การพยาบาลผู้ป่วยตั้งครรภ์นอกมดลูกที่มีภาวะช็อค: กรณีศึกษา 2 ราย
คำสำคัญ:
การตั้งครรภ์นอกมดลูก, การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูกร่วมกับมีภาวะช็อคบทคัดย่อ
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลตามมาตรฐานการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์นอกมดลูกที่มีภาวะช็อคจำนวน 2 ราย เป็นกรณีศึกษาหญิงตั้งครรภ์นอกมดลูกเปรียบเทียบ 2 ราย ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลปากช่องนานา ปี 2566 โดยศึกษาจากประวัติการรักษาพยาบาล ข้อมูลจากผู้ป่วย เวชระเบียน ใช้แบบประเมิน 11 แบบแผนของกอร์ดอน นำมากำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล และแก้ไขปัญหาสุขภาพโดยใช้กระบวนการพยาบาล 5 ขั้นตอน ตั้งแต่แรกรับจนถึงจำหน่าย
ผลการศึกษา: กรณีศึกษาผู้ป่วยทั้ง 2 รายแพทย์วินิจฉัยเป็น Ruptured Ectopic pregnancy with hypovolumic shock กรณีศึกษาที่ 1 ได้รับการผ่าตัดเร่งด่วนทำ Explored laparotomy with Right Sulpingectomy กรณีศึกษาที่ 2 ได้รับการผ่าตัดเร่งด่วนทำ Explored laparotomy with Left Sulpingectomy with wedge resection left Ovary ได้รับการรักษาและให้การพยาบาลโดยใช้กระบวนการพยาบาล 5 ขั้นตอน หลังผ่าตัดผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นตามลำดับ ไม่พบภาวะแทรกซ้อนใดๆ
References
ดารณี ศิลปรายะ. (2023). การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์นอกมดลูกที่มีการแตกของท่อนำไข่ร่วมกับมีภาวะช็อกและ มีภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน: กรณีศึกษา. วารสารสุขภาพและสิ่งแวดล้อมศึกษา, 8(4), 384-393.
นุชจรินทร์ ทองโรจน์. (2563). การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์นอกมดลูก: กรณีศึกษา 2 ราย. วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม, 17(2), 128-141.
ปริญญา ราชกิจ. (2560). การตั้งครรภ์นอกมดลูกในโรงพยาบาลลำปลายมาศ. วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ -สุรินทร์-บุรีรัมย์, 32 (1), 33-42
เพ็ญ ศรีละออ. (2022). การพยาบาลผู้ป่วยตั้งครรภ์นอกมดลูกที่มีภาวะช็อกจากการเสียเลือด. วารสาร สาธารณสุข และ วิทยาศาสตร์สุขภาพ, 5(2), 172-186.
อรุณี พัวโสพิศ. (2023). ผลของโปรแกรมการให้ข้อมูลก่อนและหลังผ่าตัดต่อคุณภาพชีวิตและความวิตกกังวล ใน ผู้ป่วยตั้งครรภ์นอกมดลูกที่ได้รับการผ่าตัดโรงพยาบาลกาฬสินธุ์. วารสารสุขภาพและสิ่งแวดล้อมศึกษา, 8(2), 361-370.
หอผู้ป่วยนรีเวช. รายงานตัวชี้วัดประจำปี 2564-2566. โรงพยาบาลปากช่องนานา (สำเนาเอกสาร).
Meena, N., Bairwa, R., & Sharma, S. (2020). Study of ectopic pregnancy in a tertiary care centre. International Journal of Reproduction, Contraception, Obstetrics and Gynecology, 9(1): 212-215. Retrieved from DOI: https://www.ijrcog.org/index.php/ijrcog/article/view/7564/5152