วารสารการพยาบาล สุขภาพและสาธารณสุข https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj <p>วารสารการพยาบาล สุขภาพและสาธารณสุข (Nursing, Health, and Public Health Journal) เป็น วารสารเผยแพร่บทความวิชาการ และบทความวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษา และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ทั้งนี้ผลงานที่ส่งมาให้พิจารณาเพื่อตีพิมพ์ ต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ในระหว่างพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่น</p> วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช th-TH วารสารการพยาบาล สุขภาพและสาธารณสุข 2774-082X บทบรรณาธิการ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj/article/view/2525 <p>วารสารการพยาบาล สุขภาพและสาธารณสุข (Nursing, Health, and Public Health Journal: NHPHJ) ฉบับที่ 3 ปีที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน 2567 จัดทำโดยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช บทความวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ เผยแพร่ในฉบับนี้เป็นผลการวิชาการที่ได้รับการประเมินคุณภาพผลงานจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องก่อนตีพิมพ์เผยแพร่</p> <p>ผลงานวิชาการในวารสารฉบับนี้มีทั้งหมด 5 เรื่อง ดังนี้ 1) ผลการประคบด้วยถุงเจลแช่เย็นต่อการลดความปวดในผู้ป่วยหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม 2) ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการควบคุมโรคในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ในโรงพยาบาลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน 3) ผลการใช้แนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมแบบวันเดียวกลับ หอผู้ป่วยตา หู คอ จมูก โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ 4) การพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี ที่รับบริการคลินิกโรคตับ ห้องตรวจอายุรกรรม โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก และ 5) ผลของโปรแกรมกระตุ้นการหลั่งน้ำนมต่อปริมาณน้ำนมในมารดาหลังคลอดปกติครรภ์แรก หอผู้ป่วยสูติกรรมหลังคลอด โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก</p> <p>กองบรรณาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านบทความวิจัยทั้ง 5 เรื่องนี้ จะสามารถนำไปใช้เป็นประโยชน์ในการนำไปปฏิบัติพัฒนางานทางการพยาบาล สุขภาพและสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพต่อไป และขอเชิญนักวิจัยและนักวิชาการทุกท่าน ร่วมส่งบทความวิชาการ และบทความวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องทางการพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษา และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารการพยาบาล สุขภาพและสาธารณสุข โดยท่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และส่งผลงานวิชาการผานทางระบบออนไลน์ได้ที่ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj</p> อัศนี วันชัย Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-18 2024-04-18 3 1 ผลการประคบด้วยถุงเจลแช่เย็นต่อการลดความปวดในผู้ป่วยหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj/article/view/1742 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง แบบศึกษาสองกลุ่ม วัดหลายครั้งแบบอนุกรมเวลา เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความปวดของผู้ป่วยหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมระหว่างกลุ่มที่ให้การประคบเจลเย็นตามปกติ กับกลุ่มที่ได้รับการประคบด้วยถุงเจลแช่เย็นแบบใหม่ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 104 ราย คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงแบ่ง 2 กลุ่ม กลุ่มควบคุมเป็นกลุ่มที่ได้รับการประคบเจลเย็นตามปกติและกลุ่มทดลองเป็นกลุ่มที่ได้รับการประคบด้วยถุงเจลแช่เย็นแบบใหม่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ถุงเจลประคบเย็น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปและแบบประมินความปวดหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมโดยใช้แบบประเมินความปวดแบบมาตรวัดความปวดแบบตัวเลข วิเคราะห์ข้อมูลใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน ด้วยสถิติไค-สแควร์ สถิติพีชเชอร์ และ สถิติวิลคอกซัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คะแนนความปวดหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในกลุ่มที่ได้รับการประคบด้วยถุงเจลแช่เย็นแบบใหม่หลังผ่าตัดลดลง ทั้งหลังผ่าตัดทันที หลังผ่าตัด 24 ชั่วโมง หลังผ่าตัด 48 ชั่วโมง หลังผ่าตัด 72 ชั่วโมง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05)</p> <p>ดังนั้น พยาบาลควรนำผลการศึกษาครั้งนี้ไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม การจัดการอาการปวดร่วมกับการประคบเย็นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยหลังผ่าตัดให้เร็วยิ่งขึ้น</p> วิกานดา พุทธา วิจิตรา สุขดี Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-01 2024-04-01 3 1 1 10 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการควบคุมโรคในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ในโรงพยาบาลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj/article/view/1648 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่ม วัดก่อนและหลังการทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรม การส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการควบคุมโรคในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 มารักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลบ้านธิ จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน ถูกคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มทดลองได้รับการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนเป็นเวลา 9 สัปดาห์ กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบประเมินพฤติกรรมการควบคุมโรค และ 3) แบบประเมินการรับรู้สมรรถนะแห่งตน เครื่องมือที่ใช้ดำเนินการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา Paired t-test และ Independent t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ภายหลังได้รับโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน 9 สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีคะแนนการรับรู้สมรรถนะแห่งตนและคะแนนพฤติกรรมการควบคุมโรคสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และกลุ่มทดลองมีคะแนนการรับรู้สมรรถนะแห่งตนและคะแนนพฤติกรรมการควบคุมโรคสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>การวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนช่วยให้ผู้ป่วยมีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนและส่งเสริมพฤติกรรมการควบคุมโรคดีขึ้น ดังนั้น ควรนำโปรแกรมนี้ไปใช้ส่งเสริมพฤติกรรมการควบคุมโรคในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังต่อไป</p> จันทร์เพ็ญ ประโยงค์ วัชราพร เนตรคำยวง วินัย กล่อมแก้ว Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-02 2024-04-02 3 1 11 25 ผลการใช้แนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมแบบวันเดียวกลับ หอผู้ป่วยตา หู คอ จมูก โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj/article/view/2222 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความรู้เรื่องโรค การปฏิบัติตัว ความพึงพอใจของผู้ป่วยและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มที่ใช้แนวปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมแบบวันเดียวกลับกับกลุ่มที่ได้รับการดูแลแบบเดิม และตรวจสอบความพึงพอใจของพยาบาลผู้ใช้แนวปฏิบัติแบบใหม่ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 140 ราย คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงแบ่ง 2 กลุ่ม กลุ่มควบคุมเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลตามแนวปฏิบัติเดิม ส่วนกลุ่มทดลองได้รับการดูแลตามแนวปฏิบัติที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก เปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมแบบวันเดียวกลับ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แบบประเมินความรู้ในการปฏิบัติตัวผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกใส่เลนส์แก้วตาเทียม 2) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วย และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลที่ใช้แนวปฏิบัติแบบใหม่ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ และ Independent t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มทดลองที่ใช้แนวปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมแบบวันเดียวกลับ มีคะแนนความรู้เรื่องโรคและการปฏิบัติตัวมากกว่ากลุ่มที่ได้รับการดูแลแบบเดิม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) 2) คะแนนความพึงพอใจของผู้ป่วยกลุ่มทดลองมีคะแนนความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 3) คะแนนเฉลี่ยผลลัพธ์การเกิดความเสี่ยง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการเกิดความเสี่ยงที่พบโดยรวมน้อยกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับการดูแลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.045) และ 4) คะแนนความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพที่ใช้แนวปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p>ควรนำแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมแบบวันเดียวกลับไปใช้อย่างต่อเนื่องในผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมแบบวันเดียวกลับ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถดูแลตนเองในเรื่องการปฏิบัติตัวภายหลังการผ่าตัดเพื่อช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อที่ตาภายหลังการกลับไปพักฟื้นที่บ้าน</p> อารญา ธนานุวัตรพงษ์ จีระกานต์ สุขเมือง Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-04 2024-04-04 3 1 26 39 การพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี ที่รับบริการคลินิกโรคตับ ห้องตรวจอายุรกรรม โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj/article/view/1662 <p>การวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีที่มารับบริการคลินิกโรคตับ และศึกษาผลลัพธ์โดยการเปรียบเทียบระยะเวลาก่อนการเริ่มรักษา จำนวนครั้งที่มาโรงพยาบาลก่อนเริ่มรักษา และความพึงพอใจของผู้รับบริการในกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง การศึกษาประกอบด้วย 4 ระยะ คือ 1) วิเคราะห์สถานการณ์การดูแลผู้ป่วย 2) พัฒนาแนวทางฯ 3) นำแนวทางที่พัฒนาไปใช้ และ 4) ประเมินผลลัพธ์ กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม จำนวน 60 คน กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือวิจัยได้แก่ แนวทางการดูแลผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี ที่รับบริการคลินิกโรคตับ แบบประเมินแนวทางการดูแลและแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลระยะเวลา ก่อนเริ่มรักษาและจำนวนครั้ง ตรวจด้วยสถิติทดสอบแมนวิทนีย์ยู วิเคราะห์ข้อมูลความพึงพอใจ ด้วยใช้เครื่องมือทางสถิติ เช่น ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่ามัธยฐาน </p> <p>ผลวิจัยพบว่า ระยะเวลาก่อนการรับยาและจำนวนครั้งของการมาโรงพยาบาลระหว่างกลุ่มควบคุมและ กลุ่มทดลอง หลังการใช้แนวทางการดูแลมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.01) และคะแนนความ พึงพอใจระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองหลังการใช้แนวทางการดูแลไม่แตกต่างกัน</p> <p>ข้อเสนอแนะ: สามารถนำแนวทางการดูแลผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเป็นแนวทางในการให้บริการห้องตรวจอื่นโดย 1) บริหารจัดการคลินิกในการลดขั้นตอน 2)ปฏิบัติการพยาบาลเน้นให้ความรู้ทั้งเรื่องโรค รักษา ปฏิบัติตัว รับประทานยาถูกต้อง 3) การสนับสนุนและนำไปสู่การพัฒนาแนวทางฯ โดยใช้แนวคิดวงจรการพัฒนาคุณภาพเพื่อคุณภาพทาง การพยาบาล</p> อุมาภรณ์ บุญเปี่ยม ศันสนีย์ วรศรีหิรัญ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-14 2024-04-14 3 1 40 55 ผลของโปรแกรมกระตุ้นการหลั่งน้ำนมต่อปริมาณน้ำนมในมารดาหลังคลอดปกติครรภ์แรก หอผู้ป่วยสูติกรรมหลังคลอด โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://he03.tci-thaijo.org/index.php/nhphj/article/view/1748 <p>การวิจัยนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลองแบบอนุกรมเวลา 2 กลุ่มวัดหลายครั้งเพื่อเปรียบเทียบปริมาณน้ำนมก่อนและหลังได้รับโปรแกรมกระตุ้นการหลั่งน้ำนม ในมารดาหลังคลอดปกติครรภ์แรก กลุ่มตัวอย่างได้แก่ มารดาหลังคลอดปกติครรภ์แรกจำนวน 60 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 30 ราย กลุ่มควบคุม ได้รับการพยาบาลตามปกติ ส่วนกลุ่มทดลอง ได้รับโปรแกรมกระตุ้นการหลั่งน้ำนมร่วมกับการพยาบาลตามปกติ ได้แก่ 1) หลัก 4 ดูด 2) ดื่มน้ำอย่างน้อย 2,000 มิลลิลิตร ใน 1 วัน และ 3) นวดประคบเต้านม มีการประเมินการหลั่งน้ำนมแรกรับและ 8, 24 และ 48 ชั่วโมง หลังคลอด เพื่อวัดปริมาณน้ำนม วิเคราะห์ผลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย One way repeated measures ANOVA dependent และ independent t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยปริมาณน้ำนมในกลุ่มควบคุม และในกลุ่มทดลอง ระยะแรกรับ 8 ชั่วโมง 24 ชั่วโมง และ 48 ชั่วโมงหลังคลอด ทั้ง 2 กลุ่มมีความแตกต่างกันภายในกลุ่มอย่างน้อย 1 คู่ของช่วงเวลา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.01) แต่เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบว่าไม่มีความแตกต่างกัน แต่มีแนวโน้มค่าเฉลี่ยปริมาณน้ำนมของกลุ่มทดลองเพิ่มมากขึ้นกว่ากลุ่มควบคุม ในระยะ 48 ชั่วโมงหลังคลอด</p> <p>พยาบาลสามารถนำโปรแกรมกระตุ้นการหลั่งน้ำนมไปประยุกต์ในการเตรียมความพร้อมหญิงตั้งครรภ์ ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และใช้โปรแกรมให้ความรู้แก่มารดาหลังคลอดทุกรายเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน</p> ศิริวรรณ์ พันธ์ทรัพย์ กิจญมาส นาคแก้ว ละอองทิพย์ รถมณี นุชจรี อุทัย กนกพร ขวัญนาค Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-18 2024-04-18 3 1 56 66