การพัฒนาโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะตั้งครรภ์เสี่ยงสูง โรงพยาบาลภูเรือ จังหวัดเลย
Main Article Content
บทคัดย่อ
จากสถานการณ์การคลอดฉุกเฉินของหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงสูงที่โรงพยาบาลภูเรือ พบปัญหาทารกขาดออกซิเจนเนื่องจากคลอดก่อนกำหนด โดยสาเหตุหลักมาจากการเข้าถึงบริการสุขภาพล่าช้าเนื่องจากหญิงตั้งครรภ์ขาดความรู้เรื่องอาการเตือนที่ต้องรีบพบแพทย์
เพื่อพัฒนาและศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะตั้งครรภ์เสี่ยงสูง โดยเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้และพฤติกรรมสุขภาพก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม
การวิจัยและพัฒนา (R&D) แบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 การพัฒนาโปรแกรมโดยทีมสหวิชาชีพ ระยะที่ 2 การทดสอบประสิทธิผลแบบกึ่งทดลอง (quasi-experimental design) กับหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงสูง 45 คน ที่เข้ารับบริการฝากครรภ์ โรงพยาบาลภูเรือ ระหว่าง 15 พฤศจิกายน 2566 ถึง 31 มีนาคม 2567 โปรแกรมแบ่งเป็น
2 แผน ตามอายุครรภ์ เก็บข้อมูลด้วยแบบประเมินความรู้และทักษะการดูแลตนเองที่ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรง (IOC = 1.00) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและ paired t-test
หลังเข้าร่วมโปรแกรม หญิงตั้งครรภ์เสี่ยงสูงมีความรู้และพฤติกรรมสุขภาพดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกด้าน คะแนนความรู้เพิ่มขึ้นจาก 13.26 (SD=3.38) เป็น 15.67 (SD=1.96), p<0.001 พฤติกรรมสุขภาพทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ โภชนาการ กิจกรรมทางกาย ความรับผิดชอบต่อสุขภาพ สัมพันธภาพระหว่างบุคคล การจัดการความเครียด และการพัฒนาทางจิตวิญญาณ มีการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05 ถึง p<0.001) คะแนนรวมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 30.83 (SD=4.18) เป็น 32.26 (SD=2.90), p=0.004
โปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพมีประสิทธิผลในการเพิ่มความรู้และปรับปรุงพฤติกรรมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงสูง ควรนำไปบูรณาการในบริการฝากครรภ์ปกติเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและปรับปรุงผลลัพธ์ทางสุขภาพของมารดาและทารก
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสารเอกสารอ้างอิง
กระทรวงสาธารณสุข. (2565). ระบบสารสนเทศส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม รายงานอนามัยแม่และเด็ก. https://dashboard.anamai.moph.go.th/
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2565). คู่มือฝากครรภ์สำหรับบุคลากรสาธารณสุข. โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.
กาญจนา ศรีสวัสดิ์, พรรณี ศรีมหาชัย, และสิริลักษณ์ พูลสวัสดิ์. (2561). พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ เปรียบเทียบพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ในแต่ละไตรมาส. วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์, 38(2), 95-109.
ดวงหทัย เกตุทอง. (2562). การใช้โปรแกรมเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่หญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการที่คลินิกพัฒนารูปแบบและนวัตกรรมบริการสุขภาพสตรี. https://mwi.anamai.moph.go.th/th/news-anamai/206849
ศูนย์อนามัยที่ 6 ขอนแก่น. (2565). คู่มือการดูแลผู้ตั้งครรภ์แนวใหม่ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก.
โรงพิมพ์บริษัทเพ็ญพริ้นติ้งจำกัด.
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลย. (2565). เอกสารการตรวจราชการและนิเทศงาน กรณีปกติ กระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 8 รอบที่ 1 ปีงบประมาณ 2565. https://r8way.moph.go.th/
สิวาพร พานเมือง, วิไลวรรณ ไทยอุปถัมภ์, และปราณี โชคดีวิริยะกุล. (2565). การพัฒนาโปรแกรมการดูแลตนเองของหญิงที่มีภาวะเบาหวาน. วารสารวิจัยและพัฒนาด้านสุขภาพ, 9(1), 130-144.
อ้อมใจ พลกายา. (2562). การพัฒนาโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองโดยใช้การมีส่วนร่วมของครอบครัวในหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่น. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข, 25(3), 55-67.
Jannah, M., Iswanto, I., & Pratiwi, R. D. (2022). Efforts to increase pregnancy woman's knowledge about high-risk pregnancy with health education. Pharmacology, Medical Reports, Orthopedic, and Illness Details (Comorbid), 1(4). https://doi.org/10.55047/comorbid
Pender, N. J., Murdaugh, C. L., & Parsons, M. A. (2015). Health promotion in nursing practice (7th ed.). Pearson.
Sphurti, C., & Shrishail, M. (2022). Pregnancy outcome among high-risk pregnant women in the rural area of Belagavi. Journal of Family Medicine and Primary Care, 11(8), 4440-4446. https://doi.org/10.4103/jfmpc.jfmpc_10_22
World Health Organization. (2019). WHO recommendations on antenatal care for a positive pregnancy experience. World Health Organization.