดขึ้นบนถนนพยุห์-ขุนหาญ บริเวณหน้าโรงน้ำคูลสปริง บ้านเปือย ตำบลพรหมสวัสดิ์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 เวลา 10.30 น. การสอบสวนอุบัติเหตุมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการเกิดเหตุ หาสาเหตุและปัจจัยที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตของผู้ประสบเหตุ เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์พยานผู้เห็นเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่กู้ภัย ตำรวจ การสำรวจสภาพถนนและยานพาหนะ รวมถึงการทบทวนข้อมูลทางการแพทย์ของผู้บาดเจ็บทั้งจากโรงพยาบาลพยุห์และศรีสะเกษ แล้ววิเคราะห์ปัจจัยที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บโดยใช้ Haddon Matrix Model<br /> ผลการสอบสวนพบว่า รถจักรยานยนต์ขับตัดข้ามเลนไปทางด้านซ้ายมือ ถูกรถปิกอัพที่วิ่งมาจากด้านหลังชนเข้าอย่างจัง คนขับรถจักรยานยนต์เป็นชาย อายุ 65 ปี มีประวัติดื่มสุรา ไม่ได้สวมหมวกนิรภัย มีการบาดเจ็บรุนแรงที่ศีรษะ มีเลือดในช่องท้องจากตับและไตฉีกขาด กระดูกขาซ้ายหักเปิด และซี่โครงหัก ส่วนผู้ซ้อนท้ายเป็นหญิง อายุ 58 ปี ไม่สวมหมวก บาดเจ็บรุนแรงที่ศีรษะและกระดูกต้นขาซ้ายหัก ต้องส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีสะเกษในเวลาต่อมา ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ คือ พฤติกรรมเสี่ยงในการขับขี่ของคนขับจักรยานยนต์ ได้แก่ การดื่มแอลกอฮอล์ การไม่สวมหมวกนิรภัย และการขับรถตัดข้ามเลนกะทันหัน ส่วนสภาพถนนเป็นทางตรง ผิวจราจรปกติ และทัศนวิสัยดี จึงไม่ใช่ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตาม ลักษณะถนนที่เป็นสองช่องจราจรและไม่มีเกาะกลาง ก็ทำให้ผู้ขับขี่มีโอกาสตัดหน้ากันได้ง่าย ปัจจัยที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิต ได้แก่ การไม่สวมหมวกนิรภัย ทำให้ศีรษะได้รับการกระแทกอย่างแรงจนเกิดเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง กะโหลกศีรษะแตก และการชนด้านข้างยังส่งผลให้มีการบาดเจ็บรุนแรงที่ช่องท้องอีกด้วย แม้ว่าจะมีการช่วยเหลือและนำส่งผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว แต่ความรุนแรงของการบาดเจ็บ โดยเฉพาะบริเวณศีรษะและช่องท้อง ทำให้เสียชีวิตทั้งสองราย</p> ชญานิน กฤติยะโชติ , อรุณี สุวรรณโชติ , ปรียาภรณ์ เชสูงเนิน, กุสุมา มีศิลป์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3995 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการวางแผนดูแลตนเองล่วงหน้าในผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคอง โรงพยาบาลโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3996 <p> การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษา สภาพ ปัญหา ในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคอง ในโรงพยาบาลโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เพื่อพัฒนารูปแบบการวางแผนการดูแลตนเองล่วงหน้าในผู้ป่วยเรื้อรังแบบประคับประคอง และเพื่อประเมินประสิทธิผลแนวทางการวางแผนการดูแลตนเองล่วงหน้าในผู้ป่วยเรื้อรังระยะท้ายแบบประคับประคอง กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้ป่วยและญาติผู้ดูแลผู้ป่วยเรื้อรังระยะท้ายในโรงพยาบาลโคกโพธิ์และ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานีที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่า เป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลแบบประคับประคอง จำนวน 30 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามและแบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการประเมินผลลัพธ์การใช้รูปแบบ พบว่า การเปรียบเทียบผลการปฏิบัติของกลุ่มตัวอย่างในการเริ่มต้นสนทนาในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองโดยใช้แบบประเมิน POS (สำหรับผู้ป่วย) ก่อนดูแลและหลังได้รับการดูแลในรายข้อดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <em>(P&lt;.001</em>) ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วยและญาติที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคองอยู่ในระดับพึงพอใจมาก<em> (M= </em><em>2</em><em>.73, SD=0.45) </em>ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของทีมพัฒนารูปแบบพบว่ามีความพึงพอใจมากเช่นกัน<em> (M= </em><em>3</em><em>.00, SD=0.00) </em> และเปรียบเทียบจำนวนวันนอน ค่ารักษาพยาบาลในกลุ่มที่ได้รับการดูแลตามรูปแบบการวางแผนการดูแลล่วงหน้ากับกลุ่มที่ไม่ได้รับการดูแลวางแผนล่วงหน้า พบว่า กลุ่มที่ได้รับการวางแผนการดูแลล่วงหน้าจำนวนวันนอนรักษาพยาบาลลดลง และ ค่ารักษาพยาบาลลดลงตามไปด้วย</p> นันท์นภัส ประไพ , นันทิกานต์ หวังจิ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3996 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดบริการคลินิกผู้สูงอายุแบบไร้รอยต่อ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3997 <p> การวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง (Quasi – Experimental One group Pretest Posttest Design) มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ พัฒนารูปแบบ และประเมินผลลัพธ์การพัฒนารูปแบบการจัดบริการคลินิกผู้สูงอายุแบบไร้รอยต่อ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้สูงอายุที่มารับบริการในคลินิกผู้สูงอายุในโรงพยาบาลโคกโพธิ์ จำนวน 60 ราย เครื่องมือในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามกึ่งโครงสร้าง แบบประเมินความพึงพอใจของทีมพัฒนา และ แบบประเมินความพึงพอใจของผู้สูงอายุที่มารับบริการในโรงพยาบาล และ 4) แบบบันทึกการดูแลผู้สูงอายุที่เข้ามารับบริการในคลินิก ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ระหว่าง .85 -.92 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Independent t-test<br /> ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของทีมพัฒนารูปแบบอยู่ในระดับพึงพอใจมาก <em>(M= </em><em>4</em><em>.47, SD=0.51)</em> 2) ค่าเฉลี่ยคะแนนความพึงพอใจของผู้สูงอายุระหว่างกลุ่มที่เข้ารับบริการคลินิกผู้สูงอายุแบบไร้รอยต่อ สูงกว่า กลุ่มที่เข้ารับบริการตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p&lt; .05) และ 3) ร้อยละ 100 ของผู้สูงอายุที่ได้รับการคัดกรอง พบว่าเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อม/หกล้ม ได้รับการดูแลรักษาในคลินิกผู้สูงอายุ</p> อมรรัตน์ แสงสุวรรณ์ , นันทิกานต์ หวังจิ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3997 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การส่งเสริมป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตายอำเภอลอง (ฮักเมืองลอง ฮักคนลอง) https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3999 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยรูปแบบ การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม(Participatory Actio Research : PAR) มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตาย อำเภอลอง (ฮักเมืองลอง ฮักคนลอง) โดยระยะเวลาในการพัฒนาครั้งนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 - วันที่ 30 กันยายน 2566 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่ได้รับการประเมินภาวะซึมเศร้าด้วยเครื่องมือประเมิน 2Q พบข้อใดข้อหนึ่ง มีคะแนน 9Q มากกว่าหรือเท่ากับ 7 คะแนน 8Q น้อยกว่าหรือเท่ากับ 17 โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 18 ราย เก็บข้อมูลจากแบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการวิจัย พบว่า ภายหลังการใช้รูปแบบการส่งเสริมป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตาย อำเภอลอง (ฮักเมืองลอง ฮักคนลอง) สามารถที่จะป้องกันไม่ให้มีการฆ่าตัวตายสำเร็จ โดยผลการศึกษาพบว่าภายหลังการปฏิบัติตามรูปแบบการส่งเสริมป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตาย อำเภอลอง (ฮักเมืองลอง ฮักคนลอง) อัตราฆ่าตัวตายสำเร็จของอำเภอลองลดลงเป็น 12.97 ต่อแสนประชากร</p> พชรภา ขันทอง Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3999 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของประชาชน ตำบลเขาชนกัน อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3969 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก ความรู้เกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อม 2) ศึกษาการมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อม 3) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อม 4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก ความรู้เกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อม ปัจจัยการมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อม กับพฤติกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกของประชาชนตำบลเขาชนกัน อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ประชากร คือ ประชาชนผู้ที่มีชื่อในทะเบียนราษฎร์และอยู่อาศัยในตำบลเขาชนกัน อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ มีอายุ 18 ปีขึ้นไป 11,890 คน นำไปคำนวณกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร่ยามาเน่ ด้วยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ได้จำนวน 387 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน<br /> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง 1) มีความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกและมีความรู้เกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอยู่ใระดับมาก 2) มีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อการป้องกันโรคไข้เลือดออก อยู่ในระดับปานกลาง 3) มีพฤติกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อการป้องกันโรคไข้เลือดออกอยู่ในระดับมาก และ 4) ปัจจัยความรู้เกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อม มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันการเกิดโรคไข้เลือดออก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ปัจจัยความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก ปัจจัยการมีส่วนร่วมด้านการตัดสินใจและด้านผลประโยชน์ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันการเกิดโรคไข้เลือดออก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนปัจจัยการมีส่วนร่วมด้านการปฏิบัติงาน และด้านการประเมินผล ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันการเกิดโรคไข้เลือดออก</p> ธัญลักษณ์ ทองสี, จีระศักดิ์ ทัพผา Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/3969 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การตรวจคัดกรองเพื่อค้นหาผู้ป่วยวัณโรคเชิงรุกด้วยเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่แบบ ดิจิตอลในประชาชนกลุ่มเสี่ยง อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4000 <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาผู้ป่วยวัณโรคเชิงรุกด้วยเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่แบบดิจิตอลในประชาชนกลุ่มเสี่ยง โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมาย 1,420 ราย กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรค, ผู้ติดเชื้อเอชไอวี, ผู้ป่วยเบาหวาน ที่่ควบคุมไม่ได้ ได้แก่ ระดับ HbA1c ≥7 mg %, ผู้สูงอายุ ≥ 65 ปี ที่สูบบุหรี่ หรือมีโรคร่วมปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือมีโรคร่วมเบาหวาน , ผู้ใช้สารเสพติด ติดสุราเรื้อรัง,บุคลากรสาธารณสุขและตรวจคัดกรองการโดยการถ่ายภาพรังสีทรวงอกด้วยเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่แบบดิจิตอล ระหว่าง 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ<br /> ผลการศึกษาค้นหาผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ โดยการถ่ายภาพรังสีทรวงอกด้วยเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่แบบดิจิตอล ในกลุ่มเสี่ยงผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรค 176 ราย พบรายใหม่ 2 ราย (ร้อยละ 1.14), ผู้ติดเชื้อเอสไอวี186 ราย พบรายใหม่ 0 ราย (ร้อยละ 0), ผู้ป่วยโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง ได้แก่ ผู้ป่วยเบาหวานที่่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ (HbA1C≥7 mg %) ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน 568 ราย พบรายใหม่ 3 ราย (ร้อยละ 0.52), ผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรค 9 ราย พบรายใหม่ 5 ราย ร้อยละ 55.55, ผู้สูงอายุ ≥65 ปี ที่สูบบุหรี่ หรือมีโรคร่วมปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือมีโรคร่วมเบาหวาน 109 ราย พบรายใหม่ 0 ราย ร้อยละ 0, ผู้ใช้สารเสพติด ติดสุราเรื้อรัง 25 ราย พบรายใหม่ 1ราย (ร้อยละ 4), บุคลากรสาธารณสุข 296 ราย พบรายใหม่ 1 ราย (ร้อยละ 0.33), สรุปผลการศึกษา จากการคัดกรองการถ่ายภาพรังสีทรวงอก ทั้งหมด 1420 ราย พบรายใหม่ 11 ราย (ร้อยละ0.77)</p> กัญรัสมิ์ ทิพย์กระโทก Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4000 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4001 <p> การศึกษา รูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณลักษณะและปัญหาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและศึกษารูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) มีระยะเวลาในการศึกษา ระหว่าง เดือนพฤศจิกายน 2567 ถึง เดือน กุมภาพันธ์ 2568 รวม 4 เดือน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหอผู้ป่วยหญิง โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 50 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามและเวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent t – test<br /> ผลการศึกษา พบว่า ความเข้าใจของญาติในการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโรงพยาบาลยางตลาด พบว่า โดยรวมและรายข้อ ก่อนดำเนินการ อยู่ในระดับปานกลาง หลังการดำเนินงานอยู่ในระดับมากที่สุด ความเข้าใจของญาติในการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโรงพยาบาลยางตลาด ก่อนและหลังการดำเนินงาน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยที่หลังดำเนินการความเข้าใจของญาติในการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโรงพยาบาลยางตลาด ดีกว่าก่อนการดำเนินการ</p> สุภาภรณ์ ภูนาเหนือ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4001 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด(Sepsis) : กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4008 <p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด(Sepsis) : กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย คัดเลือกกรณีศึกษาแบบเฉพาะเจาะจง ในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด(Sepsis) เข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยพิเศษรวม โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกระนวน กรณีศึกษารายที่ 1 รับการรักษา ระหว่างวันที่ 20 กันยายน ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2567 รวมระยะเวลารักษา 13 วัน และกรณีศึกษารายที่ 2 รับไว้ในโรงพยาบาลวันที่ 24 กันยายน ถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 รวมระยะเวลา 8 วัน<br />ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยทั้ง 2 ราย มีสาเหตุส่งเสริมที่ทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด(Sepsis) จากโรคที่แตกต่างกัน ดังนี้<br /> กรณีศึกษารายที่1 มีภาวะ Septic shock หลังรับไว้ 6 ชั่วโมง ได้รับยาปฏิชีวนะ Meropenem และยา Norepinephrine 3 วัน มีภาวะ Organ failure ขณะรักษา คือระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบไต และผู้ป่วยมีภาวะซีด ได้รับเลือดทดแทน มีภาวะ Hyperkalemia ได้รับการแก้ไขจนกลับมาสู่ภาวะสมดุล ผู้ป่วยปลอดภัย จำหน่ายกลับบ้าน สรุปรับผู้ป่วยตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2567 รวมระยะเวลารักษา 13 วัน<br /> กรณีศึกษารายที่ 2 มีภาวะ Septic shock ได้รับยา Norepinephrine 1 วัน ได้รับยาปฏิชีวนะ Meropenem มีภาวะ Organ failure ขณะรักษา คือระบบหัวใจและหลอดเลือด และระบบไต สรุปรับไว้ในโรงพยาบาลวันที่ 24 กันยายน 2567 ถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 รวมระยะเวลา 8 วัน</p> พรวีนัส เศวตวงษ์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4008 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบสารสนเทศในช่องทางด่วนของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตกโรงพยาบาลขอนแก่น https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4009 <p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศในช่องทางด่วนโรคหลอดเลือดสมองแตกโรงพยาบาลขอนแก่น วิธีการศึกษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตกทุกรายที่ผ่านห้องฉุกเฉินและรับบริการช่องทางด่วนของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโรงพยาบาลขอนแก่น ระหว่าง วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2554 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ.2564 มีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตก จำนวน 110 ราย<br /> ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตก 110 ราย อายุเฉลี่ย 63.52 ปี เพศหญิง (50 ราย ร้อยละ 45.45) มีประวัติปัจจุบัน ดื่มแอลกอฮอล์ (21 ราย, ร้อยละ19.09) มีโรคร่วมมากที่สุดคือ ความดันโลหิตสูง (60 ราย, ร้อยละ 54.55) การประเมินผล Barthel index, GOS, GCS, ความดันโลหิต และ Hypertensive emergency วิเคราะห์ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและรังสีวิทยา พบมากในตำแหน่ง Supratentorial (83 ราย, ร้อยละ 75.45), Intraventricular hemorrhage volume &gt;30 mL (36 ราย, ร้อยละ 32.73), Intraventricular hemorrhage (59 ราย, ร้อยละ 53.64) และ Modified Fisher Scale ระดับ 0 พบมากที่สุดถึง (70 ราย, ร้อยละ 60.64) ข้อมูลทางพบความเสี่ยงสูงเกิดอัตราการตาย (46 ราย, ร้อยละ 42.82) ทั้งนี้จากข้อมูลวันนอนรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วย พบเรียงลำดับมากสุดถึงต่ำสุด คือ กลุ่ม C วันนอนรักษามากกว่าวันนอนมาตรฐานแต่ไม่เกินจุดตัดวันนอนนานเกินเกณฑ์ (50 ราย, ร้อยละ 45.45), กลุ่ม B วันนอนรักษามากกว่าหรือเท่ากับ 1 ใน 3 ของวันนอนมาตรฐานแต่ไม่เกินวันนอนมาตรฐาน (36 ราย, ร้อยละ 32.73), กลุ่ม A วันนอนรักษาน้อยกว่า 1 ใน 3 ของวันนอนมาตรฐาน (23 ราย, ร้อยละ20.91) และกลุ่ม D วันนอนรักษามากกว่าจุดตัดวันนอนนานเกินเกณฑ์ (1 ราย, ร้อยละ 0.91)</p> บุรารัตน์ ละลี, วราวุธ กิตติวัฒนากูล, พุทธชาด นามเวียง, กิตติศักดิ์ สวรรยาวิสุทธิ์ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4009 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การบูรณะฟันหน้าด้วยเดือยฟันสำเร็จรูปร่วมกับครอบฟัน และฟันเทียมบางส่วนถอดได้ชั่วคราว ในผู้ป่วยที่สูญเสียการสบฟันในมิติแนวดิ่ง https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4007 <p> ผู้ป่วยที่สูญเสียฟันหลังในขากรรไกรบนและล่างจำนวนหลายซี่ ปรากฎสันเหงือกว่างด้านท้ายแบบที่ 1 ตามการจำแนกของเคเนดี้ ทำให้ผู้ป่วยใช้ฟันหน้าหรือฟันกรามน้อยในการเคี้ยวอาหาร ส่งผลให้ฟันหน้าและฟันกรามน้อยสึกร่วมกับสูญเสียมิติการสบฟันในแนวดิ่ง การบูรณะฟันหน้าจำนวนหลายซี่ ด้วยการปักเดือยฟันสำเร็จรูปร่วมกับทำครอบฟันและทำฟันเทียมบางส่วนถอดได้ชั่วคราวในผู้ป่วยที่สูญเสียมิติการสบฟันในแนวดิ่งนั้น ทันตแพทย์ต้องสร้างมิติการสบฟันในแนวดิ่งที่ถูกต้องให้กับผู้ป่วยด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บบริเวณใบหน้าและขากรรไกร ทางคลินิกที่นิยมใช้คือการลองแท่นกัดขี้ผึ้งในปากและให้ผู้ป่วยออกเสียง ส หรือ ซ เพื่อถ่ายทอดมิติการสบฟันในแนวดิ่งและระยะปลายฟันหน้าใกล้สุดขณะพูด เพื่อใช้อ้างอิงในการบูรณะครอบฟันหน้า และบูรณะฟันหลังด้วยฟันเทียมบางส่วนถอดได้เป็นลำดับถัดไป รายงานผู้ป่วยฉบับนี้ได้นำเสนอการบูรณะฟันซี่ 11 12 และ 21 ด้วยการปักเดือยฟันสำเร็จรูปร่วมกับการทำครอบฟัน ในผู้ป่วยที่สูญเสียการสบฟันในมิติแนวดิ่ง ตลอดจนการใส่ฟันเทียมบางส่วนถอดได้ชั่วคราวบนและล่าง เพื่อให้เกิดความสวยงามและการใช้งานที่เหมาะสม</p> ดลฤดี มณีฉาย Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4007 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้ป่วยซึมเศร้าที่พยายามทำร้ายตนเองร่วมกับมีการเสพกัญชา : กรณีศึกษา https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4010 <p> การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยซึมเศร้าที่พยายามทำร้ายตนเองร่วมกับมีการเสพกัญชา โดยศึกษาในผู้ป่วยกรณีศึกษาเป็นชายไทย อายุ 22 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไป เข้ารับการรักษาที่รพ.โนนสูงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 มารดาให้ประวัติว่า 1 วันจะทำร้ายตนเองด้วยการผูกคอ เมื่อ 5 วันก่อน กรีดข้อมือขวา ไม่ได้รักษาที่ไหนมาก่อน 1 ปีเครียด คิดมาก นอนไม่หลับ คบเพื่อนกลุ่มใช้สารเสพติด สูบกัญชา 1 ปี ปฏิเสธโรคประจำตัว ผลตรวจปัสสาวะไม่พบสารเสพติดในปัสสาวะ<br /> ผลการศึกษา : ประเมินภาวะซึมเศร้า 9Q= 8 คะแนน 8Q= 26 คะแนน แพทย์วินิจฉัย Major depressive disorder with severe suicidal idea แพทย์พิจารณาให้นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลโนนสูง Suicidal precaution รักษาด้วยยา Nortrip (25) 1x1 hs , Fluoxetine(20) 1x2 pc , Clonazepam (0.5) 1x1 hs การพยาบาลเพื่อเฝ้าระวังการทำร้ายตนเองซ้ำโดยประเมินอาการ ภาวะซึมเศร้า และความเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเอง สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด ดูแลให้ได้รับประทานยาตามแผนการรักษาของแพทย์ จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย สอนให้ผู้ป่วยรู้จักความคิดอัตโนมัติทางลบ กระตุ้นให้ผู้ป่วยเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อตนเองไปสู่อนาคต สร้างความตระหนักรู้โทษของกัญชาเพื่อป้องกันการกลับไปเสพซ้ำ ประเมินการใช้สารเสพติดโดยใช้ทฤษฏี stages of change เสริมแรงจูงใจในการบำบัด โดยการให้คำแนะนำกับปัญหาที่ผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือและทบทวนเป้าหมายระยะยาวตามขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม Stage of change ของผู้ป่วยอยู่ในขั้นตระหนักรู้ว่ามีปัญหา (Contemplation stage) มีความรู้เกี่ยวกับกัญชาและยาเสพติด แต่ไม่มั่นใจว่าจะเลิกได้ เพราะยังติดเพื่อนอยู่ ได้มีการวางแผนการจำหน่ายแนวทาง D-METHOD ให้ความรู้แก่ญาติและผู้ป่วยเมื่อกลับไปอยู่ที่บ้าน ขณะรักษาในโรงพยาบาลผู้ป่วยไม่ทำร้ายตนเองซ้ำ แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 นัดมาตรวจที่คลินิกสุขภาพจิต โรงพยาบาลโนนสูงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ผู้ป่วยมาตรวจตามนัด รับประทานยาต่อเนื่อง ไม่มีความคิดทำร้ายตนเอง ไม่ใช้สารเสพติด ผลตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะผลเป็นลบ</p> กัลยามาศ แจ่มกลาง Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4010 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 ความคิดเห็นของบุคลากรสาธารณสุขในจังหวัดขอนแก่นที่มีต่อเกณฑ์คุณภาพและมาตรฐาน ในการให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ 8 ด้าน ตามคู่มือคุณภาพมาตรฐาน บริการสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ.2566 (ฉบับปรับปรุง) https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4021 <p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นของบุคลากรสาธารณสุขในจังหวัดขอนแก่นที่มีต่อเกณฑ์คุณภาพ และมาตรฐาน ในการให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ 8 ด้าน ตามคู่มือคุณภาพมาตรฐานบริการสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ.2566 (ฉบับปรับปรุง)เจ้าหน้าที่ในหน่วยบริการปฐมภูมิ 123 แห่งในจังหวัดขอนแก่น ทุกสังกัดรวมทั้งสิ้นจำนวน 246 คน<br /> ผลการศึกษาพบว่า ด้านที่ 1 บริหารจัดการ มีค่าคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นสูงสุดที่ 4.29 ด้านที่ 2 การจัดบุคลากรและศักยภาพในการให้บริการ มีค่าคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นสูงสุดที่ 4.56 ด้านที่ 3 สถานที่ ที่ตั้งหน่วยบริการ อาคาร สถานที่ และสิ่งแวดล้อม มีค่าคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นสูงสุดที่ 4.24 ด้านที่ 4 ระบบสารสนเทศ ให้ข้อมูลการรักษา แก่ผู้รับบริการอย่างครบถ้วน มีค่าคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นสูงสุดที่ 3.42 ด้านที่ 5 ระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ มีค่าคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นสูงสุดที่ 3.36ด้านที่ 6 ระบบห้องปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข มีค่าคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นสูงสุดที่ 3.42 ด้านที่ 7 การจัดบริการเภสัชกรรมและงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คบส.) มีค่าคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นสูงสุดที่ 4.42 ด้านที่ 8 ระบบการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ มีการจัดการ มูลฝอยติดเชื้อ มีค่าคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นสูงสุดที่ 4.45</p> ศิริพร อุทธากิจ Copyright (c) 2025 วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4021 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุที่อยู่อาศัยตามลำพัง ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาสนวน อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4042 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อพัฒนาและประเมินผลการใช้รูปแบบการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุที่อยู่อาศัยตามลำพัง ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาสนวน อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ตามแนวคิดของ Kemmis และMcTaggart&nbsp; คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงมี 2 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มตัวอย่างในการจัดเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพและพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุที่อยู่อาศัยตามลำพัง โดยเลือกแบบเจาะจง จำนวน 12 &nbsp;คนและ (2) ผู้สูงอายุที่อยู่อาศัยตามลำพัง ทดลองใช้รูปแบบจำนวน 55 คน เข้าร่วมกระบวนการวิจัยที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาสนวน ระหว่างเดือนสิงหาคม 2567 – มีนาคม 2568&nbsp; เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จากแบบสอบถาม และการสนทนากลุ่ม<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบการดูลสุขภาพผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพัง โดยมี 5 กิจกรรม คือ 1) การเตรียมความพร้อมให้กับชุมชน ด้วยการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการรับมือปัญหาผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพัง 2) การมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพัง 3) มีเพื่อนร่วมวัยเป็นผู้ดูแลแบบไม่เป็นทางการ 4) การสนับสนุนและช่วยเหลือจากองค์การต่างๆ และ 5) ส่งเสริมการดูแลสุขภาพตนเองตามวิธีการจัดการชีวิตและภาวะพึ่งพิงเป็นรายกรณี ในด้านการใช้ชีวิตประจำวัน ด้านสุขภาพกาย และ ด้านสุขภาพจิต อย่างต่อเนื่อง หลังการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า ความคิดเห็นต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุ และ การปฏิบัติพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยผลต่างเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนภาวะวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้ามีผลต่างค่าเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.05)</p> สุทร สุขรอบ Copyright (c) 2025 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4042 Fri, 28 Feb 2025 00:00:00 +0700