ประสิทธิผลโปรแกรมการจัดการตนเองเพื่อลดอาการกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ในโรงพยาบาลบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย

ผู้แต่ง

  • ทัศนา วงศ์กิตติรัตน์

คำสำคัญ:

โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, การจัดการอาการกำเริบเฉียบพลัน

บทคัดย่อ

          การวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการจัดการตน เองเพื่อลดอาการกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ในโรงพยาบาลบ้านด่าน ลานหอย จังหวัดสุโขทัย  กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จำนวน 40 ราย โปร แกรมการจัดการตนเอง  เพื่อลดอาการกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังพัฒ นาขึ้นจากงานวิจัยระยะที่ 1 มาใช้ในการออกแบบโปรแกรมฯได้แก่ ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการอาการกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ประกอบด้วย 1) การจัดการอาการกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วย 2) การรับรู้ด้านสุขภาพ 3) ภาวะสุขภาพและการเจ็บป่วย โดยประยุกต์ใช้แนวคิดและทฤษฎีการจัดการตนเองของเครียร์ (Creer) ประกอบด้วย 6 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมที่ 1 การตั้งเป้าหมาย กิจ กรรมที่ 2 การเก็บรวบรวมข้อมูล กิจกรรมที่ 3 การประเมินผล  และการประมวล กิจกรรมที่ 4 การตัดสินใจ กิจกรรมที่ 5 การลงมือปฏิบัติ กิจกรรมที่ 6 การสะท้อนการปฏิบัติระยะเวลาทด ลอง 5 เดือน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือ  แบบสอบถามและสมุดบันทึกข้อมูลสุข ภาพ    การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทดสอบสมมุติฐานการวิจัยเปรียบเทียบก่อนและหลังทดลอง ใช้สถิติ Paired t-test

          ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการทดลองตัวแปรที่มีค่าคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น  เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ประกอบด้วย  ความรุนแรงของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง  (P-value = 0.036)  การรับรู้ด้านสุขภาพ (P-Value < 0.001)  พฤติกรรมการจัด การอาการกำเริบเฉียบพลัน (P-Value = 0.024)  ผลการวิจัยนี้พบว่า ระดับสมรรถภาพปอดของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังในระดับ  3  ยังไม่มีการเปลี่ยนแสดงให้เห็นว่าระยะเวลาการทดลองโปรแกรมฯ เพียง 5 เดือน ยังไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมีระดับสม รรถภาพปอดดีขึ้น ดังนั้นควรมีการศึกษาวิจัยเพื่อหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยได้สามารถจั- ดการกับอาการกำเริบเฉียบพลันได้ เช่น การวิจัยเชิงคุณภาพหรือการวิจัยแบบมีส่วนร่วมในการกระตุ้นให้ผู้ป่วยตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของตนเอง

References

เฉลิมพล ตันสกุล. (2543). พฤติกรรมศาสตร์สาธารณสุข. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สหประชาพาณิชย์.

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย. (2561). รายงานประจำปีของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย 2561. เอกสารอัดสำเนา.

หน่วยเวชระเบียน โรงพยาบาลบ้านด่านลานหอย. (2561). รายงานประจำปี2561. เอกสารอัดสำเนา.

Best, John W. (1977). Research is Evaluation. (3rd ed). Englewod cliffs: N.J. Prentice Hall.

Bloom, B.S. (1975). Taxonomt of Education. David McKay Company Inc., New York.

Boonsawat W. (2013). Treatment guideline for chronic obstructive pulmonary disease.Retrieved January 20,2020.Available from http://www.eac2.dbregistry.com/sitedata/dbreggistryeac/1/CopdManagement.pdf.

Creer,T. (2000). Self-management. In M. Bookaert, P.R. Pintrich, & M. Zeider (Eds.), Handbook of self-regulation. San Diego; California: Academic Press.

Cronbach, Lee J. (1951). Essentials of Psychological Testing. 3rd ed. New York: Harper.

National Health Security. (2016). Quality improvement foe management of asthma and chronic obstructive pulmonary disease. Retrieved January 20, 2020. Available from: http://nhso.go.th/frontend/NewsInformationDetail.acpx?.

Orem, D.E. (2001). Nursing: concept of practices. (6th ed.) St. Louis MO : Mosby

Rosenstock, Irain M. (1974). The Health Belife Model and Prevention Behavior. Health Education Monographs.

Downloads

เผยแพร่แล้ว

03-03-2023