วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนอร์ทเทิร์น https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc <p><span style="font-size: 0.875rem;"><strong>วัตถุประสงค์ของการจัดพิมพ์วารสาร </strong><br /> 1. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้นักวิชาการ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป ได้เผยแพร่บทความทางวิชาการและบทความวิจัยที่มีคุณภาพ <br /> 2. เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ด้านวิชาการ และด้านการวิจัย</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"><strong>กำหนดการเผยแพร่ </strong> <br /> </span><span style="font-size: 0.875rem;">ปีละ 4 ฉบับ<br /> ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มีนาคม <br /> ฉบับที่ 2 เดือน เมษายน - มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 3 เดือน กรกฎาคม - กันยายน<br /> ฉบับที่ 4 เดือน ตุลาคม - ธันวาคม</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"><strong>เจ้าของวารสาร </strong> <br /> วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"><strong>สำนักงาน </strong><br /> กองบรรณาธิการวารสาร ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น <br /> 888 หมู่ 2 ถนนพหลโยธิน (แนวเก่า) ตำบลหนองบัวใต้ อำเภอเมือง จังหวัดตาก 63000<br /> โทรศัพท์ 055-517488 ต่อ 5</span></p> วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น th-TH วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนอร์ทเทิร์น 2730-1583 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรเขตพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านวังแดง อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4524 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การศึกษาวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะส่วนบุคคล ความรอบรู้ด้านสุขภาพที่มีความสัมพันธ์กับการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ประชากรในการศึกษาวิจัยคือ เกษตรกรเขตพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านวังแดง อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 995 คน โดยใช้สูตรการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Daniel เท่ากับ 305 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ประกอบด้วย 3 ส่วน&nbsp; ได้แก่ คุณลักษณะส่วนบุคคล ความรอบรู้ด้านสุขภาพ คำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตน ก่อนใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ขณะใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และหลังใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช แบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และนำไปทดลองใช้เพื่อวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค เท่ากับ 0.836 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชมีความสัมพันธ์ทางบวก ประกอบด้วย ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (P-value&lt;0.001), ด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการ (P-value=0.016), ด้านการจัดการสุขภาพตนเอง (P-value&lt;0.001), ด้านการรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศ (P-value&lt;0.001) ,ด้านการตัดสินใจ(P-value&lt;0.001)&nbsp; ตามลำดับ</p> พรหมภัณท์ สุขโชติ Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-04 2025-07-04 6 2 1 12 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการคงอยู่ในองค์กรของบุคลากรสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4525 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการคงอยู่ในองค์กรของบุคลากรสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่างได้แก่บุคลากรสาธารณสุขที่มีระยะเวลาการทำงานไม่น้อยกว่า 1 ปี จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคลแรงจูงใจในการทำงาน และการคงอยู่ในองค์กร ใช้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคมีค่าความเชื่อมั่น 0.67-1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 69.4 มีอายุเฉลี่ย 37.82±10.0 ปี <br>มีแรงจูงใจในการทำงานอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 66.8 มีความคงอยู่ในงานอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 82.6 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการคงอยู่ในองค์กรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ สถานะทางอาชีพ (p&lt;0.001, β = 0.669) นโยบายและบริหาร (p&lt;0.001, β = 0.250) ความรับผิดชอบ (p&lt;0.001, β = 0.262) วิธีปกครองบังคับบัญชา (p&lt;0.001, β = 0.212) เงินเดือน (p&lt;0.001, β = 0.104) และสภาพการทำงาน (p = 0.008, β = 0.103) โดยสามารถร่วมกันทำนายการคงอยู่ในองค์กรของบุคลากรได้ร้อยละ 86.6</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การศึกษานี้ควรนำไปใช้ในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การบริหารทรัพยากรบุคคลที่ครอบคลุม <br>ทั้ง 6 ปัจจัยเพื่อลดอัตราการลาออกและเสริมสร้างความผูกพันต่อองค์กร</p> สุนิษา ชัยมงคล Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-04 2025-07-04 6 2 13 34 ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดภูเก็ต https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4526 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยแบบภาคตัดขวางเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์และมีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กลุ่มประชากรคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดภูเก็ต ปีงบประมาณ 2567 จำนวน 2,442 คน โดยใช้สูตรการคำนวณกลุ่มตัวอย่างที่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอนของ Daniel ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 170 ราย ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลคือ แบบสอบถามประกอบด้วย 5 ส่วน ได้แก่ คุณลักษณะส่วนบุคคล สภาวะสุขภาพ ความรู้ความเข้าใจการปฏิบัติตัว ความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ การตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และนำไปทดลองใช้เพื่อวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาคและคูเดอร์ริชาร์ดสัน 20 เท่ากับ 0.939 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพของ อสม. มีค่าเฉลี่ยในระดับสูง (95.88%) และพฤติกรรมสุขภาพของ อสม. มีค่าเฉลี่ยในระดับสูง (91.76%) ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดภูเก็ต&nbsp; อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.476, P-value&lt;0.001) ปัจจัยที่สามารถทำนายพฤติกรรมสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดภูเก็ตประกอบด้วย การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ (P-value&lt;0.001) การจัดการตนเองให้มีความปลอดภัย (P-value=0.001) การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง (P-value=0.020) การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ (0.042) การสื่อสารเพิ่มความเชี่ยวชาญ (0.046) ตามลำดับ สามารถทำนายได้ร้อยละ 29.9 (R<sup>2 </sup>=0.299)</p> ธีราพร โสดาบรรลุ Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-04 2025-07-04 6 2 35 48 ประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม ของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานในโรงพยาบาลศรีนคร จังหวัดสุโขทัย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4531 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยแบบกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ<br>ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานในโรงพยาบาลศรีนคร จังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่าง <br>คือ ประชาชนกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไป ที่มีระดับน้ำตาลในเลือด &gt;100 mg/dl จำนวน 64 คน แบ่งเป็นกลุ่ม<br>ที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ จำนวน 32 คน และกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ<br>ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม 8 กิจกรรม ใช้เวลา 8 สัปดาห์ ภายใต้กรอบแนวคิดของ Kemmis and McTaggart เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบวัดความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน แบบประเมินพฤติกรรมป้องกันโรคเบาหวาน และแบบประเมินความพึงพอใจต่อโปรแกรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Independent t-test และ Paired t-test</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังจากได้รับโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้วยกระบวนการ<br>มีส่วนร่วม กลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้เรื่องโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นจาก 12.84±2.31 เป็น 17.25±1.68 คะแนน พฤติกรรมป้องกันโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นจาก 62.34±8.72 เป็น 81.56±6.43 คะแนน และระดับน้ำตาลในเลือดลดลงจาก 115.47±9.23 เป็น 98.84±7.56 mg/dl ดีกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 กลุ่มทดลองมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมในระดับมาก (4.40±0.60 คะแนน) ทั้งนี้ ควรมีการขยายผลโปรแกรมไปยังหน่วยบริการสาธารณสุขอื่น ๆ พร้อมทั้งพัฒนาระบบติดตามกลุ่มเสี่ยงในระยะยาวโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้การดูแลป้องกันโรคเบาหวานมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> อนันต์ กมลน้อย Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 6 2 49 71 ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติตามบทบาทการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ของอาสาสมัครสาธารณสุข ในพื้นที่ระบาดซ้ำซาก ตำบลบึงพระ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4535 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยแบบภาคตัดขวางเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์และมีผลต่อการปฏิบัติตามบทบาทการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขในพื้นที่ระบาดซ้ำซาก ตำบลบึงพระ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มประชากรคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตรับผิดชอบตำบลบึงพระ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ปีงบประมาณ 2567 จำนวน 214 คน โดยใช้สูตรการคำนวณกลุ่มตัวอย่างที่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอนของ Daniel ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 160 ราย ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลคือ แบบสอบถามประกอบด้วย 6 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 คุณลักษณะส่วนบุคคลของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ส่วนที่ 2 ความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออก ส่วนที่ 3 การรับรู้ด้านสุขภาพ ส่วนที่ 4 ด้านทรัพยากรการป้องกันโรคไข้เลือดออก ส่วนที่ 5 แรงสนับสนุนทางสังคม ส่วนที่ 6 การปฏิบัติตามบทบาทอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก การตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และนำไปทดลองใช้เพื่อวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาคและคูเดอร์ริชาร์ดสัน 20 เท่ากับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออกมีค่าเฉลี่ยในระดับสูง (49.38%) การรับรู้ด้านสุขภาพมีค่าเฉลี่ยในระดับสูง (84.38%) ทรัพยากรการป้องกันโรคไข้เลือดออกมีค่าเฉลี่ยในระดับสูง (89.38%) แรงสนับสนุนทางสังคมมีค่าเฉลี่ยในระดับสูง (85.62%) การปฏิบัติตามบทบาทอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกมีค่าเฉลี่ยในระดับสูง (90.62%) ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติตามบทบาทการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขในพื้นที่ระบาดซ้ำซาก ตำบลบึงพระ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ได้แก่ ความรู้โรคไข้เลือดออก (r=0.196, P-value=0.016) การรับรู้ด้าน</p> <p>สุขภาพ (r=0.334, P-value&lt;0.001) ทรัพยากรการป้องกันโรคไข้เลือดออก (r=0.585, P-value&lt;0.001) แรงสนับสนุนทางสังคม (r=0.559, P-value&lt;0.001) ตามลำดับ ปัจจัยที่สามารถทำนายการปฏิบัติตามบทบาทอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ระบาดซ้ำซาก ตำบลบึงพระ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ประกอบด้วย การได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข (P-value&lt;0.001) การเข้าร่วมรณรงค์ป้องกันโรคไข้เลือดออก (P-value&lt;0.001) การรับรู้ประโยชน์การป้องกันโรคไข้เลือดออก (P-value=0.020) ตามลำดับ สามารถทำนายได้ร้อยละ 39.5 (R<sup>2 </sup>=0.395)</p> จารุณีย์ เงินแจ้ง Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 6 2 72 95 ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุเขตอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4543 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>วัยสูงอายุเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายไปในทางที่เสื่อม ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์และทำนายปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุเขตอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ประชากรคือ ผู้สูงอายุที่มีรายชื่อตามทะเบียนบ้านเขตอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ปีพ.ศ.2566 จำนวน 7,344 คน โดยใช้สูตรการคำนวณกลุ่มตัวอย่างที่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอนของ Daniel ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 385 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลคือ แบบสัมภาษณ์ ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ คุณลักษณะส่วนบุคคล ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ทดสอบคุณภาพของแบบสัมภาษณ์โดยแบบสัมภาษณ์ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน และนำไปทดลองใช้เพื่อวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสัมภาษณ์ เท่ากับ 0.867 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง ( =2.49, S.D.=0.511) และพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ( =2.03, S.D.=0.453) ตามลำดับ ปัจจัยที่พบความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุเขตอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ ระดับการศึกษา ผู้ที่ทำหน้าที่หลักในการดูแล การมีโรคประจำตัว การเข้าถึงข้อมูลบริการสุขภาพ ความรู้ความเข้าใจ การสื่อสารเพิ่มความเชี่ยวชาญ การจัดการตนเองให้มีความปลอดภัย การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง ตามลำดับ ปัจจัยที่สามารถทำนายพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุเขตอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ประกอบด้วย การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง (P-value&lt;0.001) การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ (P-value=0.001) ความรู้ความเข้าใจ (P-value=0.004) ระดับการศึกษา (P-value=0.004) ตามลำดับ โดยมีความแม่นยำในการพยากรณ์ ร้อยละ 14.4 (R<sup>2 </sup>=0.144) ดังนั้น บุคลากรสาธารณสุขและชมรมผู้สูงอายุควรมีการจัดกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่จะช่วยให้มีภาวะสุขภาพที่ดีขึ้น</p> นอร์ไอนี ยูโซ๊ะ Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 6 2 96 109 ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการควบคุมระดับความดันโลหิต ของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง คลินิกโรคความดันโลหิตสูง แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลเชียงแสน จังหวัดเชียงราย https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4544 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>การวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการควบคุมระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 374 คน ทำการสุ่มตัวอย่างโดยวิธีสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ คุณลักษณะส่วนบุคคล ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการควบคุมระดับความดันโลหิต ทดสอบคุณภาพของแบบสอบถามโดยแบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จํานวน 3 ท่าน และนําไปทดลองใช้เพื่อวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคเท่ากับ 0.902 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการควบคุมระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.443, P-value&lt;0.001) ดังนั้น ผู้วิจัยจะนําตัวแปรจากผลการวิจัยนี้มาใช้ในการออกแบบการส่งเสริมพฤติกรรมการควบคุมระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในคลินิกโรคความดันโลหิตสูง แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลเชียงแสน จังหวัดเชียงราย</p> เพ็ชรี มานะศักดิ์ Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 6 2 110 121 ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวังแดง อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/scintc/article/view/4545 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>การวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์และอำนาจการทำนายของปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ประชากรคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการในคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้างวังแดง อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ ปีงบประมาณ 2567 จำนวน 138 คน โดยใช้สูตรการคำนวณกลุ่มตัวอย่างที่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอนของ Daniel ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 113 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลคือ แบบสอบถาม ประกอบด้วย 6 ส่วน ได้แก่ คุณลักษณะส่วนบุคคล ความรู้ ทัศนคติ การรับรู้ด้านสุขภาพ แรงสนับสนุนทางสังคมและพฤติกรรมการป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้า ทดสอบคุณภาพของแบบสอบถามโดยแบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน และนำไปทดลองใช้เพื่อวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสัมภาษณ์ เท่ากับ 0.944 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เขตตำบลวังแดง อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ประกอบด้วย ทัศนคติของผู้ป่วยโรคเบาหวาน (r=0.373, P-value&lt;0.001) การรับรู้ด้านสุขภาพ (r=0.500, P-value&lt;0.001) แรงสนับสนุนทางสังคม (r=0.484 P-value&lt;0.001) ตามลำดับ ปัจจัยที่สามารถทำนายพฤติกรรมการป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เขตตำบลวังแดง อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ ประกอบด้วย การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันภาวะซึมเศร้า (P-value&lt;0.001) การเข้าถึงสถานบริการสุขภาพและการส่งต่อ (P-value=0.001) การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า (P-value&lt;0.001) ทัศนคติการป้องกันโรคเบาหวาน (P-value=0.006) ตามลำดับ โดยมีความแม่นยำในการพยากรณ์ ร้อยละ 45.8 (R<sup>2 </sup>=0.458)</p> ภควรรณ ภัทร์วรกมล Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 6 2 122 136