ประสิทธิผลของโปรแกรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในประชากรกลุ่มเสี่ยงเครือข่ายสุขภาพปฐมภูมิ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
คำสำคัญ:
โปรแกรมการดูแลตนเอง, โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่, แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพบทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในประชากรกลุ่มเสี่ยงเครือข่ายสุขภาพปฐมภูมิ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้วิจัยได้เลือกศึกษากลุ่มตัวอย่างเป็นประชากรอายุ 50-70 ปี ที่ได้รับการตรวจคัดกรอง Fecal Immunochemical Test (FIT) มีผลเป็นบวก และจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ในเครือข่ายสุขภาพโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จำนวน 80 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมตามแนวคิดของทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ และกลุ่มควบคุมได้รับการให้ความรู้เบื้องต้น กลุ่มละ 40 คน โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1. โปรแกรมพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ 2. แบบสอบถามความเชื่อและพฤติกรรมการดูแลตนเอง โดยดัชนีความสอดคล้อง (IOC) มีค่าเท่ากับ 0.98 และค่าความเชื่อมั่น (Cronbach's alpha)ของแบบสอบถามความเชื่อด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลตนเองมีค่าเท่ากับ 0.80 และ 0.81 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์เปรียบเทียบด้วยการทดสอบ t-test
ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพมีคะแนนการรับรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่หลังเข้าร่วมโปรแกรมสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับโปรแกรมการดูแลตนเองมีคะแนนการรับรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองหลังเข้าร่วมโปรแกรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โปรแกรมแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพมีประโยชน์ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่และส่งเสริมสุขภาพประชาชนต่อไป
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงสาธารณสุข. (2567). ข้อมูลเพื่อตอบสนอง Service Plan สาขาโรคมะเร็ง: ประชากรกลุ่มเป้าหมายได้รับการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง จังหวัดนครศรีธรรมราช ปีงบประมาณ 2567. จาก https://hdcservice.moph.go.th/
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช. (2567). รายงานสถานการณ์โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และผลการดำเนินงานคัดกรองประชากรกลุ่มเสี่ยงปีงบประมาณ 2567.
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2566). แนวทางการดำเนินงานและบันทึกข้อมูล: โครงการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยวิธี FIT test. กรุงเทพมหานคร: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ.
สุทธิมาศ สุขอัมพร, & วลัยนารี พรมลา. (2564). ประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงของบุคลากรในโรงพยาบาล. วารสารศูนย์อนามัยที่ 9, 15(38), 632–644.
เสรีศิริวัฒนา, อ. (2565). ประสิทธิภาพการใช้ Fecal Immunochemical Test ในการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง โดยเปรียบเทียบค่า cut-off ที่ 50 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร และ 100 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร. วารสารวิชาการแพทย์และสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 3, 19(2), 65-82. เข้าถึงจาก https://thaidj.org/index.php/smj/article/view/11026
ปวีณา คำปลิว, & อุษา นาคคำ. (2566). ผลของโปรแกรมการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อการรับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรีที่เข้ารับบริการแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลศรีสังวรสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย. วารสารวิจัยและพัฒนาด้านสุขภาพ, 9(1), 18–28.
Bandura, A. (1997). Self-efficacy: The exercise of control. W. H. Freeman.
Best, J. W. (1977). Research in education. Englewood Cliffs, NJ: Prentice Hall.
Chien, N. H., Chuang, Y. H., Liu, H. C., & Yu, M. C. (2021). Effects of an educational program on colorectal cancer screening in a community setting: A quasi-experimental study. Journal of Cancer Education, 36(2), 287–294.
Field, A. (2013). Discovering statistics using IBM SPSS statistics (4th ed.). Sage Publications.
Global Cancer Observatory. (2022). Cancer factsheet. World Health Organization. https://www.who.int/news-room/fact-sheet/detail/cancer
Kang, E., Lee, Y., Kim, J., & You, M. (2016). Development and evaluation of the Korean health literacy instrument. Journal of Health Communication, 19(Suppl 2), 254–266. https://doi.org/10.1080/10810730.2014.936568
Rosenstock, I. M. (1974). The health belief model and preventive health behavior. Health Education Monographs, 2(4), 354–386.
Shapiro, S. S., & Wilk, M. B. (1965). An analysis of variance test for normality (complete samples). Biometrika, 52(3/4), 591–611.