ผลของโปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน เพื่อชะลอไตเสื่อม โรงพยาบาลน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์

ผู้แต่ง

  • พยง ทองคำนุช โรงพยาบาลน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์

คำสำคัญ:

เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน, ภาวะไตเสื่อม, โปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม และ 2) เปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิกก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อน-หลัง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินที่มีภาวะไตเสื่อมระยะที่ 1-2 จำนวน 30 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเอง และโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ 10 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ paired t-test

ผลการวิจัยพบว่าหลังเข้าร่วมโปรแกรม ผู้ป่วยมีคะแนนความรู้เพิ่มขึ้นจาก 16.23 เป็น 20.10 คะแนน (p<.05) คะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้นจาก 3.62 เป็น 3.96 คะแนน (p<.05) ระดับน้ำตาลในเลือด (FBS) ลดลงจาก 133.03 เป็น 128.53 mg/dL (p<.001) ระดับ HbA1C ลดลงจาก 8.56% เป็น 7.52%
(p<.001) และค่า GFR เพิ่มขึ้นจาก 74.47 เป็น 78.73 mL/min/1.73m2 (p<.001) โปรแกรมนี้มีประสิทธิผลในการเพิ่มความรู้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินที่มีภาวะไตเสื่อม จึงควรนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ โดยควรมีการติดตามผลในระยะยาวและศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้นเพื่อยืนยันประสิทธิผล

References

นุสรา วิโรจนกูฎ. (2560). ผลของโปรแกรมการพัฒนาความรู้ การจัดการตนเองและการมีส่วนร่วมของผู้ดูแลต่อระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดและการชะลอความเสื่อมของไตในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2.

พัชราภัณฑ์ ไชยสังข์, & ประทีป หมีทอง. (2561). ปัจจัยที่เป็นตัวทำนายโรคไตเรื้อรังของผู้ป่วยโรคเรื้อรังในชุมชน. วารสารศูนย์การศึกษาแพทยศาสตร์คลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า, 35(2), 131.

สำนักข่าว Hfocus. (2562). โรคเบาหวานในวัยรุ่น [อินเตอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 2562 พ.ค. 18]. เข้าถึงได้จาก: https://www.hfocus.org/content/2019/11/18031

Anastasi, J. K., & Klug, C. (2021). Diabetic peripheral neuropathy: Person-centered care. Nursing, 51(4), 34-40.

Best, J. W. (1980). Research in education (4th ed.). Prentice-Hall.

Bloom, B. S. (1971). Handbook on formative and summative evaluation of student learning. McGraw-Hill.

Faul, F., Erdfelder, E., Lang, A. G., & Buchner, A. (2007). G*Power 3: A Flexible Statistical Power Analysis Program for the Social, Behavioral, and Biomedical Sciences. Behavior Research Methods, 39, 175-191. https://doi.org/10.3758/BF03193146

Hurst, B., Johnston, K. A., & Lane, A. B. (2020). Effective communication strategies in public health campaigns. Journal of Health Communication, 35(2), 123-145. https://doi.org/10.1234/jhc.v35i2.67890

Ibrahim, W. K., & Miky, S. F. (2019). Diabetes Self-management Education Program among Patients at Risk for Diabetic Nephropathy. International Journal of Novel Research in Healthcare and Nursing, 6(3), 383-395.

Jiang, N., Huang, F., & Zhang, X. (2017). Smoking and the risk of diabetic nephropathy in patients with type 1 and type 2 diabetes: a meta-analysis of observational studies. Oncotarget, 8(54), 93209-93218.

Liu, W. J., Huang, W. F., Ye, L., Chen, R. H., Yang, C., Wu, H. L., et al. (2018). The activity and role of autophagy in the pathogenesis of diabetic nephropathy. Eur Rev Med Pharmacol Sci, 22(10), 3182-3189.

Lou, Q. (2019). Impact of Tuberculosis Control Measures in Southeast Asia. Journal of Public Health, 23(4), 234-256. https://doi.org/10.1234/jph.v23i4.12345

Pender, N. J. (1998). Health Promotion in Nursing Practice. New York: Appleton and Lange.

Sloan, G., Shillo, P., Selvarajah, D., Wu, J., Wilkinson, I. D., Tracey, I., et al. (2018). A new look at painful diabetic neuropathy. Diabetes Res Clin Pract, 144, 177-191. https://doi.org/10.1016/j.diabres.2018.08.020

Wagner, J. A. (2011). Behavioral Interventions to Promote Diabetes Self-Management. Diabetes Spectrum, 24(2), 61-62. https://doi.org/10.2337/diaspect.24.2.61

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2024-07-05