https://he03.tci-thaijo.org/index.php/jnhi/issue/feed วารสารการพยาบาลและนวัตกรรมสุขภาพ 2025-09-15T01:59:09+07:00 รองศาสตราจารย์ ดร.สุทธีพร มูลศาสตร์ sutteeporn@yahoo.com Open Journal Systems <p>วารสารฯ ขอเรียนเชิญ พยาบาล อาจารย์พยาบาล และผู้สนใจส่งบทความวิจัย และบทความวิชาการเกี่ยวกับการศึกษาพยาบาล การบริหารการพยาบาล การปฏิบัติการพยาบาล วิชาชีพการพยาบาลและการดูแลสุขภาพที่มีเนื้อหาทันสมัย เพื่อลงพิมพ์เผยแพร่ในวารสารการพยาบาลและนวัตกรรมสุขภาพ </p> https://he03.tci-thaijo.org/index.php/jnhi/article/view/4459 การพัฒนานวัตกรรมหุ่นฝึกทักษะการนวดแบบมณีเวชในทารกเกิดก่อนกำหนด 2025-06-17T00:09:24+07:00 อารีรัตน์ นวลแย้ม areerat.jah2014@gmail.com ณณัท ฐขวัญแก้ว namploy-49@windowslive.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการหุ่นฝึกทักษะการนวดแบบมณีเวช 2) พัฒนาหุ่นฝึกทักษะการนวดแบบมณีเวช และ 3) ศึกษาประสิทธิผลของหุ่นฝึกทักษะการนวดแบบ&nbsp;&nbsp;&nbsp; มณีเวชในทารกเกิดก่อนกำหนด กลุ่มตัวอย่างและเครื่องมือวิจัยแบ่งตามระยะของการวิจัย ระยะที่ 1 การศึกษาความต้องการหุ่นฝึกทักษะการนวดแบบมณีเวช กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีปัญหาการดูดกลืน จำนวน 10 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามความต้องการหุ่นฝึกทักษะการนวดแบบมณีเวช ระยะที่ 2 การพัฒนาหุ่นฝึกทักษะการนวดแบบมณีเวช ระยะที่ 3 การศึกษาประสิทธิผลของหุ่นฝึกทักษะการนวดแบบมณีเวชในทารกเกิดก่อนกำหนด กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีปัญหาการดูดกลืน จำนวน 34 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามประสิทธิผลการใช้หุ่นฝึกทักษะการนวดแบบมณีเวช ระยะเวลาการศึกษาเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2566 &nbsp;วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ด้วยสถิติที</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) มารดาทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีปัญหาการดูดกลืนมีความต้องการหุ่นฝึกทักษะการนวดแบบมณีเวช ลักษณะหุ่นควรมีความสวยงาม เคลื่อนย้ายง่าย ทนทาน ขนาดหุ่นใกล้เคียงกับของจริง และมีความสะดวกในการใช้งาน 2) หุ่นฝึกทักษะการนวดแบบมณีเวช ผลิตจากยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ และมีระบบไฟฟ้าแจ้งเตือนในการกดจุดต่าง ๆ และ 3) หลังการใช้หุ่นฝึกทักษะการนวดแบบมณีเวช มารดาคิดเห็นว่าหุ่นมีคุณภาพ ความพึงพอใจ และความมั่นใจในการนวดดีกว่าก่อนการใช้หุ่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>สรุปหุ่นฝึกนวดแบบมณีเวชเป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างความมั่นใจให้มารดาในการดูแลทารกก่อนกำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการดูดกลืน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตของทารกแรกเกิดก่อนกำหนด</p> 2025-06-17T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/jnhi/article/view/3834 ผลของโปรแกรมการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของกลุ่มชายรักชาย โรงพยาบาลปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี 2025-02-03T13:36:27+07:00 ศิริกานดา คีรีรัตน์ ohye39@gmail.com ปัญจมาภรณ์ สาตจีนพงษ์ punpunja2515@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของกลุ่มชายรักชาย โรงพยาบาลปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มชายรักชาย ปทุมธานี ขึ้นทะเบียนรับยาป้องกันการติดเชื้อโรคเอดส์ก่อนสัมผัสเชื้อโรคเอดส์ โรงพยาบาลปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี จำนวน 60 คน คือชายรักชายกลุ่มทดลองมีทั้งหมด 30 คน และชายรักชายกลุ่มควบคุม จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและวิเคราะห์ด้วยการใช้สถิติการทดสอบแบบ pair t -test และการทดสอบแบบอิสระ (Independent t-test) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05</p> <p>ผลการวิจัย&nbsp; พบว่า 1) ก่อนการทดลอง ผู้ดูแลกลุ่มทดลอง มีระดับคะแนนเฉลี่ยการรับรู้พลังอำนาจของผู้ดูแลคือความรู้เรื่องการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่มีแผลกดทับ โดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง (Mean= 9.13, S.D =1.63) แต่หลังการทดลองมีระดับคะแนนเฉลี่ยการรับรู้พลังอำนาจของผู้ดูแลคือความรู้เรื่องการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่มีแผลกดทับโดยรวม อยู่ในระดับสูง (Mean= 11.83, S.D =1.80) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05), 2) หลังการทดลอง กลุ่มชายรักชาย กลุ่มทดลอง มีระดับคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 2.58 S.D = .54) ซึ่งสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่มีระดับคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ โดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง (Mean= 2.20 S.D =.46) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-07-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและนวัตกรรมสุขภาพ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/jnhi/article/view/3831 ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจของผู้ดูแลร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมผ่านการพยาบาลทางไกลต่อพฤติกรรมการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่มีแผลกดทับเครือข่ายโรงพยาบาลปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี 2025-02-26T11:17:13+07:00 วาทิณี วงศ์วรพิทักษ์ bbanne2012@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจของผู้ดูแลร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมผ่านการพยาบาลทางไกลต่อการรับรู้พลังอำนาจและพฤติกรรมการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่มีแผลกดทับของผู้ดูแล และอัตราการหายของแผลกดทับของผู้ป่วยติดเตียง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ดูแลในการดูแลผู้ป่วย ติดเตียงที่มีแผลกดทับ เครือข่ายโรงพยาบาลปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี จำนวน 60 คน เป็นกลุ่มทดลอง 30 คน กลุ่มเปรียบเทียบ 30 คน กลุ่มตัวอย่างถูกเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง .67-1.00 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของแบบสอบถามการรับรู้พลังอำนาจและพฤติกรรมการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่มีแผลกดทับ .38 และ .97 และแบบประเมินอัตราการหายของแผลกดทับ .84 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและสถิติทดสอบที</p> <p>ผลการวิจัย พบว่าภายหลังเข้าร่วมโปรแกรม ผู้ดูแลในกลุ่มทดลองมีการรับรู้พลังอำนาจและพฤติกรรมการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่มีแผลกดทับดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ และอัตราการหายของแผลกดทับของผู้ป่วยติดเตียงในกลุ่มทดลองดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบที่ได้รับการพยาบาลตามปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจของผู้ดูแลร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมผ่านการพยาบาลทางไกลสามารถนำไปใช้ในการดูแลแผลกดทับของผู้ป่วยติดเตียงในจังหวัดปทุมธานีและพื้นที่อื่นที่มีบริบทคล้ายคลึงได้</p> 2025-07-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและนวัตกรรมสุขภาพ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/jnhi/article/view/4744 ประสิทธิผลรูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชใช้สารเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย จังหวัดจันทบุรี 2025-09-15T00:24:32+07:00 พุทธิพร พงศ์นันทกุลกิจ aeiputtiporn29@gmail.com <p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้ และทักษะการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสถานการณ์ของทีมสหสาขาวิชาชีพและของผู้ดูแล และเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตของผู้ดูแล กลุ่มตัวอย่างมี 2 กลุ่ม ได้แก่ ทีมสหสาขาวิชาชีพ จำนวน 20 คน และผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชใช้สารเสพติด จำนวน 10 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย 1) รูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชใช้สารเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย มีระยะเวลาการอบรมเชิงปฏิบัติการ 2 วัน และติดตามเยี่ยมบ้านผู้ป่วยเมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 4 2) แบบสอบถามสำหรับทีมสหสาขาวิชาชีพ และ 3) แบบสอบถามสำหรับผู้ดูแล ความเที่ยงของแบบสอบถามความรู้ (เคอาร์-20) และทักษะการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสถานการณ์ (สัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค) ในกลุ่มทีมสหสาขาวิชาชีพมีค่าเท่ากับ .92 และ .91 และในกลุ่มผู้ดูแล เท่ากับ .89 และ .87 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบวิลล์คอกซันซายน์แรงค์</p> <p>ผลการวิจัย หลังเข้าร่วมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ ความรู้และทักษะการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสถานการณ์ของทีมสหสาขาวิชาชีพและของผู้ดูแลดีกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรม และเมื่อติดตามในสัปดาห์ที่ 4 พบว่าคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลดีกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 &nbsp;</p> <p>รูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชใช้สารเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายสามารถขยายผลไปใช้ในผู้ป่วยจิตเวชใช้สารเสพติดในพื้นที่อื่นที่มีบริบทใกล้เคียง</p> 2025-09-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025