ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์
คำสำคัญ:
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง, ความสามารถในการดูแลตนเอง, ปัจจัยบทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความสามารถในการดูแลตนเอง ความรู้ เจตคติ ปัจจัยส่วนบุคคล และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจำนวน 123 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เก็บข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม แบ่งเป็น 4 ส่วน คือ 1) ปัจจัยส่วนบุคคล 2) แบบสอบถามความรู้ 3) แบบสอบถามเจตคติ และ 4) แบบสอบถามความสามารถในการดูแลตนเอง วิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาค่าความสัมพันธ์ใช้สถิติค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ไคสแควร์ สถิติ Fisher’ Exact Test และสถิติวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรส คิดเป็นร้อยละ 76.42 ระดับการศึกษาส่วนใหญ่ คือ ประถมศึกษา คิดเป็นร้อยละ 48.78 และพบว่า สถานภาพ และการศึกษา มีความสัมพันธ์ต่อความสามารถ ในการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.007 และ p < 0.001) ตามลำดับ ความรู้ อยู่ในระดับต่ำ (Mean = 14.30, S.D. = 4.85) เจตคติ อยู่ในระดับสูง (Mean = 3.77 , S.D. = 0.43) และความสามารถในการดูแลตนเองอยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 3.66 , S.D. = 0.48) ความรู้ และเจตคติเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง มีความสัมพันธ์ต่อความสามารถในการดูแลตนเอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.391, p < 0.001 และ r = 0.619, p < 0.001)
ดังนั้น บุคลากรควรมีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการดูแลผู้ป่วยเพื่อนำไปสู่การส่งเสริมปัจจัยสำคัญในการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ที่จะช่วยพัฒนาให้ผู้ป่วยมีศักยภาพในการดูแลตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เอกสารอ้างอิง
จุฑาทิพย์ เทพสุวรรณ์. (2561). ผลของโปรแกรมป้องกันการกลับเป็นซ้ำสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่โรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม. วารสารสมาคมโรคหลอดเลือดสมองไทย, 17(1), 6-15.
บุษราคัม อินเต็ง และสุพัฒนา คำสอน. (2562) ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเมืองเก่า จังหวัดพิจิตร. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย, 19(1), 122-134.
ปรารถนา วัชรานุรักษ์ และอัจฉรา กลับกลาย. (2560). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการป้องกันโรคในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดจังหวัดสงขลา. วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, 4(1), 217-233
ปิยะนุช จิตตนูนท์. (2563). ความรู้โรคหลอดเลือดสมองและพฤติกรรมป้องกันของกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง. วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์, 41(2), 13-25.
วิรารัตน์ นิลสวัสดิ์. (2565). ผลของโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและผู้ดูแลระยะเปลี่ยนผ่าน จากโรงพยาบาลสู่บ้านต่อความสามารถการใช้ชีวิตประจำวันภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วย และ ความสามารถการจัดการตนเองของผู้ดูแล. วารสารวิจัยการพยาบาลและการ สาธารณสุข, 2(3), 57-70.
วรนุช เทพาวัฒนาสุข. (2565). ความชุกของปัจจัยเสี่ยงและผลลัพธ์ของการฟื้นฟูระดับความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17. วารสารวิชาการสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม, 6(11), 95-104.
เวชระเบียนโรงพยาบาลหนองไผ่. (2567). สถิติการเจ็บป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง ของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหนองไผ่. เวชระเบียนโรงพยาบาลหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์
สวรรค์ยา รักษาชล, อิบตีซาน เจ๊ะอุบง, และขจรศักดิ์ ไชยนาพงศ์. (2567). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในอำเภอเมืองสงขลา. วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน, 7(1), 105-116.
สมศักดิ์ เทียมเก่า. (2565). อุบัติการณ์โรคหลอดเลือดสมอง ประเทศไทย. วารสารประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย, 39(2), 39-46.
ระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ HDC Service. (2567). ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง. สืบค้นจาก https://hdc.moph.go.th/acr/public/kpi/1/2024.
องค์การอนามัยโลก. (2567). การฟื้นฟูสมรรถภาพ (Rehabilitation). สืบค้นจาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/rehabilitation
Best, J. W. (1997). Research in Education. 3rd ed. Prentice Hall Inc.
Bloom, B. S., Madaus, G. F., & Hastings, J. T. (1971). Hand book on Formative and Summative Evaluation of Student Learning. Mc Graw-Hill Book Company.
Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1970). “Determining sample size for research activities”. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607-610.
Orem, D. E. (2001). Nursing Concepts of Practice. Mc.Graw - Hill Book.
Schwartz, N. E. (1975). Nutritional knowledge, attitude, and practices of high school. Journal of the American Dietetic Association, 66(1), 28–31.
Wang, J., Sun, L., & Xu, T. (2025). Effectiveness of an empowerment-based transtheoretical model intervention on self-care in stroke patients: A randomized controlled trial. Scientific Reports, 15(1), 2966. https://doi.org/10.1038/s41598-025-02966-0.
World Stroke Organization. (2025). Global Stroke Fact Sheet 2025. Retrieved from https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC11786524/
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.