ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา ในหอผู้ป่วยสามัญ แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
คำสำคัญ:
การเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน, หอผู้ป่วยสามัญ, แผนกอายุรกรรมบทคัดย่อ
การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลังแบบไม่จับคู่ (Retrospective unmatched case-control) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนของผู้ป่วยใน แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โดยศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนของผู้ป่วยในหอผู้ป่วยสามัญ แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564 โดยรวบรวมผู้ป่วย ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 18 ปี ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยสามัญแผนกอายุรกรรมที่มีภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนหลังจากนอนโรงพยาบาลมาแล้วมากกว่าหรือเท่ากับ 72 ชั่วโมง แบ่งเป็นกลุ่มที่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน และกลุ่มที่ไม่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน กลุ่มละ 190 คน และนำมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม STATA version 10
ผลการศึกษา : กลุ่มที่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนและกลุ่มที่ไม่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน มีลักษณะทั่วไปแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในเรื่องเพศ และกลุ่มอายุ โดยกลุ่มที่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนและกลุ่มที่ไม่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน เป็นเพศชายร้อยละ 64.7 และร้อยละ 51.1 (p-value=0.009) อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 61.6 และร้อยละ 48.4 (p-value=0.013) และเป็นผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลน้อยกว่า 14 วัน และตั้งแต่ 14 วันขึ้นไปในสัดส่วนที่เท่ากัน เมื่อพิจารณาโรคประจำตัวพบว่าทั้ง 2 กลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยกลุ่มที่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนและกลุ่มที่ไม่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน มีโรคเบาหวานร้อยละ 37.9 และร้อยละ 19.5 (p-value <0.001) โรคความดันโลหิตสูงร้อยละ 45.8 และร้อยละ 33.7 (p-value=0.021) โรคไตวายเรื้อรัง ร้อยละ 22.1 และร้อยละ 12.6 (p-value=0.021) โรคตับแข็งร้อยละ 10.0 และร้อยละ 4.2 ในส่วนของการใช้ยา พบว่ามีเพียงปัจจัยเรื่องการใช้การต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทาน (Oral anticoagulant : OAC) ที่มีความแตกต่างของทั้ง 2 กลุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยกลุ่มที่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนและกลุ่มที่ไม่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน มีจำนวนร้อยละ 2.1 และร้อยละ 9.0 ตามลำดับ เมื่อนำตัวแปรที่สนใจทั้งหมดมาวิเคราะห์การถดถอยลอจิสติกเชิงพหุ (Multivariable logistic regression) พบว่าตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจมากกว่า 48 ชั่วโมง (Adjusted OR 2.03; 95% CI 1.18,3.50, p-value=0.011) ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Adjusted OR 2.17; 95% CI 1.21,3.89, p-value=0.009) และภาวะไตวายเฉียบพลันและเรื้อรัง (Adjusted OR 5.29; 95% CI 3.12,8.95,
p-value < 0.001) แต่ตัวแปรอื่นๆพบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และพบว่าการเคยมีประวัติเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนมาก่อนที่ความสัมพันธ์กับภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบนค่อนข้างสูง แต่ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (Adjusted OR 9.20; 95% CI 0.95,89.28, p-value = 0.056)
เอกสารอ้างอิง
สมิทธ์ เกิดสินธุ์. ปัจจัยเสี่ยงและลักษณะทางคลินิกของภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้นจากเส้นเลือดโป่ง พองและไม่ใช่เส้นเลือดโป่งพอง (วิทยานิพนธ์).ตาก.ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช. 2562. สืบค้นจาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/BJmed/article/download/231188/157397/778432
มณฑิรา มณีรัตนะพร. ตำราโรคระบบทางเดินอาหารและตับในเวชปฏิบัติ : Practical Gastroenterology & Hepatology. บริษัท ปริ้นท์เอเบิ้ล จำกัด. 2563
Shria Kumar. Incidence and risk factors for gastrointestinal bleeding among patients admitted to medical intensive care units. Department of epidemiology, Mailman School of Public Health, Columbia University, New York, USA, 2017;8: 167-173.
Shoshana J Herzig. Risk Factors for Nosocomial Gastrointestinal Bleeding and Use of Acid-Suppressive Medication in Non-Critically Ill patients. Division of General Medicine and Primary Care, Beth Israel Deaconess Medical Center and Harvard Medical School,MA, USA, 2013; 28(5): 683-90.
Chu Y-F, Jiang Y, Meng M, Jiang J-J, Zhang J-C, Ren H-S, et al. Incidence and risk factors of gastrointestinal bleeding in mechanically ventilated patients [Internet]. Nih.gov. 2010 [cited 2024 Apr 3]. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4129768 /pdf/WJEM-1-32.pdf

