RISK FACTORS ASSOCIATED WITH NECK SHOULDER BACK PAIN AMONG COMPUTER USERS IN TAMBON HEALTH PROMOTING HOSPITAL, NONGKHAI PROVINCE.
Sukawan Chutiwatpongstron
Abstract
ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มีรายงานอาการผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดขึ้นได้บ่อยในบริเวณคอ ไหล่ และหลังแต่ยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนในเจ้าหน้าที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อหาความชุกของการปวดคอ ไหล่ หลังและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการปวดคอ ไหล่ หลัง ของเจ้าหน้าที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดหนองคาย โดยศึกษาในกลุ่มตัวอย่างจำนวน 145 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและระบุปัจจัยเสี่ยงด้วยสถิติวิเคราะห์ตัวแปรเชิงพหุแบบถดถอย (Multiple logistic regression analysis) ที่ช่วงความเชื่อมั่น (95%CI)และระดับนัยสำคัญที่ p-value < 0.05 ผลการศึกษาพบว่าความชุกของการปวดคอ ไหล่ หลังที่ระดับความรุนแรงมากขึ้นไป เท่ากับร้อยละ 33.1 (95%CI = 25.35-40.85) และพบปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการปวดคอ ไหล่ หลัง คือ มีความเครียดสูงจากการทำงาน (ORadj = 7.05, 95% CI =2.64-18.86) จำนวนชั่วโมงรวมทั้งหมดต่อวันในการทำงานคอมพิวเตอร์มากกว่า 8 ชั่วโมง (ORadj = 5.30, 95% CI = 2.13-13.17) และมีลักษณะท่าทางการก้มคอขณะทำงานคอมพิวเตอร์ (ORadj = 2.80, 95% CI = 1.12-6.98) เมื่อเทียบกับการไม่สัมผัสปัจจัยดังกล่าว สรุปผลการศึกษานี้คือเจ้าหน้าที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมีปัญหาการปวดคอ ไหล่ หลัง ในระดับรุนแรงที่ควรได้รับโปรแกรมเฝ้าระวังโรคและจัดกิจกรรมลดปัจจัยเสี่ยงด้านความเครียดจากการทำงาน เช่นการลดชั่วโมงการทำงานกับคอมพิวเตอร์ และให้มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมสถานีงาน รวมทั้งการให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ด้านหลักการยศาสตร์ในงานคอมพิวเตอร์ เพื่อป้องกันปัญหาโรคเรื้อรังจากการปวดคอ ไหล่ หลังในพนักงานกลุ่มนี้ต่อไป
คำสำคัญ : ความชุก / การปวดคอ ไหล่ หลัง / ปัจจัยเสี่ยง / เจ้าหน้าที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์
Published
Issue
Section
License
Copyright (c) 2022 SAFETY & ENVIRONMENT REVIEW

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
This article is published under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License (CC BY-NC-ND 4.0), which allows others to share the article with proper attribution to the authors and prohibits commercial use or modification. For any other reuse or republication, permission from the journal and the authors is required.