ผลของการใช้กระบวนการจิตตปัญญาศึกษาต่อความสุขของบุคลากร โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จังหวัดเลย

Main Article Content

อนุชิต อินปลัด
ศิวาพร พรมมาวัน

บทคัดย่อ

การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้กระบวนการจิตตปัญญาศึกษาต่อความสุขของบุคลากรในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จังหวัดเลย โดยบูรณาการหลักการพื้นฐาน    7 ประการของจิตตปัญญาศึกษาร่วมกับบริบททางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชน กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง ประกอบด้วย ทีมนำและหัวหน้างาน 21 คน ดำเนินการระหว่าง พฤศจิกายน 2566 - ตุลาคม 2567 เก็บข้อมูลโดยใช้แบบวัดความสุขของบุคลากร (Happinometer) ก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรม ร่วมกับการสังเกตและสะท้อนคิดตามกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และช่วงความเชื่อมั่น และสถิติเชิงอนุมาณใช้ Paired t test


ผลการศึกษา พบว่า หลังเข้าร่วมกระบวนการจิตตปัญญาศึกษา ค่าเฉลี่ยความสุขของบุคลากรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจาก 3.32 เป็น 4.02 (t = -8.453, df = 20, p < .001) โดยมีการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญในด้านการดูแลจิตใจตนเอง การรับมือความเครียด ความสุขในชีวิตงาน ความรู้สึกมีคุณค่าในงาน ความมั่นคงทางอารมณ์ และแรงบันดาลใจในงาน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าความสุขในการทำงานเกิดจากปัจจัยภายในตัวบุคคลและปัจจัยแวดล้อมในองค์กรที่เอื้อต่อการปรับตัวและรักษาสมดุล การพัฒนากระบวนการจิตตปัญญาศึกษาที่สอดคล้องกับบริบทขององค์กร จึงมีศักยภาพในการส่งเสริมความสุขและประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรโรงพยาบาลชุมชนได้อย่างมีนัยสำคัญ

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
อินปลัด อ., & พรมมาวัน ศ. . (2025). ผลของการใช้กระบวนการจิตตปัญญาศึกษาต่อความสุขของบุคลากร โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จังหวัดเลย. วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลย, 2(2), 77–88. สืบค้น จาก https://he03.tci-thaijo.org/index.php/JOPOLO/article/view/4592
ประเภทบทความ
Research Article

เอกสารอ้างอิง

ขวัญเมือง แก้วดำเกิง. (2557). วิถีแห่งการสร้างสุขและปัจจัยพัฒนาองค์กรสร้างสุข. นนทบุรี: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ.

คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ. (2561). ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ.

จันทภา พงษ์สาทร. (2563). การประเมินความสุขบุคลากรด้วย Happinometer. วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา, 27(2), 103-111.

ธนา นิลชัยโกวิทย์, และ อดิศร จันทรสุข. (2552). ศิลปะการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง: คู่มือกระบวนการจิตตปัญญาศึกษา. เอส.พี.เอ็น.การพิมพ์.

ประภาภรณ์ เพชรมาก, และ อดิศักดิ์ บัวศรียอด. (2566). ความเครียดและความต้องการสนับสนุนของบุคลากรสาธารณสุขในสถานการณ์โควิด-19. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์, 14(1), 1-12.

วงศ์ประสิทธิ กล้าหาญ. (2558). การบริหารทรัพยากรมนุษย์. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

วรญา สาราณิยกิจ. (2565). [สารนิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. วิทยาลัยการจัดการ, มหาวิทยาลัยมหิดล.

วาสนา จึงตระกูล. (2562). การประเมินความสุขของบุคลากร โรงพยาบาลสงขลา. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา, 2(2), 107-132

ศิรประภา พฤทธิกุล. (2554). การพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานของนิสิตสาขาวิชาการศึกษา.

ศิรินันท์ กิตติสุขสถิต และคณะ. (2555). คู่มือวัดความสุขด้วยตนเอง. นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล.

สุปรียส์ กาญจนพิศศาล. (2564). กระบวนการเรียนรู้แนวจิตตปัญญาศึกษาที่เอื้อต่อการสร้างความสุขในระดับองค์กรของมหาวิทยาลัยมหิดลวิทยาเขตนครสวรรค์. Veridian E-Journal, Silpakorn University (Humanities, Social Sciences and Arts), 14(2), 676-694.

สุภามาศ ปาลศรี, และ ประยุทธ ไทยธานี. (2566). ผลของโปรแกรมจิตตปัญญาศึกษาที่มีต่อการรับรู้ความสามารถแห่งตนของครูโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์, 10(2), 83-97.

อดิศร เนาวนนท์, และ สุภาวดี วิสุวรรณ. (2565). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมความสุขในการเรียนโดยใช้แนวคิดจิตตปัญญาศึกษาและการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง. วารสารการวิจัยกาสะลองคำ, 16(1), 109-120.

Johnson, M., & Williams, K. (2022). Mindfulness-based interventions in healthcare organizations: A systematic review. Journal of Healthcare Management, 67(4), 234-249.

Kemmis, S., & McTaggart, R. (Eds.). (1988). The action research planner (3rd ed.). Deakin University Press.

Smith, J. R., Brown, A., & Davis, C. (2023). The impact of contemplative practices on healthcare workers' well-being: A meta-analysis. International Journal of Workplace Health Management, 16(2), 145-163.