การพัฒนาและประเมินผลการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ตำบลดู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ
Main Article Content
บทคัดย่อ
การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินผล รูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ในตำบลดู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาปัญหาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพกลุ่มเสี่ยงเบาหวานและพัฒนาและใช้โปรแกรม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่มเสี่ยงเบาหวานเป็นระยะเวลา 9 สัปดาห์ ระยะที่ 2 ประเมินผลรูปแบบก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรม สุ่มกลุ่มตัวอย่าง อย่างง่ายตามเกณฑ์คุณสมบัติที่กำหนด จำนวน 66 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แบบสัมภาษณ์ข้อมูลทั่วไป 2) แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน 3) แบบสัมภาษณ์ความเชื่อด้านสุขภาพ และ 4) พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม- เดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และ Paired t-test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 66 ราย ส่วนใหญ่เป็นชายร้อยละ 56.70 มีอายุเฉลี่ย 55 ปี (M= 55.1 , SD = 9.3 ) สถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 76.7 จบการศึกษาระดับอนุปริญญา ร้อยละ 41.7 อาชีพแม่บ้าน ร้อยละ 30.00 และดัชนีมวลกายเกินมาตรฐาน ร้อยละ 33.3 ภายหลังการใช้รูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน สูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001, 95% CI ; 1.02, 1.16) ค่าเฉลี่ยคะแนน ความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน สูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001, 95% CI ; 7.28, 9.58) และค่าเฉลี่ยคะแนน พฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน สูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001, 95% CI ; 0.55, 0.74) ตามลำดับ
การศึกษาสรุปว่า โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองส่งผลให้กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน มีความเชื่อด้านสุขภาพ ความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น สามารถนำมาใช้ในการดูแลรักษากลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานทั้งนี้ ควรมีการส่งเสริม สนับสนุน การดูแลตนเองของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานอย่างต่อเนื่อง เพื่อการป้องกันและลดอัตราการป่วยเป็นโรคเบาหวานในอนาคต
Article Details
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูล (เขียนข้อกำหนด)
References
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข.
(2560). คู่มืออาสาสมัครประจำครอบครัว
(อสค.) กลุ่มดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
(NCDs). กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย.
ขนิษฐา พิศฉลาด และภาวดี วิมลพันธุ์(2560). ผลของ
โปรแกรมสนับสนุนการจัดการตนเองต่อการ
จัดการตนเองดัชนีมวลกายและระดับน้ำตาลใน
เลือดหลังอดอาหารของผู้ที่มีภาวะเสี่ยงระยะ
ก่อนเบาหวานในชุมชน. วารสารพยาบาล
กระทรวงสาธารณสุข 27(1): มกราคม-เมษายน
: 47-59.
ดารณี ทองสัมฤทธิ์, กนกวรรณ บริสุทธิ์ และ
เยาวลักษณ์ มีบุญมาก(2560). ผลของการใช้
โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพต่อ
ความสามารถในการดูแลตนเองของกลุ่มเสี่ยง
โรคเบาหวานในตำบลวัดเพลง อำเภอวัดเพลง
จังหวัดราชบุรี. วารสารวิทยาลัยพยาบาล
พระปกเกล้า จันทบุรี. 28(1): มกราคม –
มิถุนายน.
ถนัต จ่ากลาง(2560). ประสิทธิผลการจัดการสุขภาพ
ประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานจังหวัด
ขอนแก่น.วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา
มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. 4(1):
มกราคม–มิถุนายน 2560: 151-162.
พัชราวลัย วงศ์บุญสิน. (2554). การพัฒนาทรัพยากร
มนุษย์ในยุคสังคมเสี่ยงภัย มุมมองทาง
ประชากรศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: สำนักงาน
นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวตกรรม
แห่งชาติ.
ยุคลธร เธียรวรรณ, มยุรี นิรัตธราดร และ ชดช้อย
วัฒนะ(2555). ผลของโปรแกรมส่งเสริมการดูแล
ตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและระดับ
น้ำตาลในเลือดของกลุ่มเสียงโรคบาหวาน.
พยาบาลสาร. 39(2): เมษายน-มิถุนายน 2555:
-143.
สำนักโรคไม่ติดต่อกรมควบคุมโรค. (2559). รายงาน
ประจำปี 2558 สำนักโรคไม่ติดต่อ
กรมควบคุมโรค. กรุงเทพมหานคร. Retrieved
document/file/download/paper-
manual/Annual-report-2015.pdf.
สุรากรี หนูแบน, อารยา ปรานประวิตร และสาโรจน์
เพชรมณี(2559). ผลของการใช้กระบวนการกลุ่ม
และแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรม
การดูแลตนเองในการป้องกันโรคเบาหวานของ
กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน อำเภอวิภาวดี จังหวัดสุ
ราษฎร์ธานี. วารสารบัณฑิตวิจัย.7 (1): มกราคม
- มิถุนายน 2559; 101-114.
อรุณีย์ ศรีนวล .(2548). การประยุกต์ทฤษฎีแบบแผน
ความเชื่อด้านสุขภาพร่วมกับแรงสนับสนุนทาง
สังคม ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแล
ตนเอง เพื่อป้องกันโรคเบาหวานของประชาชน
กลุ่มเสี่ยงในอำเภอ เขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์.
วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหา
บัณฑิต สาขาวิชาสุขศึกษาและการส่งเสริม
สุขภาพ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
อัมพร ไวยโภคา(2556). การพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
กลุ่มเสียงโรคเบาหวานโรงพยาบาล
ส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านสันมะนะ ตำบลต้นธง
อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน. วารสารวิจัยราชภัฏ
เชียงใหม่14(1); ตุลาคม 2555 - มีนาคม 2556.
Bandara, A. (1986). Social Foundations of
Thought and Action. New Jersey: Prentice-
Hall, 12.Gould, J. (2012). Learning theory
and classroom practice in the lifelong
learning sector.(2nd ed). Exeter:Learning
Matters. International Diabetes Federation.
(20 15). Diabetes Atlas. Retrieved from
www.diabetesatlas.ors.
Kearney, P. M., Whelton, M., Reynolds, K.,
Muntner, P., Whelton, P. K., &He, J. (2005).
Global burden of hypertension: analysis
of worldwide data. Lancet, 365, 217-223.
Lorig KR, Holman HR(2003). Self-management
education: history, definition, outcomes,
and mechanisms. Ann Behav Med 2003;
(1):1–7.
Orem, D. E. (1991). Nursing Concept of Practice
(4thed.). St Louis: Mosky Year Book.
Rosenstock, I.M. (1974). “The health belief
model and preventive health behavior.”
Health Education Monographs. 12(2):
-386.
Tongpeth J(2013). Self-management promoting
potential program on blood sugar
control and Quality of life among
diabetes mellitus type 2. Journal of The
Royal Thai Army Nurses 2013; 14(2):69-
Wilcox, S. (1996). Fostering self - directed
learning in the university setting. Studies
in Higher Education. 21(2):165-176.
Williams, M.V., Baker, D.W., Parker, R.M.,&Nurss,
J. R. (1998). Relationship of
functionalHealth literacy to patients'
knowledge of their chronic disease. A
study of patients With hypertension and
diabetes. Arch Inter Med, 158, 166-172.
Tongpeth J(2013). Self-management promoting
potential program on blood sugar
control and Quality of life among
diabetes mellitus type 2. Journal of The
Royal Thai Army Nurses 2013; 14(2):69-