ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออก ตำบลทุ่งสง อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช
คำสำคัญ:
โรคไข้เลือดออก, พฤติกรรมการป้องกันโรค, การรับรู้, ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกและศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้โรคไข้เลือดออก การรับรู้โรคไข้เลือดออก กับพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกในตำบลทุ่งสง อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างเป็นหัวหน้าครัวเรือนจำนวน 331 คน คำนวณจากตารางเครจซีและมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและทดสอบความเชื่อมั่นได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ
ครอนบาค 0.78 ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ ข้อมูลทั่วไป ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก การรับรู้โรคไข้เลือดออกตามทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการป้องกันโรค เก็บข้อมูลระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน 2568 วิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนาและสถิติสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 คือ การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคและการรับรู้อุปสรรคของการป้องกันโรค โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.18 ทั้งคู่ แสดงความสัมพันธ์ทางบวกระดับต่ำ ส่วนอายุ ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก การรับรู้ความรุนแรงของโรค และการรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันโรค ไม่พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากผลการวิจัยแนะนำว่าหน่วยงานสาธารณสุขควรพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคโดยเน้นเพิ่มการรับรู้โอกาสเสี่ยงผ่านการนำเสนอข้อมูลสถานการณ์โรค การจัดกิจกรรมสำรวจแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และแก้ไขอุปสรรคเช่น จัดหาทรายอะเบท จัดตั้งกองทุนชุมชนสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันยุง ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มที่มีพฤติกรรมระดับต่ำผ่านการเยี่ยมบ้านและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล การวิจัยครั้งต่อไปควรศึกษาปัจจัยอื่นๆ เช่น การสนับสนุนทางสังคม บทบาทผู้นำชุมชน ศึกษาเชิงคุณภาพเพื่อเข้าใจเชิงลึก และพัฒนาโปรแกรมแทรกแซงประเมินประสิทธิผลระยะยาว
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงสาธารณสุข. (2023). รายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออกประเทศไทย ปี 2565. กระทรวงสาธารณสุข.
โชติกา ภาษีผล. (2559). การวิจัยทางพยาบาลศาสตร์: แนวคิดและการประยุกต์. ยูแอนด์ไอ อินเตอร์มีเดีย.
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช. (2022). รายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออกจังหวัดนครศรีธรรมราช ปี 2564. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช.
Andersson, N., Nava-Aguilera, E., Arosteguí, J., Morales-Perez, A., Suazo-Laguna, H., Legorreta-Soberanis, J., Hernandez-Alvarez, C., Fernandez-Salas, I., Paredes-Solís, S., Balmaseda, A., Cortés-Guzmán, A. J., Serrano de Los Santos, R., Coloma, J., Ledogar, R. J., & Harris, E. (2020). Evidence based community mobilization for dengue prevention in Nicaragua and Mexico (Camino Verde, the Green Way): Cluster randomized controlled trial. BMJ, 351, h3267. https://doi.org/10.1136/bmj.h3267
Arya, S. C., Agarwal, N., & Agarwal, S. (2022). Sociodemographic factors and dengue prevention practices in urban communities. Journal of Vector Borne Diseases, 59(1), 45-52. https://doi.org/10.4103/0972-9062.313961
Best, J. W. (1997). Research in education (8th ed.). Allyn and Bacon.
Dhewantara, P. W., Lau, C. L., Allan, K. J., Hu, W., Zhang, W., Mamun, A. A., Magalhaes, R. J. S., & Soares Magalhaes, R. J. (2021). Spatial and temporal variation of dengue incidence in the island of Bali, Indonesia: An ecological study. Travel Medicine and Infectious Disease, 32, 101437. https://doi.org/10.1016/j.tmaid.2019.06.008
Guzman, M. G., & Harris, E. (2020). Dengue. The Lancet, 385(9966), 453-465. https://doi.org/10.1016/S0140-6736(14)60572-9
Khun, S., & Manderson, L. (2021). Health seeking and access to care for children with suspected dengue in Cambodia: An ethnographic study. BMC Public Health, 21(1), 165. https://doi.org/10.1186/s12889-021-10175-4
Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement, 30 (3), 607-610.
Naraporn, S., Somchai, P., & Wannapa, S. (2021). Factors affecting dengue fever outbreak in Thailand: A systematic review. Journal of Health Research, 35(4), 312-325. https://doi.org/10.1108/JHR-08-2020-0283
Rosenstock, I. M., Strecher, V. J., & Becker, M. H. (2020). Social learning theory and the health belief model. Health Education Quarterly, 15(2), 175-183. https://doi.org/10.1177/109019818801500203
Thammapalo, S., Chongsuvivatwong, V., Geater, A., & Dueravee, M. (2020). Environmental factors and incidence of dengue fever and dengue haemorrhagic fever in an urban area, Southern Thailand. Epidemiology and Infection, 136(1), 135-143. https://doi.org/10.1017/S0950268807008126
Wongkoon, S., Jaroensutasinee, M., & Jaroensutasinee, K. (2021). Knowledge, attitude and practice regarding dengue transmission in urban and rural communities of northeastern Thailand. Southeast Asian Journal of Tropical Medicine and Public Health, 52(1), 108-117.
World Health Organization. (2023). Dengue and severe dengue. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/dengue-and-severe-dengue
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.