การศึกษาระบาดวิทยาและปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการรักษาโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ในจังหวัดลพบุรี

ผู้แต่ง

  • ผจงพร สดงาม นายแพทย์ชำนาญการ กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช

คำสำคัญ:

โรคปากแหว่งเพดานโหว่, ความสำเร็จในการรักษา

บทคัดย่อ

     การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระบาดวิทยาการเกิดโรคปากแหว่งเพดานโหว่ และปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการรักษาโรคปากแหว่งเพดานโหว่ในจังหวัดลพบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ที่มารักษาในโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราชในระหว่าง ปี พ.ศ. 2556 ถึง ปี พ.ศ. 2565 คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงตามเกณฑ์จำนวน 148 คน รวบรวมข้อมูล ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลผู้ดูแล การมารับการรักษา ผลการรักษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ทดสอบไคสแควร์ ฟชเชอร์ สหสัมพันธ์ถดถอยโลจิสติก

     ผลการวิจัย: จากจำนวนเด็กเกิดมีชีพ 58,002 คน พบผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่จำนวน 148 คิดเป็นความชุก 2.55 ต่อการเกิดมีชีพ 1000 ราย ส่วนใหญ่เกิดในเพศชาย จำนวน 80 คน (54.05%) เป็นผู้ป่วยปากแหว่ง (cleft lip) จำนวน 56 คน (37.83%) เพดานโหว่ (cleft palate) จำนวน 62 คน (41.89%) ผู้ป่วยปากแหว่งและเพดานโหว่ (cleft lip and palate) จำนวน 30 คน (20.28%) เข้ารับการผ่าตัดซ่อมปากแหว่ง (Cheiloplasty) ช่วงอายุ 3-6 เดือน จำนวน 66 คน (45.59%) อายุเฉลี่ย 4.40 เดือน การผ่าตัดซ่อมเพดาน (Palatoplasty) ช่วงอายุ 9-18 เดือน จำนวน 116 คน (78.38%) อายุเฉลี่ย 10.25 เดือน ประสบความสำเร็จในการรักษาจำนวน 110 คน (74.32%) ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการรักษาโรคปากแหว่งเพดานโหว่ พบว่า อายุของผู้ดูแล 35-45 ปี ระดับรายได้ ภูมิลำเนานอกเขตในจังหวัด จบประถมศึกษา เป็นปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการรักษาโรคปากแหว่งเพดานโหว่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)

เอกสารอ้างอิง

กิตติลักษณ์ จุลลัษเฐียร. (2560). ปัญหาจากภาวะปากแหว่งเพดานโหว่. https://www.haijai.com/4130/.

Mossey PA, Little J, Munger RG, Dixon M, Shaw WC. Cleft lip and palate. Lancet 2009; 374(9703): 1773-85.

Kling, R. R., Taub, P. J., Ye, X., Jabs, E. W. (2014). Oral clefting in China over the last decade: 205,679 patients. Plastic and Reconstructive Surgery Global Open, 2(10), e236.

นงลักษณ์ จินตนาดิลก. (2558). เด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล: การพยาบาลเด็กคณะพยาบาลศาสตร์ 3rd ed. กรุงเทพ: พรีชวันการพิมพ์

พรพัฒน์ ธีรโสภณ, วิภาพรรณ ฤทธิ์ถกล. (2562). ประวัติศาสตร์แนวคิดทางสังคม และอุบัติการณ์ของภาวะปากแหว่งเพดานโหว่. วารสารออนไลน์ทันตจัดฟัน, 9(2), 26-32.

นฏกร อิตุพร, อมรรัตน์ รัตนสิริ, ฐิติมา นุตราวงศ์, กุลฑลี บุญประเสริฐ, สุภาภรณ์ ฉัตรชัยวิวัฒนา, ทัศนีย์ ณ พิกุล. อัตราความชุกของความพิการแต่กำเนิดของศีรษะและใบหน้า ในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จังหวัดเชียงราย. ศรีนครินทร์เวชสาร. 2562; 34(2): 169-172.

สุกัลยา ธนกิจจารุ. การศึกษาระบาดวิทยาและปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดโรคปากแหว่งเพดานโหว่ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี. วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา. 2566; 4(1): 1-17.

Jennifer L K Matthews, Elizabeth Oddone-Paolucci, Robertston A Harrop. The Epidemiology of Cleft Lip and Palate in Canada, 1998 to 2007. Cleft Palate Craniofac J. 2015; 52(4):417-24.

S Yassaei , Z Mehrgerdy, G Zareshahi. Prevalence of cleft lip and palate in births from 2003 - 2006 in Iran. Community Dent Health. 2010; 27(2):118-21

K Z Xiao. Epidemiology of cleft lip and cleft palate in China. Zhonghua Yi Xue Za Zhi. 1989;69(4):192-4, 14.

วรินทร อึ้งสำราญ และเกรียงศักดิ์ เวทีวุฒาจารย์. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผู้ปกครองในการพาบุตรปากแหว่งเพดานโหว่เข้ารับการผ่าตัดรักษาล่าช้า. The Journal of Baromarajonani College of Nusing, Nakhonratchasima. 2559; 39(22): 38-51.

สุธีรา ประดับวงษ์, ศิริพร มงคลถาวรชัย, และพิมพ์วรา อัครเธียรสิน. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเขา้ รับการรักษาของผูป้ ว่ ยปากแหวง่เพดานโหว่ในโรงพยาบาลศรีนครินทร์และโรงพยาบาลขอนแก่น. ขอนแก่น: คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.2552.

ยุพิน ปักกะสังข์, สุธีรา ประดับวงษ์, ชิโนรส ปิยกุลมาลา และ อารยา ภิเศก. ปัญหาการเข้ารับบริการของผู้ป่วยปากแหว่ง เพดานโหว่. ศรีนครินทร์เวชสาร. 2565; 37(4):331-336.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-04-30

รูปแบบการอ้างอิง

สดงาม ผ. . (2025). การศึกษาระบาดวิทยาและปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการรักษาโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ในจังหวัดลพบุรี. วารสารอนามัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน, 10(2), 233–240. สืบค้น จาก https://he03.tci-thaijo.org/index.php/ech/article/view/4263