COST AND EFFECTIVENESS OF NOISE CONTROL OF SPRING PIN REMOVAL-COMPARISON BETWEEN THE PIN PUNCH CAPPED WITH THERMOPLASTIC POLYURETHANE AND HYDRAULIC EQUIPMENT
ปิยะบุตร รัตนสกุลพร
Abstract
ผลการตรวจวัดเสียงเฉลี่ย 8 ชั่วโมง ในโรงซ่อมรถบรรทุกแห่งหนึ่งมีค่า 93.8 เดซิเบลเอ และสมรรถภาพการได้ยินของพนักงานมีแนวโน้มลดลง 3% เทียบกับปีที่ผ่านมา งานที่ทำให้เกิดเสียงดังสูงสุดคือ การถอดสลักแหนบ 95.6 – 141.5 เดซิเบลเอ อุปกรณ์ที่ใช้ในการถอดสลักแหนบคือ ค้อนปอนด์และแท่งเหล็ก (เครื่องมือ #1) การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาอุปกรณ์หรือเครื่องมือถอดสลักแหนบที่ทำให้เกิดเสียงดังต่ำกว่า 85 เดซิเบลเอและมีต้นทุนและประสิทธิผลสูงสุด โดยปรับปรุงและออกแบบเครื่องมือใหม่ คือ 1) ศึกษาหาวัสดุปิดครอบหัวแท่งเหล็กส่งแรงซึ่งทนแรงกระแทกและลดเสียง (เครื่องมือ #2) และ 2) ออกแบบเครื่องถอดสลักแหนบระบบไฮดรอลิกส์ (เครื่องมือ #3) ข้อมูลต้นทุนในการผลิตอุปกรณ์/เครื่องมือ ระยะเวลาที่ใช้ในการถอดสลักแหนบ, จำนวนครั้งของการตอกสลักแหนบ (เครื่องมือ #1 และ #2) และระดับเสียงในขณะถอดสลักแหนบ รวมทั้งความพึงพอใจในการใช้เครื่องมือทั้งสามชนิดของพนักงานในโรงซ่อมฯ 10 คน ถูกเก็บและวิเคราะห์ พบว่า สำหรับเครื่องมือ #2 วัสดุที่เหมาะสำหรับปิดครอบหัวเหล็กส่งแรงคือ ยางเทอร์โมพลาสติกโพลียูรีเทน หนา 15 มิลลิเมตร และเครื่องถอดสลักแหนบระบบไฮดรอลิกส์ใช้แรงขนาด 5 ตัน ระดับเสียงดังเฉลี่ยที่เกิดจากการใช้เครื่องมือ #3 และ #2 คือ 77.7 เดซิเบลเอ และ 88.1 เดซิเบลเอ ตามลำดับ ขณะที่เครื่องมือ #1 ทำให้เกิดเสียงดังเฉลี่ย 112.3 เดซิเบลเอ นั่นคือ มีเพียงเครื่องมือ #3 ที่ลดเสียงลงต่ำกว่า 85 เดซิเบลเอ อย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.001). และผลการวิเคราะห์ต้นทุน และประสิทธิผล และ ความพึงพอใจของการใช้เครื่องมือทั้ง 3 ชนิด พบว่า เครื่องมือ #3 มีต้นทุนและประสิทธิผลสูงที่สุด และพนักงานส่วนใหญ่พึงพอใจเครื่องมือ #3 จึงแนะนำเครื่องมือ #3 หากไม่มีปัญหาด้านทุนทรัพย์ หากเห็นว่าเครื่องมือ #3 ราคาแพงเกินไปอาจพิจารณาเลือกเครื่องมือ #2 ได้ เนื่องจากสามารถลดระดับเสียงลงได้ต่ำกว่า 90 dBA
คำสำคัญ : การลดเสียงดัง / สลักแหนบ / เทอร์โมพลาสติก โพลียูรีเทน / ไฮดรอลิกส์ / ต้นทุนและประสิทธิผล
Published
Issue
Section
License
Copyright (c) 2022 SAFETY & ENVIRONMENT REVIEW

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
This article is published under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License (CC BY-NC-ND 4.0), which allows others to share the article with proper attribution to the authors and prohibits commercial use or modification. For any other reuse or republication, permission from the journal and the authors is required.