วารสารวิชาการโรงพยาบาลสมุทรปราการ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/smpkhj <p>วารสารวิชาการโรงพยาบาลสมุทรปราการ</p> <p>กำหนดออก : 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : วารสารมีนโยบายพัฒนาคุณภาพและเผยแพร่ผลงานวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุขในประเทศไทย</p> <p>ISSN 2985-0711 (พิมพ์)</p> <p>ISSN 2985-072X (ออนไลน์)</p> en-US smpkhosj@gmail.com (Kanlaya Teerawattananon) smpkhosj@gmail.com (Nettip Charoensuk ) Mon, 30 Jun 2025 21:41:01 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมกับภาวะกรดคีโตนในเลือดจากเบาหวาน: กรณีศึกษา https://he03.tci-thaijo.org/index.php/smpkhj/article/view/3828 <p>ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (sepsis) เป็นภาวะวิกฤตและฉุกเฉินที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญด้านสาธารณสุขในประเทศไทย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินโรค การวินิจฉัยทางการพยาบาล การวางแผนปฏิบัติการพยาบาล และผลลัพธ์ทางการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ร่วมกับภาวะกรดคีโตนในเลือดจากเบาหวาน (diabetic ketoacidosis: DKA) ภายใต้บริบทของพยาบาลโรงพยาบาลระดับชุมชน ทำศึกษาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 ระยะเวลาที่รับไว้ในการดูแลรักษาทั้งหมด 4 ชั่วโมง ให้การดูแลตั้งแต่การประเมินแรกรับ การพยาบาลในขณะรับไว้ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล และการส่งต่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศูนย์ ครอบคลุมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด และภาวะกรดคีโตนในเลือดจากเบาหวาน ผู้ป่วยได้รับการส่งต่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศูนย์อย่างรวดเร็ว และปลอดภัย ซึ่งสะท้อนคุณภาพการให้บริการด้านสุขภาพที่ดี ภายใต้บริบทของโรงพยาบาลชุมชน</p> จงรักษ์ พรายศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการโรงพยาบาลสมุทรปราการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/smpkhj/article/view/3828 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของอัลตร้าซาวด์ในการลดระบมหลังฝังเข็มแบบ dry needling ในผู้ป่วยกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อพังผืดที่กล้ามเนื้อทราพีเซียส https://he03.tci-thaijo.org/index.php/smpkhj/article/view/4066 <p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มและควบคุมแบบปกปิดสองทาง (double-blind randomized controlled trial) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการรักษาด้วยคลื่นอัลตร้าซาวด์ในการลดอาการปวดระบมหลังฝังเข็มแบบ dry needling ในผู้ป่วยที่มีภาวะปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืดที่กล้ามเนื้อทราพีเซียส จำนวน 24 คน แบ่งอย่างสุ่มเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 12 คน ทั้งสองกลุ่มได้รับการฝังเข็มหลังจากนั้น กลุ่มทดลองจะได้รับการรักษาด้วยอัลตร้าซาวด์แบบpulse mode 20% duty cycle 1 Hz เป็นเวลา 10 นาที และกลุ่มควบคุมจะได้รับการรักษาด้วยอัลตร้าซาวด์หลอก ทั้งสองกลุ่มได้รับ การประคบเย็นแนะนำการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และประเมินผลการรักษาของผู้เข้าร่วมวิจัยก่อนและหลังการรักษา 10 นาที 24 ชั่วโมง และ 1 สัปดาห์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งสองกลุ่มมีข้อมูลพื้นฐานไม่แตกต่างกันทางสถิติ อาการปวดระบมหลังฝังเข็มในกลุ่มทดลอง มีคะแนนปวดเฉลี่ยลดลงเมื่อเทียบกับหลังฝังเข็มทันทีที่ 10 นาที และ 24 ชั่วโมง คือ 3.75 ± 1.22 และ 6.75 ± 1.60 คะแนนตามลำดับ อาการปวดระบมหลังฝังเข็มในกลุ่มควบคุมมีคะแนนปวดเฉลี่ยลดลงที่ 10 นาที และ 24 ชั่วโมง คือ 0.33 ± 1.30 และ 3.67 ± 3.50 คะแนนตามลำดับ ระยะเวลาเฉลี่ยที่หายจากอาการระบมในกลุ่มทดลองคือ 9.33 ชั่วโมง และกลุ่มควบคุมคือ 28.5 ชั่วโมง เมื่อศึกษาเปรียบเทียบระหว่างสองกลุ่มพบว่า ในกลุ่มทดลองอาการปวดระบม และระยะเวลาที่มีอาการปวดระบมหลังฝังเข็มลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) จากการศึกษาเปรียบเทียบภายในกลุ่มก่อนและหลังทำการรักษา 1 สัปดาห์ ผลของอาการปวดบ่า แรงกดบริเวณที่ปวด และแบบประเมินดัชนีวัดความบกพร่องความสามารถของคอฉบับภาษาไทย (Thai-NDI) พบว่าดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (p &lt; 0.05) แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบระหว่างสองกลุ่ม</p> <p>การศึกษานี้พบว่าการรักษาด้วยอัลตร้าซาวด์หลังฝังเข็มแบบ dry needling สามารถลดอาการปวดระบมและลดระยะเวลาในการหายจากอาการระบมหลังฝังเข็ม ในผู้ป่วยกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืดที่กล้ามเนื้อทราพีเซียส</p> สุภาณี ภูริสวัสดิ์พงศ์, สุภาพิชย์ บุญสถิตอนันต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการโรงพยาบาลสมุทรปราการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/smpkhj/article/view/4066 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของการใช้แนวทางปฏิบัติการจัดการความปวดเฉียบพลันหลังผ่าตัดในห้องพักฟื้น กลุ่มงานวิสัญญี โรงพยาบาลอินทร์บุรี https://he03.tci-thaijo.org/index.php/smpkhj/article/view/4204 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความปวด ความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างหลังการใช้แนวทางปฏิบัติการจัดการความปวดเฉียบพลันหลังผ่าตัดในห้องพักฟื้นที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่เข้ารับการดูแลในห้องพักฟื้น จำนวน 60 ราย แบ่งเป็น กลุ่มทดลอง คือ กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการพยาบาลตามแนวทางปฏิบัติ และกลุ่มควบคุม คือ กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการพยาบาลเพื่อจัดการความปวดตามปกติ เครื่องมือดำเนินการวิจัย ได้แก่ แนวทางปฏิบัติการจัดการความปวดเฉียบพลันหลังผ่าตัดในห้องพักฟื้น ที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.92 โดยมีวิสัญญีพยาบาล 7 คน เป็นผู้ใช้แนวทางปฏิบัติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความปวด แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ป่วย ต่อการจัดการความปวดหลังผ่าตัด ที่มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.98 และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้แนวทางปฏิบัติ ที่มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.97 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติ independent t-test และ Mann-Whitney U test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความปวดต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (M = 2.73, 3.83 SD = 2.64, 1.11 ตามลำดับ; p &lt; 0.05) และมีค่าเฉลี่ยคะแนนความพึงพอใจภายหลังได้รับการจัดการความปวดสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (กลุ่มทดลอง: M = 3.92 SD = 0.34 กลุ่มควบคุม: M = 3.13 SD = 1.18; p &lt; 0.01) วิสัญญีพยาบาลมีความพึงพอใจต่อการใช้แนวทางปฏิบัติภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.83, SD = 0.38)</p> <p>สรุปได้ว่าแนวทางปฏิบัติการจัดการความปวดเฉียบพลันหลังผ่าตัดในห้องพักฟื้นที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ดังนั้นควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการจัดการความปวดที่เหมาะสม</p> ชมพูนุท เบ็ญจรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการโรงพยาบาลสมุทรปราการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/smpkhj/article/view/4204 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความชุก ลักษณะโรคทางคลินิก และปัจจัยเสี่ยง ต่อการเกิดภาวะเลือดออกจากแผลใน กระเพาะอาหารและดูโอดีนัม ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเลือดออกซ้ำ ในโรงพยาบาลสมุทรปราการ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/smpkhj/article/view/4298 <p>ภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น เป็นภาวะฉุกเฉินของระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย มีอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหารและดูโอดีนัม ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเลือดออกซ้ำ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยยังมีข้อมูลเรื่องปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหารและดูโอดีนัม ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเลือดออกซ้ำค่อนข้างน้อย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุก ลักษณะทางคลินิก และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดภาวะดังกล่าวในโรงพยาบาลสมุทรปราการ โดยเป็นการศึกษาแบบย้อนหลังในผู้ป่วย 328 ราย ที่เข้ารับการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้นระหว่างปี พ.ศ. 2562 – 2565 พบว่าความชุกของภาวะเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหารและดูโอดีนัม ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเลือดออกซ้ำ คือ ร้อยละ 30.79 ของผู้ป่วยมีภาวะเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหารและดูโอดีนัม</p> <p>จากการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกส์แบบพหุปัจจัยพบว่า ปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับภาวะเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหารและดูโอดีนัมที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเลือดออก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ ภาวะไตวายเฉียบพลัน (odds ratio [OR] 4.31) อัตราส่วน BUN/Cr &gt; 30 (OR 2.28) ภาวะอัลบูมินต่ำ &lt; 3 g/dL (OR 2.23) ภาวะช็อก (OR 2.05) และอาการหน้ามืดเป็นลม (OR 1.95) ซึ่งจากข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้พัฒนาแนวทางการประเมินภาวะเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหารและดูโอดีนัม ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเลือดออกซ้ำ ทำให้สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและเหมาะสม</p> สุวิกรม ฉัตรธรรมนาท ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการโรงพยาบาลสมุทรปราการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/smpkhj/article/view/4298 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการปัญหาด้านการโฆษณาของคลินิกเวชกรรมที่ให้บริการ ด้านเสริมความงาม ในจังหวัดสมุทรปราการ https://he03.tci-thaijo.org/index.php/smpkhj/article/view/4234 <p>การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) โดยใช้รูปแบบวัดก่อนและหลังในกลุ่มเดียว (one-group pretest–posttest design) นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา และประเมินผลรูปแบบการจัดการปัญหาการโฆษณาของคลินิกเวชกรรมที่ให้บริการด้านเสริมความงามในจังหวัดสมุทรปราการ กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ได้แก่ คลินิกที่เคยโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุมัติ จำนวน 36 แห่ง ซึ่งสมัครใจเข้าร่วมกิจกรรม</p> <p>รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 6 กิจกรรม ได้แก่ 1) การอบรมเกี่ยวกับกฎหมายโฆษณา 2) การฝึกประเมินเนื้อหาโฆษณา 3) การพัฒนาช่องทางออนไลน์และเว็บไซต์ 4) การให้คำปรึกษาเชิงรุกและเชิงรับ 5) การลงพื้นที่ติดตามผลพร้อมเน้นย้ำบทลงโทษทางกฎหมาย และ 6) การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบทดสอบความรู้ (ค่าความเชื่อมั่น KR-20 = 0.72) และแบบสอบถามทัศนคติ (ค่าความเชื่อมั่น Cronbach’s alpha = 0.75) ซึ่งผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน (I-CVI = 1.00 ทุกข้อ) วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา และใช้สถิติ paired t-test เปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการดำเนินกิจกรรม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (จาก 5.92 ± 0.46 เป็น 8.03 ± 0.33; p &lt; 0.05) 2) คะแนนทัศนคติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (จาก 3.51 ± 1.09 เป็น 4.08 ± 0.81; p &lt; 0.05) 3) อัตราการยื่นขอโฆษณาเพิ่มจากร้อยละ 0 เป็นร้อยละ 100 (p &lt; 0.001) และ 4) โฆษณาที่เผยแพร่ผ่าน Facebook มีความเหมาะสมตามเกณฑ์</p> <p>สรุปผลว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ เหมาะสม และสามารถประยุกต์ใช้ได้จริงในคลินิกเวชกรรมเอกชน ควรขยายผลไปยังพื้นที่อื่น โดยศึกษาความยั่งยืนของพฤติกรรม และเปรียบเทียบรูปแบบการอบรม เพื่อยกระดับประสิทธิภาพระบบบริการสุขภาพ</p> อัจฉรา ตันเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการโรงพยาบาลสมุทรปราการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he03.tci-thaijo.org/index.php/smpkhj/article/view/4234 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700