การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานของไตผิดปกติในผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านแบบรวมเม็ด (TLD) ในคลินิก ARV โรงพยาบาลถลาง จังหวัดภูเก็ต
คำสำคัญ:
การทำงานของไต, ยาต้านแบบรวมเม็ด (TLD), คลินิก ARV โรงพยาบาลถลางบทคัดย่อ
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้เป็นแบบเชิงวิเคราะห์ (Retrospective cohort study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานของไตผิดปกติในผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านแบบรวมเม็ด (TLD) ในคลินิก ARV โรงพยาบาลถลาง จังหวัดภูเก็ต ประชากรคือ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ในคลินิก ARV โรงพยาบาลถลาง ระหว่าง ปี พ.ศ. 2565-2566 จำนวน 522 คน โดยใช้สูตรการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Cochran’s (1977) formula เท่ากับ 222 คน เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ HosXP ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ คุณลักษณะส่วนบุคคล ผลตรวจทางห้องปฎิบัติการก่อนและหลังการเริ่มยาต้านแบบรวมเม็ด TLD ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน มีค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค มากกว่า 0.5 การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้ยาต้านแบบรวมเม็ด (TLD) โดยใช้สถิติ paired t-test พบว่า ค่าการทำงานของไต (eGFR) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value<0.001) โดยการทำงานของไต(eGFR) มีค่าเฉลี่ยก่อนเริ่มยาอยู่ที่ 99.98 ml/min/1.73m2 SD 15.60 หลังได้รับยาต้านแบบรวมเม็ด (TLD) ไป 9 เดือน พบว่าค่าเฉลี่ยการทำงานของไตลดลงเหลือ 83.86 ml/min/1.73m2 SD 18.12 การวิเคราะห์ข้อมูลหาปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานของไตผิดปกติในผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านแบบรวมเม็ด (TLD) โดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานของไตผิดปกติในคลินิก ARV โรงพยาบาลถลาง ประกอบด้วย อายุ (P-value = 0.024) และสูตรยาต้านที่ใช้ก่อนเริ่มยา TLD (P-value = 0.035)
References
เอกสารอ้างอิง
ศูนย์รวมรวบข้อมูลสารสนเทศด้านเอชไอวีของประเทศไทย (2022). Thailand: HIV Info Huสถานการณ์โรค
เอชไอวีประเทศไทย [updated 2022 April 27; cited 2022 Nov 27]. Available from:
https://hivhub.ddc.moph.go.th/epidemic.php
กรมควบคุมโรค. แนวทางการตรวจรักษาและป้องกันการติดเชื้อ เอชไอวีประเทศไทย ปี 2564/65 (2565).
พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจำกัด; 2565. 292
The Joint United Nations Program on HIV/AIDS. [UNAIDS] (2022). [cited 2022 Nov 4]. Available
from: https://unaids.org/en
Koteff J, Borland J, Chen S, et al (2013). A phase 1 study to evaluate the effect of dolutegravir
on renal function via measurement of iohexol and para-aminohippurate clearance in
healthy subjects. Brit J Clin Pharmacol. 75(4):990–996
Wassner C, Bradley N, Lee Y (2020). A review and clinical understanding of tenofovir: tenofovir
disoproxil fumarate versus tenofovir alafenamide. J Int Assoc Provid AIDS Care. 2020;
:2325958220919231
Shirley X. Jiang, John Duncan, Hin Hin Ko (2023). “Acquired Fanconi Syndrome from Tenofovir
Treatment in a Patient with Hepatitis B", Case Reports in Hepatology, vol. 2023.
https://doi.org/10.1155/2023/6158407
Doshi, S., Ucanda, M., Hart, R., Hou, Q., Terzian, A. S., & DC Cohort Executive Committee (2019).
Incidence and Risk Factors for Renal Disease in an Outpatient Cohort of HIV-Infected
Patients on Antiretroviral Therapy. Kidney international reports, 4(8), 1075–1084.
https://doi.org/10.1016/j.ekir.2019.04.024
Li, Y., Shlipak, M. G., Grunfeld, C., & Choi, A. I. (2012). Incidence and risk factors for acute kidney
injury in HIV Infection. American journal of nephrology, 35(4), 327–334.
https://doi.org/10.1159/000337151
Cottrell ML, Hadzic T, Kashuba AD (2013). Clinical pharmacokinetic, pharmacodynamic and
drug-interaction profile of the integrase inhibitor dolutegravir. Clin Pharmacokinet.
:981-94.
Kolakowska A, Maresca AF, Collins IJ, Cailhol J (2019). Update on adverse effects of HIV integrase inhibitors. Curr Treat Options Infect Dis. 11:372-87.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.