https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/issue/feed
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนอร์ทเทิร์น
2025-12-06T10:33:46+07:00
Dr.Phutthipong Makmai
journalsci@northern.ac.th
Open Journal Systems
<p><span style="font-size: 0.875rem;"><strong>วัตถุประสงค์ของการจัดพิมพ์วารสาร </strong><br /> 1. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้นักวิชาการ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป ได้เผยแพร่บทความทางวิชาการและบทความวิจัยที่มีคุณภาพ <br /> 2. เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ด้านวิชาการ และด้านการวิจัย</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"><strong>กำหนดการเผยแพร่ </strong> <br /> </span><span style="font-size: 0.875rem;">ปีละ 4 ฉบับ<br /> ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มีนาคม <br /> ฉบับที่ 2 เดือน เมษายน - มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 3 เดือน กรกฎาคม - กันยายน<br /> ฉบับที่ 4 เดือน ตุลาคม - ธันวาคม</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"><strong>เจ้าของวารสาร </strong> <br /> วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"><strong>สำนักงาน </strong><br /> กองบรรณาธิการวารสาร ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น <br /> 888 หมู่ 2 ถนนพหลโยธิน (แนวเก่า) ตำบลหนองบัวใต้ อำเภอเมือง จังหวัดตาก 63000<br /> โทรศัพท์ 055-517488 ต่อ 5</span></p>
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/5069
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนอุทัยวิทยาคม จังหวัดอุทัยธานี
2025-11-29T14:58:54+07:00
ภคศิริ รักสิการ
waleenan@hotmail.com
<p><a name="_Toc192022920"></a><strong>บทคัดย</strong><strong>่อ</strong></p> <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนอุทัยวิทยาคม จังหวัดอุทัยธานี ขนาดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 287 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าต่ำสุดค่าสูงสุด และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงอนุมาน โดยใช้สถิติไคสแควร์ กำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กัน ได้แก่ เกรดเฉลี่ยรวม<br>(=14.587, p=0.024) สถานภาพการอยู่ร่วมกันของบิดามารดา (=14.619, p=0.023) และนักเรียนมีประสบการณ์การมีเพศสัมพันธ์ (=14.698, p>0.001) ปัจจัยการรับรู้ด้านสุขภาพ ได้แก่การรับรู้โอกาสเสี่ยง (=13.260, p=0.010) และการรับรู้ความสามารถตนเอง (=13.473, p=0.009) และแรงสนับสนุนทางสังคม ได้แก่ แรงสนับสนุนจากครอบครัว (=16.839, p=0.002) แรงสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อน (=9.514, p=0.049) แรงสนับสนุนจากสถานศึกษา ครู (=32.435, p>0.001) และแรงสนับสนุนจากบุคลากรด้านสุขภาพ <br>(=71.615, p>0.001) ผู้วิจัยเห็นถึงความสำคัญที่จะทำการศึกษาในกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่ต้องเป็นเติบโตไปเป็นอนาคตของประเทศโดยคาดหวังอย่างยิ่งว่า ผลการศึกษาที่ได้ในครั้งนี้จะสามารถใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นและเป็นแบบอย่างที่ดีในการป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในอนาคตต่อไป</p>
2025-11-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/5070
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดของนิสิตชั้นปีที่ 1 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
2025-11-29T15:07:48+07:00
ณัฐกานต์ นครสุข
natthankann65@nu.ac.th
ณิชกานต์ กาศเจริญ
natthankann65@nu.ac.th
ธนัช กนกเทศ
thanachk@nu.ac.th
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-Sectional Descriptive Study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเครียดและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดของนิสิตชั้นปีที่ 1 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 117 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม อยู่ระหว่าง 0.79-0.948 โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบผลคูณโมเมนต์ของเพียร์สัน และ สัมประสิทธิ์อีตา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 84.60 อายุ 18 ปี ร้อยละ 70.10 มีเกรดเฉลี่ยสะสมระหว่าง 3.50-3.75 ร้อยละ 46.20 เงินที่ได้รับเฉลี่ยต่อเดือนของนิสิต อยู่ระหว่าง 3,500–5,000 บาท ร้อยละ 40.20 ไม่พบโรคประจำตัวของนิสิต ร้อยละ 93.20 โรคประจำตัวที่พบมากที่สุดคือ ภูมิแพ้ ร้อยละ 3.40 พักอาศัยที่หอพัก (นอกมหาวิทยาลัย) ร้อยละ 77.80 ลำดับการเกิดของนิสิต เป็นบุตรคนสุดท้อง ร้อยละ 39.30 สถานภาพสมรสของผู้ปกครอง อยู่ด้วยกัน ร้อยละ 63.20 บุคคลในครอบครัวไม่มีประวัติปัญหาสุขภาพจิต ร้อยละ 100 บุคคลที่พักอาศัยด้วย คือ บิดามารดา ร้อยละ 45.30 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดของนิสิตพบว่า ปัจจัยภายนอก(r = 0.561, p=0.001 ) ผลการเรียน (r=0.389, p = 0.001 ) ครอบครัว (r = 0.398, p = 0.001 ) ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น (r = 0.427, p = 0.001 ) รวมทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม (r = 0.427, p = 0.001 ) มีความสัมพันธ์กับความเครียดของนิสิตชั้นปีที่ 1 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-11-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/5072
ผลของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองด้านจิตวิญญาณในหอผู้ป่วยใน โรงพยาบาลศรีนคร จังหวัดสุโขทัย
2025-11-29T15:31:05+07:00
รสสุคนธ์ สุทะปา
rossukon01@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยแบบกึ่งทดลอง แบบหนึ่งกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง เพื่อศึกษาผลของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองด้านจิตวิญญาณ ในหอผู้ป่วยใน โรงพยาบาลศรีนคร จังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยแบบประคับประคอง จำนวน 13 ราย และผู้ดูแลหลัก/ครอบครัว จำนวน 13 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองด้านจิตวิญญาณตามNarayanasamy's Spiritual Care Model ครอบคลุม 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การดูแลด้านความเชื่อและค่านิยม การดูแลด้านความหมายและจุดประสงค์ของชีวิต การดูแลด้านความสัมพันธ์ และการดูแลด้านการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินความต้องการด้านจิตวิญญาณของนารานาซาม (SNAT) แบบประเมินภาวะผาสุกทางจิตวิญญาณ (SWBS) แบบประเมินคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยประคับประคอง (POS) และแบบสอบถามความพึงพอใจของครอบครัว วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Wilcoxon sign rank test</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังจากได้รับการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองด้านจิตวิญญาณ กลุ่มทดลองมีค่ามัธยฐานคะแนนความต้องการด้านจิตวิญญาณลดลงจาก 68.0 เป็น 42.0 ดีกว่าก่อนได้รับการดูแลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และมีค่ามัธยฐานคะแนนภาวะผาสุกทางจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นจาก 16.0 เป็น 24.0 ดีกว่าก่อนได้รับการดูแลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 ส่วนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมีค่ามัธยฐานคะแนนเปลี่ยนแปลงจาก 22.0 เป็น 21.0 แต่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.180) นอกจากนี้ ครอบครัว/ผู้ดูแลมีความพึงพอใจต่อการดูแลด้านจิตวิญญาณโดยรวมอยู่ในระดับสูง (Mean=35.85, SD=2.19) ทั้งนี้ พยาบาลและบุคลากรสุขภาพควรนำแนวทางการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองด้านจิตวิญญาณตาม Narayanasamy's Spiritual Care Model ไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการประเมินความต้องการด้านจิตวิญญาณรายบุคคล การสนับสนุนให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามความเชื่อทางศาสนา การช่วยให้ผู้ป่วยค้นหาความหมายและจุดประสงค์ของชีวิต การอำนวยความสะดวกในการพบปะครอบครัวและบุคคลสำคัญ</p>
2025-11-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/5073
ประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวดร่วมกับการบริการพยาบาลทางไกลในการส่งเสริมภาวะเบาหวานสงบของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลศรีนคร จังหวัดสุโขทัย
2025-11-29T16:44:26+07:00
เกษรา แสงภูติ
Kesara01@gmail.com
ทรรศนีย์ บุญมั่น
Thassanee02@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวดร่วมกับการบริการพยาบาลทางไกลในการส่งเสริมภาวะเบาหวานสงบของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลศรีนคร จังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 60 คน โดยแบ่งเป็น กลุ่มควบคุม 30 คน และกลุ่มทดลอง 30 คน เครื่องมือในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวดที่เน้นการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายร่วมกับการบริการพยาบาลทางไกล (Telenursing) ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมการให้ความรู้ การติดตามอาการ และการให้คำปรึกษาผ่านระบบทางไกล เครื่องมือเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการออกกำลังกาย การวัดระดับน้ำตาลสะสมในเลือด และน้ำหนักตัว วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Paired t-test และIndependent t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 52.30±7.80 เป็น 68.20±6.50 คะแนน และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการออกกำลังกายของกลุ่มทดลองเพิ่มขึ้นจาก 42.80±6.50 เป็น 57.40±5.80 คะแนน และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) อย่างไรก็ตาม ค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลสะสมในเลือด ของกลุ่มทดลองลดลงจาก กลุ่มทดลองมีระดับน้ำตาลสะสมในเลือด ลดลงจาก 8.15±1.25 เป็น 7.85±1.20 เปอร์เซ็นต์ และมีน้ำหนักตัวลดลงจาก 78.50±8.60 เป็น 77.60±8.50 กิโลกรัม ซึ่งไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวดร่วมกับการบริการพยาบาลทางไกลมีประสิทธิภาพสูงในการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ทั้งนี้ พยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขควรนำรูปแบบการบริการพยาบาลทางไกลไปประยุกต์ใช้ในการติดตามและสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง โดยอาจพิจารณาการติดตามผลในระยะยาวเพื่อประเมินผลลัพธ์ทางคลินิกที่สำคัญต่อไป</p>
2025-11-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/5090
การพัฒนาแนวทางปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤติห้องอุบัติเหตุ และฉุกเฉิน โรงพยาบาลบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย
2025-12-06T10:33:46+07:00
อำนาจ ลีรัก
amnat.lee7145@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การพัฒนาแนวทางปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤติ ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ตามแนวคิดของ Kemmis และ McTaggart โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินผลแนวทางปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤติ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพยาบาลวิชาชีพและเวชกิจฉุกเฉิน จำนวน 10 ราย และผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่อ จำนวน 100 ราย ระหว่างเดือนสิงหาคม - พฤศจิกายน 2568 ดำเนินการตามกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Action) การสังเกต (Observation) และการสะท้อนผล (Reflection) ภายใต้มาตรฐานการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบประเมินความรู้ แบบประเมินทักษะการปฏิบัติ และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Wilcoxon Signed-rank test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า แนวทางปฏิบัติที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก คือ (1) การประเมินและคัดกรองผู้ป่วยโดยใช้เกณฑ์มาตรฐาน Triage (2) การเตรียมความพร้อมก่อนส่งต่อ (3) การประสานงานผ่านศูนย์ประสานงาน REFER (4) การดูแลระหว่างการนำส่ง (5) การส่งมอบผู้ป่วยด้วยเทคนิค SBAR และ (6) การบันทึกและประเมินผล หลังการใช้แนวทางปฏิบัติ พบว่า พยาบาลวิชาชีพและเวชกิจฉุกเฉินมีความรู้เพิ่มขึ้นจากค่ามัธยฐาน 17.00 เป็น 22.50 (p<0.001) และทักษะการปฏิบัติเพิ่มขึ้นจากค่ามัธยฐาน 101.00 เป็น 140.00 (p=0.002) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้ปฏิบัติงานมีความพึงพอใจต่อแนวทางปฏิบัติในระดับมากที่สุด (𝑥̅=4.57, SD=0.35) และผู้รับบริการมีความพึงพอใจต่อการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินในระดับมาก (𝑥̅=4.40, SD=0.42) ควรมีการขยายผลแนวทางปฏิบัติไปยังโรงพยาบาลชุมชนและหน่วยบริการสาธารณสุขอื่นๆ ในเขตสุขภาพที่ 2 พร้อมทั้งพัฒนาระบบติดตามผู้ป่วยในระยะยาวโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้การดูแลป้องกันภาวะวิกฤติมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p>
2025-12-06T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025