https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj/issue/feed วารสารการพยาบาล สุขภาพและสาธารณสุข 2025-09-12T21:00:08+07:00 ผศ.ดร.อัศนี วันชัย nhphj@bcnb.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารการพยาบาล สุขภาพและสาธารณสุข (Nursing, Health, and Public Health Journal) เป็น วารสารเผยแพร่บทความวิชาการ และบทความวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษา และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ทั้งนี้ผลงานที่ส่งมาให้พิจารณาเพื่อตีพิมพ์ ต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ในระหว่างพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่น</p> https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj/article/view/4289 ผลของกิจกรรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการดูแลสุขภาพเบื้องต้น โดยใช้เครื่องมือปิงปองจราจรชีวิต 7 สี สำหรับแกนนำเยาวชน ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ 2025-04-30T18:28:22+07:00 ชัชฎาพร จันทรสุข thidarat@bcnsurin.ac.th อดิศักดิ์ แสงเมือง thidarat@bcnsurin.ac.th วรนาถ พรหมศวร thidarat@bcnsurin.ac.th นิสากร เห็มชนาน thidarat@bcnsurin.ac.th วิมลรัตน์ ชูโฉมงาม thidarat@bcnsurin.ac.th ธิดารัตน์ คณึงเพียร thidarat@bcnsurin.ac.th <p>การวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของกิจกรรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นโดยใช้เครื่องมือปิงปองจราจรชีวิต 7 สี สำหรับแกนนำเยาวชน กลุ่มตัวอย่าง คือ แกนนำเยาวชน ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 50 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จากผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์กำหนด เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) กิจกรรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นโดยใช้เครื่องมือปิงปองจราจรชีวิต 7 สี สำหรับแกนนำเยาวชน พัฒนาขึ้นตามแนวคิดความสามารถของตนเองของ Bandura 2) แบบวัดความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเบื้องต้น หาค่าความเชื่อมั่น ได้ค่า KR-20 =.82 แบบประเมินการรับรู้สมรรถนะตนเอง หาค่าความเชื่อมั่นด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อัลฟ่าของครอนบราค ได้ค่า .80 วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ หาความถี่และร้อยละ ข้อมูลส่วนบุคคล เปรียบเทียบระดับความรู้และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนก่อนและหลังทดลองด้วยสถิติ paired t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ภายหลังเข้าร่วมกิจกรรม กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้สมรรถนะตนเอง และมีคะแนนเฉลี่ยความรู้สูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p &lt; .001 </p> <p>ข้อเสนอแนะ ควรนำกิจกรรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นโดยใช้เครื่องมือปิงปองจราจรชีวิต 7 สี ไปประยุกต์ใช้ สำหรับแกนนำเยาวชนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองในการนำไปใช้กับกลุ่มครอบครัวหรือชุมชนในพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง </p> 2025-10-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj/article/view/4208 ผลของโปรแกรมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพจิตด้วยจิตวิทยาเชิงบวกต่อภาวะสุขภาพจิตดี ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 2025-04-13T15:55:06+07:00 สุทธามาศ อนุธาตุ keskan@bcnb.ac.th เกศกาญจน์ ทันประภัสสร keskan@bcnb.ac.th <p>การศึกษาวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนหลัง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพจิตด้วยจิตวิทยาเชิงบวกต่อภาวะสุขภาพจิตดีของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านที่มีคุณสมบัติ ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 70 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 35 คน โดยกลุ่มควบคุมสามารถดำเนินชีวิตตามปกติ กลุ่มทดลองจะเข้าร่วมโปรแกรมฯจำนวน 6 ครั้ง ๆ ละ 180 นาที มีกิจกรรมการเรียนรู้ 5 ขั้น ได้แก่ 1) การสร้างอารมณ์ด้านบวก 2) การสร้างความผูกพัน 3) การสร้างความสัมพันธ์ 4) การเรียนรู้เพื่ออยู่อย่างมีความหมาย และ 5) การภาคภูมิใจในความสำเร็จ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบประเมินภาวะสุขภาพจิตดี มีค่าดัชนีความสอดล้อง (IOC) เท่ากับ 0.67-1.00 มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของ ครอนบาค เท่ากับ 0.86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติเปรียบเทียบค่าที</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) คะแนนเฉลี่ยภาวะสุขภาพจิตดีรายด้านของกลุ่มทดลองหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ ได้แก่ ความพึงพอใจในชีวิต (p-value &lt; 0.001) การยอมรับตนเอง (p-value = 0.036) การมองโลกในแง่ดี (p-value &lt; 0.001) การเติบโตส่วนบุคคล (p-value &lt; 0.001) และความหยืดหยุ่นทางจิตใจ (p-value &lt; 0.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 2) กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยภาวะสุขภาพจิตดี รายด้านหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ สูงกว่ากลุ่มควบคุม ได้แก่ ความพึงพอใจในชีวิต (p-value &lt; 0.001) การยอมรับตนเอง (p-value = 0.020) การมองโลกในแง่ดี (p-value = 0.037) การเติบโตส่วนบุคคล (p-value &lt; 0.001) และความหยืดหยุ่นทางจิตใจ (p-value &lt; 0.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงควรขยายผลนำไปพัฒนาสุขภาพจิตดีของ อสม. ให้ครอบคลุมพื้นที่ต่อไป</p> 2025-10-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj/article/view/4315 การศึกษาย้อนหลังความชุกและปัจจัยการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ในผู้มีภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว 2025-07-12T22:01:21+07:00 บุษกร แก้วเขียว budsakorn@bcnchainat.ac.th <p>การวิจัยศึกษาย้อนหลังครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้ที่มีภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว ณ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา เก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2560 ถึง 31 ธันวาคม 2565 และเกิดโรคหลอดเลือดสมองภายหลัง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบประเมินประวัติโรคร่วม และ 3) แบบประเมินความเสี่ยง ABCD2 Score วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มัธยฐาน ค่าสูงสุด และต่ำสุด</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อายุมากกว่า 60 ปี (ร้อยละ 74.28) มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง (67.8%) เบาหวาน (45.2%) ไขมันในเลือดผิดปกติ (39.6%) และหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (3.5%) รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ (26.2%) และการดื่มแอลกอฮอล์ (22.4%) ค่าคะแนนเฉลี่ยของความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองเท่ากับ 6 (S.D. = 1.53) โดยมีผู้ที่อยู่ในระดับความเสี่ยงสูงคิดเป็นร้อยละ 44.55 (95% CI: 41.9–46.2) อุบัติการณ์การเกิดโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี พ.ศ.2561 ถึง 2565 (7.56%, 8.90%, 10.63%, 11.83% และ 12.86% ตามลำดับ)</p> <p>การวิจัยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังและป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในกลุ่มผู้มีภาวะสมอง ขาดเลือดชั่วคราว ตลอดจนการศึกษาปัจจัยเสี่ยงอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต</p> 2025-10-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj/article/view/4229 การศึกษาความสัมพันธ์และอำนาจการทำนายระหว่างระดับการติดนิโคตินและการติดสารเสพติดในวัยรุ่นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 2025-04-28T12:34:28+07:00 นริศรา เสามั่น rujisan@bcnsurin.ac.th รุจิสรร สุระถาวร rujisan@bcnsurin.ac.th วัชรีวงศ์ หวังมั่น rujisan@bcnsurin.ac.th ธิดารัตน์ คณึงเพียร thidarat@bcnsurin.ac.th <p>การวิจัยพรรณนาเพื่อศึกษาความสัมพันธ์และอำนาจการทำนายระหว่างระดับการติดนิโคตินและการติดสารเสพติดในวัยรุ่นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า กลุ่มตัวอย่าง คือ เป็นวัยรุ่น 15-18 ปี ในชุมชนจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 84 คน โดยคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจากผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย ข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินการติดนิโคติน แบบประเมินการใช้สารเสพติด ตรวจสอบค่าความเชื่อมั่นด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.92 และ 0.94 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ระดับการติดนิโคตินส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำมาก คิดเป็น ร้อยละ 34.53 (29 ราย) ระดับการติดสารเสพติด ส่วนใหญ่ มีคะแนนระหว่าง 2-3 คะแนน อนุมานว่าเป็นผู้ใช้ คิดเป็นร้อยละ 58.33 (49 ราย) ระดับการติดนิโคตินและมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับการติดสารเสพติดของกลุ่มตัวอย่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.226, p &lt; .05) และพบว่าระดับการติดนิโคตินสามารถทํานายการติดสารเสพติดในวัยรุ่นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้ร้อยละ 5.1 (R2=0.051, p&lt;.05)</p> <p>ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การติดนิโคตินมีอิทธิพลต่อการติดสารเสพติดในวัยรุ่นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ดังนั้นควรมีการควบคุมป้องกันการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อลดโอกาสการติดสารเสพติดในวัยรุ่นต่อไป</p> 2025-09-12T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj/article/view/4343 ความสัมพันธ์ระหว่างการสนับสนุนทางสังคมและการใช้สื่อกับความรอบรู้ด้านสุขภาพ เกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ของนักศึกษาพยาบาลในเขตภาคเหนือตอนล่าง 2025-05-19T13:18:00+07:00 จุฑานาถ จันทร์ดอก naphaklachap@nu.ac.th เปรมิกา พลประสิทธิภาพ naphaklachap@nu.ac.th ณิชารีย์ ธะนะตัน naphaklachap@nu.ac.th พันธิตรา ทองสะอาด naphaklachap@nu.ac.th อลิชา ปินใจ naphaklachap@nu.ac.th อังควิภา ชัยชนะ naphaklachap@nu.ac.th อุ้มสิริ บัวเปีย naphaklachap@nu.ac.th ดวงพร ปิยะคง naphaklachap@nu.ac.th ณภัคลชา ผลอนันต์ naphaklachap@nu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบหาความสัมพันธ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ ด้านสุขภาพเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ และความสัมพันธ์ระหว่างการสนับสนุนทางสังคมและการใช้สื่อกับระดับ ความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ของนักศึกษาพยาบาลในเขตภาคเหนือตอนล่าง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลในสถาบันการศึกษาภาคเหนือตอนล่าง จำนวน 376 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การสนับสนุนทางสังคมเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ แบบสอบถามการใช้สื่อเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ และแบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความเที่ยงตรงเท่ากับ 0.91, 1.0 และ 0.75 ตามลำดับ ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90, 0.82 และ 0.86 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับ ปานกลาง นอกจากนี้การสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับกัญชา ทางการแพทย์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = .512, p-value &lt; .001) และการใช้สื่อมีความสัมพันธ์ทางบวกกับ ความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = .429, p&lt; .001) </p> <p>ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การสนับสนุนทางสังคมและการใช้สื่อล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ของนักศึกษาพยาบาล ดังนั้น ควรมีการพัฒนากลยุทธ์เพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในประเด็นนี้ต่อไป</p> 2025-11-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช