ผลของโปรแกรมการพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเองต่อพฤติกรรม การดูแลตนเองของเด็กวัยเรียนโรคธาลัสซีเมีย หอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลเพชรบูรณ์
คำสำคัญ:
โปรแกรมพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเอง, พฤติกรรมการดูแลตนเอง, โรคธาลัสซีเมีย, ฮีโมโกลบินบทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มทดสอบก่อนและหลังครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของเด็กวัยเรียนโรคธาลัสซีเมีย กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กวัยเรียนโรคธาลัสซีเมียที่เข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ จำนวน 60 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลองได้รับการใช้โปรแกรมพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเองจำนวน 30 คน และกลุ่มควบคุมได้รับการสอน
ตามปกติจำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเอง แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเอง และแบบประเมินความพึงพอใจ ดำเนินการวิจัยในเดือนธันวาคม 2565 ถึง เมษายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน ได้แก่ chi-square test, independent t-test และ paired t test
ผลการวิจัยพบว่า เด็กวัยเรียนโรคธาลัสซีเมียที่ได้รับการใช้โปรแกรมการพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเองหลังการทดลองสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (63.0, 46.0,p<0.001) และค่าเฉลี่ย hemoglobin เพิ่มขึ้นสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นกัน (13.0, 12.7 g/dl,p=0.030) เมื่อเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองของเด็กวัยเรียนโรคธาลัสซีเมียระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม พบว่าหลังการทดลองกลุ่มทดลองที่ใช้โปรแกรมการพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเอง มีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเอง (63.0, 52.4, p<0.001) และระดับ hemoglobin สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(13.0, 12.7 g/dl, p=0.030) และความพึงพอใจต่อการใช้โปรแกรมการพัฒนาความสามารถในการดูแลของเด็กวัยเรียนโรคธาลัสซีเมียอยู่ในระดับมากค่าเฉลี่ย 3.91 โดยสรุปการใช้โปรแกรมการพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเองมีประสิทธิผลในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ดีและส่งผลต่อการเพิ่มระดับ hemoglobin ของเด็กโรคธาลัสซีเมีย ดังนั้น จึงควรมีการจัดโปรแกรมในการดูแลตนเองให้กับผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียมารับการักษาที่โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง

Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.