ผลของการใช้แนวปฏิบัติในการส่งต่อผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์

ผู้แต่ง

  • ชาญยุทธ ชนะจน โรงพยาบาลน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์

คำสำคัญ:

แนวปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วย, อุบัติเหตุและฉุกเฉิน, คุณภาพการรักษา

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้แนวปฏิบัติในการส่งต่อผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉินต่อคุณภาพการรักษาและการบริการของโรงพยาบาลน้ำปาด เปรียบเทียบความพึงพอใจของบุคลากรทางการแพทย์ และวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จและอุปสรรคในการนำแนวปฏิบัติมาใช้ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในการส่งต่อผู้ป่วยจำนวน 21 คน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแนวปฏิบัติในการส่งต่อผู้ป่วย แบบบันทึกข้อมูลทางคลินิก แบบประเมินคุณภาพการส่งต่อ และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติพรรณนาและการทดสอบ Wilcoxon signed-rank test

ผลการวิจัยพบว่า หลังการใช้แนวปฏิบัติ จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่อตามแนวปฏิบัติเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 93.3 ภาวะแทรกซ้อนระหว่างการส่งต่อลดลงจากร้อยละ 11.1 เหลือร้อยละ 6.7 ระยะเวลาส่งต่อเฉลี่ยลดลงจาก 60 นาทีเหลือ 45 นาที ความพึงพอใจของผู้ป่วยและญาติเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 75.6 เป็นร้อยละ 91.1 อัตรารอดชีวิตของผู้ป่วยวิกฤติที่ได้รับการส่งต่อเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 84.4 เป็นร้อยละ 91.1 ความพึงพอใจของพยาบาลต่อแนวปฏิบัติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) สรุปได้ว่าการใช้แนวปฏิบัติในการส่งต่อผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉินช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งต่อผู้ป่วย ลดภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มความพึงพอใจของบุคลากรทางการแพทย์ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จ ได้แก่ การสนับสนุนจากผู้บริหาร การฝึกอบรมบุคลากร และการมีส่วนร่วมของทีมสหวิชาชีพ

References

นันท์นลิน นาคะกุล. (2557). ระบบส่งต่อผู้ป่วยปลอดภัยไร้รอยต่อ. โรงพยาบาลลำปาง: เอกสารอัดสำเนา.

อรวรรณ นาคคำ และไพบูลย์ ดาวสดใส. (2560). การประเมินผลการดำเนินงานของระบบส่งต่อผู้ป่วยเบาหวานระหว่างโรงพยาบาลชัยภูมิและเครือข่ายบริการปฐมภูมิในเขตอำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ. วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน, 13 (2): 67-79.

Brown, D., Smith, E., & Clark, L. (2021). Effectiveness of SBAR communication in emergency patient transfers. Emergency Medical Journal, 38(5), 345-350. https://doi.org/10.1136/emermed-2020-209854

Davis, F., Lee, G., & Martinez, H. (2018). Management support and interdisciplinary teamwork in implementing new transfer protocols. Journal of Healthcare Leadership, 10, 67-75. https://doi.org/10.2147/JHL.S172056

Jones, M., Taylor, R., & Parker, S. (2019). Training and standard forms: Enhancing efficiency in patient transfers. Healthcare Management Review, 44(3), 234-242. https://doi.org/10.1097/

Polit, D. F., & Beck, C. T. (2012). Nursing research (9th ed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins.

Smith, A., Johnson, B., & Williams, C. (2020). The impact of high-standard patient transfer protocols on complication rates and patient survival. Journal of Emergency Medicine, 45(2), 123-130. https://doi.org/10.1016/j.jemermed.2020.01.001

Wilson, J., Thomas, K., & Moore, A. (2017). Continuous improvement in patient transfers through monitoring and evaluation systems. International Journal of Health Planning and Management, 32(4), 456-468. https://doi.org/10.1002/hpm.2407

World Health Organization. (2019). Emergency care systems for universal health coverage: ensuring timely care for the acutely ill and injured. Director-General, A72/31. [cited 2023 August 21]. Available from: https://apps.who.int/gb/ebwha/pdf_files

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2024-07-21