ผลการใช้สื่อวีดิทัศน์ต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลของสมาชิกในครอบครัวผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจก โรงพยาบาลหนองคาย
คำสำคัญ:
สื่อวีดิทัศน์, โรคต้อกระจก, การดูแลตนเองบทคัดย่อ
การวิจัยเรื่องนี้ใช้แบบแผนการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความรู้เรื่องโรคต้อกระจกของบุคคลในครอบครัวผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดโรคต้อกระจกระหว่างกลุ่มทดลองกับ กลุ่มควบคุม 2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลตนเองของบุคคลในครอบครัวผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดโรคต้อกระจก ระหว่างกลุ่มทดลองกับกล่มควบคุม และ 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อสื่อวีดิทัศน์ในการให้ความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมปฏิบัติตัวและการดูแลตนเองจากการผ่าโรคตัดต้อกระจกกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นบุคคลในครอบครัวผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจก แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มควบคุม จำนวน 30 คน ที่ได้รับการพยาบาลแบบปกติ กับกลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน ที่ได้รับการสอนจากสื่อ วีดิทัศน์สำหรับให้ความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมปฏิบัติตัวและการดูแลตนเองจากการผ่าตัดโรคต้อกระจก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบความรู้แบบประเมินพฤติกรรม และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test Samples Independent กำหนดระดับนัยสำคัญไว้ที่ .05
ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบความรู้เรื่องโรคต้อกระจกของบุคคลในครอบครัวผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจก พบว่า คะแนนความรู้หลังการทดลองของกลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยของความรู้เรื่องโรคต้อกระจกสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p ≤ .001), 2) ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลตนเองของบุคคลในครอบครัวผู้ป่วยที่ได้รับ การผ่าตัดโรคต้อกระจก ระหว่างกลุ่มทดลองกับกล่มควบคุม พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมในการดูแลตนเองเรื่องโรคต้อกระจกสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p ≤ .001) และ 3) ความพึงพอใจต่อสื่อวีดิทัศน์ในการให้ความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมปฏิบัติตัวและการดูแลตนเองจากการผ่าโรคตัดต้อกระจกของกลุ่มทดลองหลังการทดลอง โดยรวม พบว่า ผู้ป่วยโรคต้อกระจกมีความพึงพอใจต่อสื่อวีดีทัศน์อยู่ในระดับมากที่สุด
เอกสารอ้างอิง
Ministry of Public Health.(2006).Workshop of preventing blindness in the region Indochina and Southeast Asia 6th.Bangkok,Thailand:Ministry of Public Health.
Thailand Association of the Blind.(2015).Thailand country report 2014.Bangkok, Thailand:World Blind Union-Asia Pacific.
Wongkittirak,S.,&kitsiripaiboon,S.(2007).Eye health handbook for public and health Provider.Bangkok, Thailand:Pimdee.
Orem,D.E.(1995).Nursing concepts of practice (5th ed.). St.Louis, MO:Mosby-Year Book.
John,K.J.(1996).Basic and clinical science course,1996-1997 section 11 lens and cataract. San Francisco, CA:American Academy of Ophthlamology.
อังคนา อัศวบุญญาเดช. (2565). “ผลการสอนสุขศึกษาโดยใช้สื่อวีดิทัศน์เรื่องการปฏิบัติตัวหลังทำผ่าตัดต้อกระจกให้กับผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก,” บูรพาเวชสาร, 9 (1) : 13-27.
Dale.E.(1969).Audio-visual methods in teaching (3rd ed).New York,NY:Holt,Rinehart andWinton.
Bandura,A(1989).Principle of behavior modification.New York,NY:Holt,Rinehart and Winton.
บุญใจ ศรีสถิตนรากูร. (2555). การพัฒนาและการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย : คุณสมบัติ การวัดเชิงจิตวิทยา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุนิษฐา เชี่ยวนาวิน. (2564). ผลของสื่อวีดิทัศน์โปรแกรมต่อระดับความรู้และความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดต้อกระจก โรงพยาบาลหนองคาย. วารสารโรงพยาบาลนครพนม, 6(1), 18-28.
สนธยา พลศรี. (2550). เครือข่ายการเรียนรู้ในงานพัฒนาชุมชน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โอเดียน สโตร์.
ภริญดา สิริวรัญกุล (2567). “ผลการใช้สื่อรูปแบบใหม่ต่อการเตรียมตัวผ่าตัดของผู้ป่วยต้อกระจก โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดตาก,”. วารสารสาธารณสุขจังหวัดตาก, 6 (6): 1-15.
วรรณวิมล ทุมมี. (2564). การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกห้องผ่าตัดโรงพยาบาบาลกาฬสินธุ์. วารสารสุขภาพและสิ่งแวดล้อมศึกษา, 6(4), 1-7.

