HEALTH EFFECT OF FORMALDEHYDE AND COTTON DUST: CROSS-SECTIONAL STUDY IN TEXTILE WORKERS
Karn Tattanond
Abstract
การศึกษานี้เป็นการศึกษาภาคตัดขวางในโรงงานผลิตเครื่องแต่งกายแห่งหนึ่ง เพื่อศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพของฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) และฝุ่นฝ้าย (Cotton Dust) ในกลุ่มพนักงานจำนวน 308 คน มีลักษณะงานแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ ตัด เย็บ ปัก และคลังเก็บผ้า โดยการเก็บตัวอย่างอากาศแบบบุคคลเพื่อวิเคราะห์หาฟอร์มาลดีไฮด์และแบบพื้นที่เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณฝุ่นฝ้ายในอากาศด้วย Vertical Elutriator รวมทั้งตรวจวัดสมรรถภาพการทำงานของปอด โดยดูจากค่า FVC และFEV1และสัมภาษณ์พนักงานที่เข้าร่วมโครงการทุกคนเพื่อรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล พฤติกรรมสุขภาพประวัติการทำงาน และสถานะทางสุขภาพ โดยเฉพาะอาการด้านระบบทางเดินหายใจ และการระคายเคือง ข้อมูลทั้งหมดถูกวิเคราะห์เพื่อหาความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างฟอร์มาลดีไฮด์ และฝุ่นฝ้ายกับสมรรถภาพปอดและอาการที่อาจเนื่องมาจากการรับสัมผัสสารทั้งสอง ด้วย Multiple Regression ผลการศึกษาพบว่าความเข้มข้นเฉลี่ยของฟอร์มาลดีไฮด์จากตัวอย่างอากาศทั้งหมด 45 ตัวอย่าง มีค่าต่ำกว่าที่เสนอแนะโดย National Institute for Occupational Safety and Health (0.016 ppm) และค่าความเข้มข้นของฝุ่นฝ้ายทั้งหมดต่ำกว่าค่าที่กำหนดโดย Occupational Safety and Health (0.2 mg/m3) และผลการทดสอบสมรรถภาพของปอด พบว่า 2.5% ของพนักงานทั้งหมดมีสมรรถภาพปอดผิดปกติ และจากการสัมภาษณ์พบว่า มีพนักงาน 7 คนจากผู้เข้ารับการทดสอบสมรรถภาพปอด 287 คน ที่มีผลการทดสอบสมรรถภาพปอดที่ผิดปกติ แต่เนื่องจากพนักงานที่มีความผิดปกติของสมรรถภาพปอดมีจำนวนที่น้อยมาก ปัญหาที่พบจึงอาจไม่ได้มาจากสภาพแวดล้อมภายในโรงงาน แต่มาจากการที่พนักงานมีอายุมาก และมีประสบการณ์การทำงานมานาน จึงอาจเป็นโรคที่พนักงานเคยเป็นมาก่อนซึ่งหายแล้วในปัจจุบัน แต่ความรุนแรงของโรคทำให้เกิดความผิดปกติของปอดอย่างถาวรอย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของฟอร์มาลดีไฮด์และฝุ่นฝ้ายกับค่า FVC หรือ FEV1
คำสำคัญ : ฟอร์มาลดีไฮด์ ฝุ่นฝ้าย การประเมินการรับสัมผัส การทดสอบสมรรถภาพปอด และพนักงานผลิตเครื่องแต่งกาย
Published
Issue
Section
License
Copyright (c) 2022 SAFETY & ENVIRONMENT REVIEW

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
This article is published under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License (CC BY-NC-ND 4.0), which allows others to share the article with proper attribution to the authors and prohibits commercial use or modification. For any other reuse or republication, permission from the journal and the authors is required.