ผลของโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักต่อความรู้ในการจัดการกับอาการไม่พึงประสงค์หลังรับยาเคมีบำบัด โรงพยาบาลอุตรดิตถ์
คำสำคัญ:
การวางแผนจำหน่าย, รูปแบบ METHOD-P, มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Research) ชนิดสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง (Two-group Pretest-Posttest Design) แบบ Interrupted Time Series มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับความรู้ในการจัดการกับอาการไม่พึงประสงค์ อาการไม่พึงประสงค์ และระดับความวิตกกังวลหลังได้รับยาเคมีบำบัดของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโดยใช้รูปแบบ METHOD-P กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยศัลยกรรมหญิง โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2567 จำนวน 70 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 35 คน และกลุ่มควบคุม 35 คน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยสมุดประจำตัวสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด คู่มือการดูแลตนเอง สื่อวีดิทัศน์ และเอกสารสูตรยาเคมีบำบัด ส่วนเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) แบบติดตามอุบัติการณ์อาการไม่พึงประสงค์หลังรับยาเคมีบำบัด และ (2) แบบทดสอบความรู้ในการจัดการกับอาการไม่พึงประสงค์ ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และหาค่าความเชื่อมั่นได้ค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยง (KR-20) เท่ากับ 0.95 และ 0.97 ตามลำดับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Paired t-test และ Independent t-test เพื่อเปรียบเทียบผลภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม
ผลการวิจัยพบว่า หลังได้รับโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายรูปแบบ METHOD-P ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักในกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ในการจัดการกับอาการไม่พึงประสงค์หลังรับยาเคมีบำบัดสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p < .001 เช่นเดียวกับคะแนนอาการไม่พึงประสงค์และคะแนนความวิตกกังวลหลังรับยาเคมีบำบัดที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p < .001 เมื่อเทียบกับก่อนการทดลองและกลุ่มควบคุม
เอกสารอ้างอิง
กมลวรรณ โชตินิพิฐ, และศราวุฒิ อู่พุฒินันท์. (2562). ผลของการใช้วิดีทัศน์สำหรับการให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวขณะได้รับเคมีบำบัดร่วมกับการบริบาลทางเภสัชกรรมต่อความรู้ พฤติกรรมการดูแลตนเอง และความพึงพอใจของผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก. วารสารการแพทย์ทหารเรือ, 46(2), 441–451.
กัมพล อินทรทะกูล, ชุรีภรณ์ สีลกันตสูติ, อาวีวรรณ วิทยาธิกรณศักดิ์, บุษบา ศุภวัฒน์ธนสมบดี, และปิยรัตน์ ภาคลักษณ์. (2563). ผลของการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักโดยใช้รูปแบบ METHOD-P ต่อความรู้ในการจัดการกับอาการไม่พึงประสงค์หลังรับยาเคมีบำบัด. วชิรสารการพยาบาล, 22(1), 1–13
โรงพยาบาลอุตรดิตถ์. (2566). รายงานสถิติการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก หอผู้ป่วยศัลยกรรมหญิง ปีงบประมาณ 2564–2566. อุตรดิตถ์: โรงพยาบาลอุตรดิตถ์.
ศุภนุช ไร่แต่ง, นัทธมน วุทธานนท์, และวราวรรณ อุดมความสุข. (2566). ผลของการสร้างจินตภาพต่ออาการคลื่นไส้ ขย้อนและอาเจียนในผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับยาเคมีบำบัด. วารสารพยาบาลเกื้อการุณย์, 30(1), 1–13.
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. (2558). การดูแลผู้ป่วยระหว่างและหลังการรักษาด้วยเคมีบำบัด. กรุงเทพฯ: กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.
อังศินันท์ พรมนิมิตร, น้ำอ้อย ภักดีวงศ์, และวารินทร์ บินโฮเซ็น. (2565). การศึกษาความเป็นไปได้ของแอปพลิเคชันการจัดการอาการสำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับเคมีบำบัด. วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 30(2), 40–52.
Chare Joo, S., Navidian, A., & Sharifi, S. (2020). Evaluating the effectiveness of planned discharge program in the quality of life of gastrointestinal cancer patients undergoing chemotherapy: A clinical trial study. Medical-Surgical Nursing Journal, 9(1), e101442. https://doi.org/10.5812/msnj.101442
Duangchan, C., Steffen, A., & Matthews, A. K. (2022). Discharge planning practice for patients with colorectal cancer in Thailand. Nursing Practice Today, 9(4), 293–302. https://doi.org/10.18502/npt.v9i4.11201
Li, J., & Liu, X. (2019). Incremental patient care program decreases anxiety, reduces depression and improves the quality of life in patients with colorectal cancer receiving adjuvant chemotherapy. Experimental and Therapeutic Medicine, 18(4), 2789–2798. https://doi.org/10.3892/etm.2019.7877
Manote Lotrakul. Hospital Anxiety and Depression Scale (Thai HADs) Thai version. Journal of thePsychiatrist Association of Thailand ( Internet) : 1996 ( cited 2021 May 12) ; Available fromURL: https://www.psychiatry.or.th/JOURNAL/hads.html Thai.
Orem, D. E. (2001). Nursing: Concepts of practice (6th ed.). St. Louis, MO: Mosby.
Polat, U., Arpaci, A., Demir, S., Erdal, S., & Yalcin, Ş. (2014). Evaluation of quality of life and anxiety and depression levels in patients receiving chemotherapy for colorectal cancer: Impact of patient education before treatment initiation. Journal of Gastrointestinal Oncology, 5(4), 270-275. https://doi.org/10.3978/j.issn.2078-6891.2014.034
Rukwong, P., Utsawapat, M., Kachainchai, S., & Wisawatapnimit, P. (2021). The development of discharge planning model for end-stage cancer patient. Journal of Health and Nursing Research, 37(1), 266–280.
Tuominen, L., Ritmala-Castrén, M., Nikander, P., Mäkelä, S., Vahlberg, T., & Leino-Kilpi, H. (2021). Empowering patient education on self-care activity among patients with colorectal cancer – a research protocol for a randomised trial. BMC Nursing, 20(1), 1–10. https://doi.org/10.1186/s12912-021-00617-z
Zigmond AS, Snaith RP. The hospital anxiety and depression scale. Acta Psychiatr Scand. 1983 Jun;67(6):361-70. doi: 10.1111/j.1600-0447.1983.tb09716.x. PMID: 6880820.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.