https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/issue/feed
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนอร์ทเทิร์น
2025-11-07T14:04:56+07:00
Dr.Phutthipong Makmai
journalsci@northern.ac.th
Open Journal Systems
<p><span style="font-size: 0.875rem;"><strong>วัตถุประสงค์ของการจัดพิมพ์วารสาร </strong><br /> 1. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้นักวิชาการ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป ได้เผยแพร่บทความทางวิชาการและบทความวิจัยที่มีคุณภาพ <br /> 2. เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ด้านวิชาการ และด้านการวิจัย</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"><strong>กำหนดการเผยแพร่ </strong> <br /> </span><span style="font-size: 0.875rem;">ปีละ 4 ฉบับ<br /> ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มีนาคม <br /> ฉบับที่ 2 เดือน เมษายน - มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 3 เดือน กรกฎาคม - กันยายน<br /> ฉบับที่ 4 เดือน ตุลาคม - ธันวาคม</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"><strong>เจ้าของวารสาร </strong> <br /> วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"><strong>สำนักงาน </strong><br /> กองบรรณาธิการวารสาร ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น <br /> 888 หมู่ 2 ถนนพหลโยธิน (แนวเก่า) ตำบลหนองบัวใต้ อำเภอเมือง จังหวัดตาก 63000<br /> โทรศัพท์ 055-517488 ต่อ 5</span></p>
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4946
ประสิทธิผลของโปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ โรงพยาบาลศรีนคร จังหวัดสุโขทัย
2025-10-28T15:10:19+07:00
ชัชฎาภรณ์ ศิริพงศ์ตระกูล
tumtor1245@gmail.com
<p>บทคัดย่อ <br>การวิจัยแบบกึ่งทดลอง 2 กลุ่ม เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจในการป้องกันโรค<br>หลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที ่ควบคุมไม่ได้ ณ โรงพยาบาลศรีนคร จังหวัดสุโขทัย กลุ ่มตัวอย่าง <br>คือ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองระดับสูงขึ้นไป จำนวน 60 คน แบ่งเป็น<br>กลุ ่มควบคุมที ่ได้รับการดูแลตามปกติ จำนวน 30 คน และกลุ ่มทดลองที ่ได้รับโปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจในการ<br>ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง จำนวน 30 คน เครื ่องมือที ่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจที่<br>ประกอบด้วย 7 กิจกรรม ใช้เวลา 12 สัปดาห์ ภายใต้กรอบแนวคิดของทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค เครื่องมือที่ใช้<br>เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามการรับรู้ความรุนแรงของโรคหลอดเลือดสมอง การรับรู ้โอกาสเสี ่ยงต่อการ<br>เกิดโรคหลอดเลือดสมอง แบบประเมินความคาดหวังในความสามารถตนเอง แบบประเมินความคาดหวังในผลดีของ<br>พฤติกรรมป้องกันโรค และแบบประเมินพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิง<br>พรรณนา Independent t-test และ Paired t-test <br>ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังจากได้รับโปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง <br>กลุ่มทดลองมีคะแนนการรับรู้ความรุนแรงของโรคหลอดเลือดสมอง การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือด<br>สมอง ความคาดหวังในความสามารถตนเอง ความคาดหวังในผลดีของพฤติกรรมป้องกันโรค และพฤติกรรมการ<br>ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ดีกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและดีกว่ากลุ ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที ่ระดับ <br>0.001 ทั ้งนี ้ ควรมีการขยายผลโปรแกรมเสริมสร้างแรงจูงใจไปยังโรงพยาบาลชุมชนและหน่วยบริการสาธารณสุข<br>อื ่นๆ ในเขตสุขภาพที่ 2 พร้อมทั ้งพัฒนาระบบติดตามผู ้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ในระยะยาวโดยใช้<br>เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้การดูแลป้องกันโรคหลอดเลือดสมองมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4948
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพของประชาชน ในตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย
2025-10-28T15:21:21+07:00
คมสันต์ ดีจู
Judy.khomsan@gmail.com
<p>บทคัดบ่อ <br>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางเพื่อศึกษาปัจจัยที ่มีอิทธิพลต่อการเตรียมความพร้อมสู ่การ<br>เป็นผู ้สูงวัยอย่างมีคุณภาพของประชาชน ตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย กลุ่ม<br>ตัวอย่างได้แก่ประชาชนที ่มีอายุระหว่าง 50-59 ปี จำนวน 206 คน เครื ่องมือที ่ใช้ในการวิจัยเป็น<br>แบบสอบถามความรู ้เกี ่ยวกับการเตรียมความพร้อมการเป็นผู ้สูงอายุ ใช้ค่า KR20 0.82 แบบสอบถามแรง<br>สนับสนุนทางสังคม ทัศนคติต่อการเตรียมความพร้อมการเป็นผู้สูงอายุ และพฤติกรรมการเตรียมความพร้อม<br>การเป็นผู้สูงอายุ ใช้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค มีค่าความเชื่อมั่น 0.80, 0.84 และ 0.86 ตามลำดับ <br>สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าสูงสุด <br>ค่าต่ำสุด และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ ด้วยวิธีการคัดเลือกตัวแบบแบบขั้นตอน <br>ผลการศึกษา พบว่า กลุ ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 65.0 มีอายุเฉลี ่ย 54.96±3.16 ปี <br>ประกอบอาชีพเกษตรกร ร้อยละ 62.1 มีแรงสนับสนุนทางสังคมอยู ่ในระดับต่ำ ร้อยละ 42.7 มีความรู้<br>เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมการเป็นผู้สูงอายุอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 71.8 มีทัศนคติต่อการเตรียม<br>ความพร้อมการเป็นผู้สูงอายุอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 71.4 มีพฤติกรรมการเตรียมความพร้อมการเป็น<br>ผู ้สูงอายุอยู ่ในระดับน้อย ร้อยละ 72.8 ปัจจัยที ่มีอิทธิพลต่อการเตรียมความพร้อมสู ่การเป็นผู ้สูงวัยอย่างมี<br>คุณภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ แรงสนับสนุนทางสังคม (p < 0.001, β = 0.521) ความรู้เกี่ยวกับการ<br>เตรียมความพร้อมการเป็นผู้สูงอายุ (p < 0.001, β = 0.398) และทัศนคติต่อการเตรียมความพร้อมการเป็น<br>ผู้สูงอายุ (p < 0.001, β = 0.342) โดยสามารถร่วมกันทำนายการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้สูงวัยอย่างมี<br>คุณภาพของประชาชนได้ร้อยละ 68.7 การศึกษานี้ควรนำไปใช้ในการจัดโครงการส่งเสริมแรงสนับสนุนทาง<br>สังคมและการให้ความรู้เพื่อการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้สูงวัยอย่างต่อเนื่อง</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4950
ผลทันทีของการรักษาทางกายภาพบำบัดต่ออาการปวดด้วยเทคนิค Rhythm neck unwind ใน ผู้ที่มีอาการปวดคอเรื้อรังในโรงพยาบาลบางละมุง : การศึกษาวิจัยเชิงเปรียบเทียบแบบสุ่ม
2025-10-28T15:26:00+07:00
ภัสรานันท์ สุริยะเชาวนันท์
hanamic88@gmail.com
<p>บทคัดย่อ <br>อาการปวดคอเรื ้อรังเป็นปัญหาทางระบบกล้ามเนื ้อและกระดูกที ่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู ้ที ่มี<br>ท่าทางทำงานไม่เหมาะสมหรือมีความเครียดสะสม ส่งผลให้กล้ามเนื ้อตึงตัวผิดปกติ นำไปสู ่ความเจ็บปวด<br>และการทำงานผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ งานวิจัยนี ้มีวัตถุประสงค์เพื ่อศึกษาผลทันทีของเทคนิค <br>Rhythm Neck Unwind Technique (RNUT) ซึ ่งเป็นการออกกำลังกายแบบยืดเหยียดกล้ามเนื ้อร่วมกับ<br>การหายใจ(stretching and breathing Exercise) ต่อระดับความเจ็บปวด ระดับขีดกั ้นความรู้สึกเจ็บปวด <br>และความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันในผู้ป่วยปวดคอเรื้อรัง การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่ม ใน<br>อาสาสมัคร 40 คน แบ่งเป็นกลุ ่มทดลองและกลุ ่มควบคุม กลุ ่มทดลองได้รับการรักษาด้วย RNUT ร่วมกับ <br>Ultrasound ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการรักษาพื้นฐาน Ultrasound และออกกำลังกายทั่วไป โดยประเมินผล<br>ก่อนและหลังการรักษาทันทีด้วย Visual Analogue Scale (VAS), Pressure Pain Threshold (PPT) และ <br>Neck Disability Index (Thai-NDI) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่ากลุ ่ม RNUT มีการลดอาการปวด (VAS: <br>2.20, p < 0.001) เพิ ่มค่า (PPT: +0.76 kg/cm², p < 0.001) และลดระดับ (NDI: -8.8, p < 0.001). ได้<br>อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05), ผลการวิเคราะห์ค่า Effect Size ของทั้งสามตัวแปรพบว่ามีขนาดใหญ่ <br>ได้แก่ (VAS = 1.57, PPT = 0.91, NDI = 1.12) ซึ่งบ่งชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีความสำคัญทางคลินิก<br>อย่างมากเมื่อเทียบกับกลุ ่มควบคุม เทคนิค RNUT จึงเป็นเทคนิคที ่มีประสิทธิภาพที่สามารถลดอาการปวด<br>คอได้ในทันที และผู ้ป่วยสามารถฝึกปฏิบัติได้ด้วยตนเองที ่บ้านอย่างปลอดภัย เหมาะสมสำหรับการนำไป<br>ประยุกต์ใช้ในงานกายภาพบำบัดต่อไป</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4951
ผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามแนวทางของ DASH ร่วมกับทฤษฎี การรับรู้ความสามารถแห่งตนและแรงสนับสนุนทางสังคมของผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลศรีนคร จังหวัดสุโขทัย
2025-10-28T15:34:34+07:00
นพรดา นรีนันท์
Natkitta_ae@hotmail.com
<p>บทคัดย่อ <br>การวิจัยแบบกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมปรับเปลี ่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร <br>ตามแนวทางของ DASH ร่วมกับทฤษฎีการรับรู ้ความสามารถแห่งตนและแรงสนับสนุนทางสังคมของผู้ป่วย <br>โรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลศรีนคร จังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง <br>จำนวน 60 คน แบ่งเป็น กลุ่มควบคุม 30 คน และกลุ่มทดลอง 30 คน เครื่องมือในการทดลอง ได้แก่ <br>โปรแกรม DASH ที่ประกอบด้วยกิจกรรมการให้ความรู ้โภชนาการ การสาธิตอาหาร การแลกเปลี่ยน<br>ประสบการณ์ และการกระตุ้นเตือน เครื่องมือเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามการรับรู้ความสามารถแห่งตน <br>การสนับสนุนทางสังคม พฤติกรรมการบริโภคอาหารตาม DASH และการวัดความดันโลหิต วิเคราะห์ข้อมูล<br>ด้วยสถิติเชิงพรรณนา Paired t-test และ Independent t-test <br>ผลการศึกษาพบว่า กลุ ่มทดลองมีค่าเฉลี ่ยคะแนนการรับรู ้ความสามารถแห่งตน การสนับสนุน <br>ทางสังคม และพฤติกรรมการบริโภคอาหารตาม DASH ดีกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและกลุ ่มควบคุมอย่างมี<br>นัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ระดับความดันโลหิตทั ้งตัวบนและตัวล่างต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและ <br>กลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) <br>ทั ้งนี้พยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขควรนำโปรแกรม DASH ร่วมกับทฤษฎีการรับรู้<br>ความสามารถแห่งตนและแรงสนับสนุนทางสังคมไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โดยเน้นการให้<br>ความรู้รายบุคคล การสร้างแรงสนับสนุนจากครอบครัว และการเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการปรับเปลี่ยน<br>พฤติกรรมการบริโภคอาหาร</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4952
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในคลินิกหมอครอบครัวหนองตูม อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย
2025-10-28T15:41:41+07:00
ศตวรรษ บัวจร
Sattawat01@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง ของผู้ป่วยโรคเบาหวานและเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานคลินิกหมอครอบครัวหนองตูมอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือผู้ป่วยโรคเบาหวานในเขตความรับผิดชอบของคลินิกหมอครอบครัวหนองตูม จำนวน964คนใช้สูตรการคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างของ Yamane ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 283 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการดำเนินการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นแล้วคัดเลือกแต่ละชั้นของกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงโดยผ่านเกณฑ์การคัดเข้า เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามเลือกตอบ ทดสอบความเชื่อมั่นอยู่ระหว่าง 0.79 - 0.88 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน การทดสอบไคสแควร์ผลการวิจัยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 70.3 กลุ่มอายุส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 61–70 ปี ร้อยละ 37.5เฉลี่ย 63.3 ปี (SD=10.2) น้ำหนักส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 51-70 กิโลกรัมร้อยละ 64 น้ำหนักเฉลี่ย 62.4 กิโลกรัม (SD=11.3) สถานภาพสมรสส่วนใหญ่สมรสร้อยละ 66.8 อาชีพส่วนใหญ่ทำนาร้อยละ 41 สิทธิค่ารักษาพยาบาลส่วนใหญ่สิทธิบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าร้อยละ 95.1 รายได้ต่อเดือนส่วนใหญ่น้อยกว่า 5,000 บาทร้อยละ 73.9 ระดับการศึกษาส่วนใหญ่ประถมศึกษาร้อยละ 63.3 ส่วนใหญ่ระยะเวลาเป็นเบาหวานน้อยกว่า 5 ปีร้อยละ 37.8 ระยะเวลาเป็นเบาหวานเฉลี่ย 8.5 ปี ระดับน้ำตาลสะสมในเลือดส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 5.1-7 ร้อยละ 48.4 ระดับน้ำตาลสะสมในเลือดเฉลี่ย 7.2 ปัจจัยนำอยู่ในระดับมากร้อยละ85.5พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานโดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.73 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน.35) พิจารณารายด้าน พบว่าด้านยาอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.77 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน.33) มีปัจจัยที่เป็นไปตามสมมติฐานปัจจัยเดียวคือปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุมีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และส่วนปัจจัยส่วนบุคคลด้าน เพศ สถานภาพสมรส อาชีพ สิทธิค่ารักษาพยาบาล รายได้ ระดับการศึกษาสูงสุด ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน HbA1C และปัจจัยนำไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน </p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4989
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการได้รับบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิ ในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง จังหวัดสุโขทัย
2025-11-07T09:51:51+07:00
พงศ์พัฒน์ เรืองวิทย์
pongpat.rx14@gmail.com
ทรรศนีย์ บุญมั่น
pongpat.rx14@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการได้รับบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง จังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่รับบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิ ณ คลินิกผู้ป่วยโรคเรื้อรังในจังหวัดสุโขทัย จำนวน 425 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ประกอบด้วย ปัจจัยข้อมูลส่วนบุคคล ปัจจัยด้านสุขภาพ ปัจจัยด้านการเข้าถึงบริการ ความรู้เกี่ยวกับโรคและการใช้ยา ทัศนคติต่อการรักษา ปัจจัยด้านการสนับสนุนทางสังคม ปัจจัยด้านนโยบายและการบริหารจัดการ และประสิทธิภาพการได้รับบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิ โดยแบบสอบถามความรู้ใช้ค่า KR20 เท่ากับ 0.84 แบบสอบถามอื่นๆ ใช้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค มีค่าความเชื่อมั่นระหว่าง 0.80-0.86 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ ด้วยวิธีการคัดเลือกตัวแบบแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 56.9 มีอายุเฉลี่ย 53.5±11.2 ปี เป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน ร้อยละ 45.2 และโรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 38.8 มีระยะเวลาการเจ็บป่วยเฉลี่ย 8.5±5.2 ปี มีการเข้าถึงบริการอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 70.1 มีความรู้เกี่ยวกับโรคและการใช้ยาอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 72.4 มีทัศนคติต่อการรักษาอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 83.8 มีการสนับสนุนทางสังคมอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 67.5 และมีประสิทธิภาพการได้รับบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 69.2 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการได้รับบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ ความรู้เกี่ยวกับโรคและการใช้ยา (p < 0.001, β = 0.367) ปัจจัยด้านการเข้าถึงบริการ (p < 0.001, β = 0.362) และปัจจัยด้านการสนับสนุนทางสังคม (p < 0.001, β = 0.197) โดยสามารถร่วมกันทำนายประสิทธิภาพการได้รับบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้ร้อยละ 63.4 การศึกษานี้ควรนำไปใช้ในการพัฒนาโปรแกรมการให้ความรู้ที่เป็นระบบ การเพิ่มการเข้าถึงบริการ และการส่งเสริมการสนับสนุนทางสังคมสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง</p> <p> </p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4991
การพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนาคุณภาพบริการ ของโรงพยาบาลสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย
2025-11-07T14:04:56+07:00
เอกมล วิทูรอนันต์
Ekamon01@gmail.com
ทรรศนีย์ บุญมั่น
Thassanee02@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และแนวทางการบริหารเชิงกลยุทธ์ เพื่อพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ เพื่อทดลองใช้รูปแบบ และเพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนาคุณภาพบริการของโรงพยาบาลสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย การวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนาที่ดำเนินการ 4 ขั้นตอน ได้แก่ การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และแนวทาง การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพรูปแบบ การทดลองใช้รูปแบบ และการประเมินผลการใช้รูปแบบ ประชากรคือบุคลากรโรงพยาบาลสวรรคโลก จำนวน 331 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์ การสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ t-test independent</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของการบริหารเชิงกลยุทธ์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยการกำหนดทิศทางองค์กรมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ส่วนปัญหาโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติมีปัญหามากที่สุด รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลัก คือ กระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ 6 ด้าน และปัจจัยเอื้อและสนับสนุน 5 ด้าน ผลการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญพบว่ารูปแบบมีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด โดยความเหมาะสมมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ผลการทดลองใช้รูปแบบพบว่าความพึงพอใจของผู้รับบริการหลังใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยด้านการตอบสนองมีความพึงพอใจเพิ่มขึ้นมากที่สุด ผลการประเมินคุณภาพรูปแบบตามมาตรฐานพบว่าโดยภาพรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด โดยความเป็นประโยชน์มีค่าเฉลี่ยสูงสุด และบุคลากรมีความพึงพอใจต่อรูปแบบอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะด้านความสามารถนำไปใช้ประโยชน์</p> <p>ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่ารูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม มีคุณภาพตามมาตรฐาน และมีประสิทธิผลในการพัฒนาคุณภาพบริการของโรงพยาบาล สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพบริการของโรงพยาบาลอื่นๆ ได้</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025